พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 678 ร่างธาตุอัคคี
ในบรรดาคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ หวงซี คือคนที่รู้จักหลิงตู้ฉิงดีมากที่สุด ดังนั้นนางจึงแน่ใจว่าในเมื่อตอนนี้หลิงตู้ฉิงปรากฏกายขึ้น ยุคนี้จะต้องเป็นยุคของหลิงตู้ฉิงอย่างไม่ต้องสงสัย
และยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการสนับสนุนจากขุมกำลังมหาอำนาจอื่น ๆ ที่ลูกของหลิงตู้ฉิงเป็นผู้ควบคุม มันจะมีใครต้านทานหลิงตู้ฉิงได้อีก?
ด้วยเงื่อนไขเช่นนี้ หากภูเขาฟีนิกซ์ของนางไม่เข้าร่วม ภูเขาฟีนิกซ์คงจะพลาดโอกาสอันดีงามไปอย่างไม่ต้องสงสัย
“การที่พวกท่านจะเลือกอยู่อย่างสงบ มันจะทำให้พวกท่านไม่พัฒนาไปไหน และจงอย่าลืมว่าสถานที่ที่เราอยู่ตอนนี้มันไม่ใช่สรวงสวรรค์ที่ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะเรียบง่าย” หวงซีพูดกับเหล่าผู้คนในห้องโถง “และอีกอย่าง หากมองจากสถานการณ์ที่โลกภายนอกกำลังจะดำเนินไป ในอนาคตที่แห่งนี้ก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ดังนั้นพวกท่านควรใช้โอกาสที่ในตอนนี้ต้นเพลิงสวรรค์ถูกจุดขึ้นแล้วรีบเตรียมตัวทำสงครามและติดตามนายเหนือหัวคนใหม่ของพวกท่านไปพบกับความรุ่งโรจน์ที่โลกภายนอก!”
ในระหว่างที่หวงซีกำลังโน้มน้าว บรรดาผู้คนที่อยู่ในห้องโถงต่างก็พากันคิดตาม
หากสิ่งที่หลิงตู้ฉิงพูดเป็นความจริง ถ้างั้นโลกภายนอกจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แน่นอน
ด้วยการร่วมมือของขุมกำลังมหาอำนาจเหล่านั้นรวมกับการนำของหลิงตู้ฉิง บางทีภูเขาฟีนิกซ์ของพวกเขาอาจจะถูกดันขึ้นไปสู่ระดับใหม่ก็ได้
เมื่อพวกเขาบางคนคิดได้เช่นนี้ จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่เคยหายไปของพวกเขาก็เหมือนกับถูกจุดติดขึ้นมาอีกครั้ง
จากนั้นพวกเขาจึงเริ่มปรึกษาหารือกันในเรื่องจัดเตรียมทัพเพื่อเข้าสู่สงคราม!
“ไม่ว่าจะยังไง สิ่งสำคัญของการเตรียมทำศึกก็คือการเสริมความแข็งแกร่งของเหล่าไพร่พล” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ดังนั้นก่อนที่ข้าจะออกเดินทางไปจากที่นี่ ข้าจะบรรยายเต๋าให้กับพวกเจ้าฟังเพื่อเป็นความเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพวกเจ้า แต่พวกเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นได้เท่าไหร่นั้นมันคงขึ้นอยู่กับตัวของพวกเจ้าเอง”
หวงซียิ้มและพูดว่า “ทำไมพวกท่านถึงไม่ขอบคุณสามีของข้าสักหน่อยล่ะ? ความสำเร็จของสามีข้าในอดีตไม่ใช่แค่เพียงสร้างวิถีเต๋าของตนเองได้เท่านั้นหรอกนะ!”
“ขอบพระทัย องค์เหนือหัว!” บรรดาผู้คนในห้องโถงต่างพูดขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “เดี๋ยวข้าจะยืมมหาวิถีเต๋าและพลังเพลิงของต้นเพลิงสวรรค์ของพวกเจ้ามาบ่มเพาะร่างธาตุอัคคีของข้า และเมื่อไหร่ที่ข้าบ่มเพราะร่างอัคคีเสร็จ ข้าจะบรรยายเต๋าให้พวกเจ้าทั้งหมดฟัง ดังนั้นในช่วงเวลาที่เหลือพวกเจ้าควรเตรียมคำถามที่พวกเจ้ายังคงคาใจเอาไว้ให้ดีเพื่อในเวลาที่เจ้าฟังข้าบรรยายเต๋าพวกเจ้าจะได้รับประโยชน์กันได้อย่างเต็มที่ อ๋อ ยังมีเรื่องเล็กอีกเรื่องที่ข้าจะถาม”
หลิงตู้ฉิงชี้ไปที่หวงเซียะ และพูดว่า “ใครเป็นคนตั้งชื่อให้นาง?”
เฟิงปิงรีบตอบกลับทันทีด้วยสีหน้าละอาย “เป็นข้าเององค์เหนือหัว! ข้าเพียงแค่ต้องการให้โลกยังสามารถจดจำชื่อขององค์หญิงหวงซี ผู้ซึ่งเคยเป็นความภาคภูมิใจที่สุดของพวกเราภูเขาฟีนิกซ์ได้ก็เท่านั้น”
เมื่อตอนที่หวงเซียะกลับมาจากเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ เขาก็ยังรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากนางยืนยันอย่างหนักแน่นว่านางจะเปลี่ยนชื่อให้ได้
ในตอนนี้เมื่อหลิงตู้ฉิงปรากฏตัว เขาจึงได้เข้าใจแล้วว่าเหตุผลมันคืออะไร
หลิงตู้ฉิงมองไปที่เฟิงปิง และพูดว่า “การกระทำของเจ้าเกือบจะเป็นการฆ่านางทั้งสองคน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฟิงปิงถึงกับตะลึงงันไปในทันที เขารีบถามกลับว่า “ข้าไม่เข้าใจความหมายเบื้องหลังของเรื่องนี้เลยจริง ๆ โปรดองค์เหนือหัวให้ความกระจ่างชัดแก่ข้าที!”
หลิงตู้ฉิงตอบกลับอย่างใจเย็น “การที่เจ้าตั้งชื่อ หวงซี ให้กับ หวงเซียะ ในตอนแรกมันเป็นการกระทำที่เท่ากับว่าเจ้าทำให้หวงเซียะขโมยดวงชะตาของหวงซีไป ซึ่งแน่นอนว่ามันส่งผลให้หวงเซียะได้รับพรสวรรค์อันเป็นเลิศของหวงซี แต่ด้วยเหตุผลที่มันไม่ใช่ดวงชะตาของนางจริง ๆ มันเป็นดวงชะตาที่ขโมยจากคนอื่นมา มันจึงทำให้ถึงแม้ว่านางจะมีพรสวรรค์ที่เป็นเลิศแต่มันก็ไม่มั่นคงและไม่เสถียร ซึ่งในอนาคตนางจะถูกพลังของดวงชะตาที่ไม่ใช่ของนางเองบดขยี้จนตายเพราะนางรับมันไม่ไหว”
“ส่วนหวงซี การที่นางถูกขโมยดวงชะตาไปมันจะยิ่งทำให้พลังชีวิตของนางเหือดหายไปเร็วขึ้น และเมื่อไหร่ที่ร่างของนางไม่มีเจตจำนงของนางควบคุมอีกแล้ว ข้าคงไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าภูเขาฟินิกซ์ของเจ้าจะมีสภาพแบบไหน เมื่อต้องรับมือกับอำนาจของตัวตนระดับนางที่บ้าคลั่ง?”
“นี่ถ้าข้าไม่ได้เจอหวงเซียะในตอนที่เข้าไปในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับและปัญหานี้ของพวกนางทั้งสองคนไม่ได้รับการแก้ไขได้ทันเวลา ชะตากรรมของพวกเจ้าภูเขาฟีนิกซ์ทั้งหมดก็คงไม่พ้นจะต้องตายกันทั้งเผ่า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หน้าผากของเฟิงปิงก็เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อเย็น ๆ
หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นต่อ “ต่อไปนี้ข้าจะส่งเจ้าไปอยู่ที่ทะเลชางหมางเพื่อรับใช้ลูกชายของข้าและสู้เพื่อเขาจนกว่าเจ้าจะตาย หรือเมื่อไหร่ที่ลูกชายของข้าขยายอาณาจักรจนเสร็จ เจ้าถึงจะได้รับอนุญาตให้กลับมาที่ภูเขาฟีนิกซ์ได้อีกครั้ง”
เฟิงปิงไม่กล้าคัดค้านใด ๆ ทั้งสิ้น เขารีบตอบกลับทันที “น้อมรับบัญชา!”
บรรดาผู้คนในห้องโถงคนอื่น ๆ ต่างก็ไม่กล้าเอ่ยคัดคานอะไร ยกเว้นก็แต่หวงเซียะที่อดไม่ได้จนพูดขึ้นว่า “แต่เรื่องนี้มันถูกแก้ไขไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ความเสียหายต่าง ๆ มันก็ยังไม่เกิดขึ้นสักหน่อย แถมตอนนี้พวกเราต้องการกำลังคนเพื่อเตรียมทำสงครามอีกต่างหาก…”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “เขาเลือกที่จะไม่ไปก็ได้ข้าไม่ว่า แต่จงจำเอาไว้ว่าข้าได้สั่งไปแล้วและจะไม่คืนคำ เอาล่ะ พวกเจ้าทั้งหมดไปเตรียมตัวรอข้าบรรยายเต๋าให้ดี หลังจากที่ข้าบ่มเพาะร่างธาตุอัคคีเสร็จ ข้าจะเริ่มบรรยายเต๋าทันที”
หลังจากพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็ลุกออกจากบัลลังก์และเดินไปยังต้นเพลิงสวรรค์ทันที
ทางด้านของหวงซี นางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็เดินเข้าไปพูดกับเฟิงปิงว่า “เพื่อเป็นการดีต่อตัวท่านมากที่สุด ท่านควรไปที่ทะเลชางหมางทันทีเมื่อท่านเตรียมตัวพร้อม”
เฟิงปิงพยักหน้า จากนั้นเขารีบไปเตรียมตัวเพื่อมุ่งหน้าไปที่ทะเลชางหมาง
แน่นอนว่าก่อนที่เขาจะไปทะเลชางหมาง เขาต้องอยู่รอฟังการบรรยายเต๋าของหลิงตู้ฉิงก่อนแน่นอน
ส่วนบรรดาผู้คนอื่น ๆ ก็เริ่มแยกย้ายไปเตรียมตัวเช่นกัน
ทางด้านของหวงเซียะ หลังจากที่นางออกมาจากห้องโถง นางก็เดินตรงไปหาเฟิงปิงเพื่อสืบถามข้อมูลของหลิงตู้ฉิงจากเขา
“บรรพบุรุษ ท่านช่วยบอกข้าได้ไหมว่าเขาเป็นใครกันแน่?” หวงเซียะถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย
เฟิงปิงถอนหายใจ “เจ้าจำได้ไหมว่าเจ้าเคยถูกลงโทษเมื่อตอนที่เจ้าแอบดูข้อมูลลับต้องห้ามของพวกเรา? ในตอนนี้เมื่อเขาปรากฏกายขึ้นมาแล้ว ดังนั้นความลับต้องห้ามนั่นก็ไม่จำเป็นต้องถูกปกปิดอีกต่อไป หากเจ้าอยากจะรู้ประวัติของเขาจริง ๆ เจ้าก็จงไปอ่านได้เลยมันยังวางอยู่ที่เดิม! และเมื่อไหร่ที่เจ้าอ่านจนหมดแล้วเจ้าก็จะเข้าใจทุกอย่างเองว่าทำไมพวกข้าถึงต้องเคารพเขา อ๋อ แต่มันยังมีเรื่องแปลกอยู่อีกอย่างก็คืออุปลักษณะนิสัยของเขาในตอนนี้นั้นเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ซึ่งข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขากลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง แต่ไม่ว่าจะยังไงข้าสามารถยืนยันได้แน่นอนว่าเขาคือคนเดียวกับที่อยู่ในบันทึกที่เป็นความลับต้องห้ามของพวกเรา”
เฟิงปิงไม่ต้องการจะเล่าเรื่องของหลิงตู้ฉิงด้วยตัวเอง เนื่องจากมันยาวและน่ากลัวเกินไป ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะให้หวงเซียะไปหาข้อมูลด้วยตัวนางเอง
ทางด้านของหวงเซียะ เมื่อนางได้ยินเช่นนี้นางก็ยิ่งรู้สึกอยากรู้มากไปกันใหญ่ นางจึงรีบไปอ่านบันทึกต้องห้ามนั่นทันที
ในอีกด้านหนึ่ง หลังจากที่หลิงตู้ฉิงเดินเข้าไปในโพรงของต้นเพลิงสวรรค์แล้วเขาก็มองไปที่หลิงไช่หยุนที่กำลังหลับอยู่ด้วยสีหน้ามีความสุข จากนั้นเขาก็นั่งลงกับพื้นและเริ่มบ่มเพาะร่างธาตุอัคคีของเขาบ้าง
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก หวงซีก็เดินตามเข้ามาในโพรงต้นเพลิงสวรรค์เช่นกัน นางนั่งลงที่ข้าง ๆ หลิงตู้ฉิง และจ้องมองเขาบ่มเพาะด้วยความสุขใจอย่างเงียบ ๆ
ในตอนนี้นางยังไม่สนใจเรื่องการบ่มเพาะของนางเอง นางเพียงแค่ต้องการใช้เวลามองคนที่นางรักให้ได้มากที่สุดก่อนที่จะต้องจากกันชั่วคราวอีกรอบ
หลิงตู้ฉิงใช้เวลากว่า 3 เดือนในการบ่มเพาะร่างธาตุอัคคีจนเสร็จสิ้น ซึ่งในระหว่างกระบวนการบ่มเพาะ เขาก็เจอกับอุปสรรคเล็กน้อย เนื่องจากก่อนหน้าเขาได้บ่มเพาะร่างธาตุวารีจนสำเร็จแล้ว ซึ่งมันเป็นธาตุตรงข้ามธาตุอัคคี ดังนั้นเมื่อทั้งสองธาตุมาเจอกันพวกมันจึงพยายามหักล้างกัน แต่หลิงตู้ฉิงก็ใช้วิธีเดียวกับที่เขาแก้ปัญหาวิถีเต๋าของเขา ซึ่งก็คือเขาจับพวกมันมาเกื้อหนุนกันให้กลายเป็นสัญลักษณ์หยินหยางไปก่อน
“สามี ท่านบ่มเพาะเสร็จแล้วเหรอ?” หวงซีถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย
“ข้าบ่มเพาะเสร็จเรียบร้อยแล้ว” หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับ
“ถ้างั้นในเมื่อท่านบ่มเพาะเสร็จเรียบร้อยแล้ว งั้นข้าจะออกไปแจ้งให้ทุกคนเตรียมตัวฟังท่านบรรยายเต๋า!” หวงซีพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้มีคนมากมายกำลังรอท่านอย่างใจจดใจจ่อกันเลยทีเดียว”