พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 702 พบกับตำหนักหอมรัญจวนอีกครั้ง
ในระหว่างที่หลิงตู้ฉิงกำลังอธิบายสิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับประตูเคลื่อนย้ายให้กับหลิงฟ่างหัวฟัง คนอื่น ๆ ก็เก็บสมบัติของสำนักวายุคลั่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว
แหวนมิติมากมายจำนวนนับไม่ถ้วนถูกกองสุมรวมกันจนมีขนาดพอ ๆ กับเนินเขาย่อม ๆ
จำนวนสมบัติที่เยอะขนาดนี้มันทำให้พวกเขาทุกคนไม่รู้ว่าจะขนพวกมันทั้งหมดกลับไปได้ยังไง
ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่รอให้หลิงตู้ฉิงออกมาตัดสินใจอีกทีว่าจะเอายังไง
เมื่อเวลาผ่านไปอีกครึ่งปี ในที่สุดหลิงตู้ฉิงก็สอนหลิงฟ่างหัวเสร็จ
“ท่านพ่อ ให้ข้าเริ่มเลยไหม?” หลิงฟ่างหัวรู้สึกคันไม้คันมืออยากจะลองเปิดประตูเคลื่อนย้ายด้วยตัวเอง
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ยังไม่ต้องรีบร้อน เจ้ากับพ่อพวกเราเปิดมิติไปที่ภูเขาเอ้อหลงกันก่อน ด้วยสมบัติที่มากมายของสำนักวายุคลั่งแบบนี้พวกเรามีทางเลือกเดียวคือต้องเก็บพวกมันเอาไว้ที่ภูเขาเอ้อหลงก่อนเป็นการชั่วคราว รอเวลาที่เจ้ากลับไปติดตั้งประตูเคลื่อนย้ายที่ทะเลชางหมางเสร็จเมื่อไหร่และเชื่อมเส้นทางระหว่างประตูเคลื่อนย้ายของภูเขาเอ้อหลงเข้าด้วยกันกับประตูเคลื่อนย้ายที่ทะเลชางหมางแล้ว เจ้าค่อยให้ยี่เทียนนำคนของเขาเดินทางผ่านประตูเคลื่อนย้ายไปที่ภูเขาเอ้อหลงเพื่อเอาสมบัติเหล่านี้ออกมาใช้ในอาณาจักรของเขา และเจ้าอย่าลืมให้ยี่เทียนทิ้งคนของเขาไว้ที่ภูเขาเอ้อหลงไว้ด้วยเพื่อคอยปกป้องมัน ในตอนนี้ภูเขาเอ้อหลงมีเพียงแค่ค่ายกลป้องกันบาง ๆ เท่านั้นที่คอยปกป้องมันอยู่”
แผนเบื้องต้นของหลิงตู้ฉิง ตอนนี้คือเขาจะใช้ภูเขาเอ้อหลงเป็นสถานที่เชื่อมต่อของเขากับทะเลชางหมางเพื่อที่ในอนาคตไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน เขาก็สามารถกลับไปที่ทะเลชางหมางได้ในทันที และนั่นรวมไปถึงสิ่งของต่าง ๆ ที่เขาจะส่งให้กับคนที่อยู่ในทะเลชางหมางด้วย
แน่นอนว่าที่เขาทำเช่นนี้ได้ก็เพราะมีเพียงเขาและหลิงฟ่างหัวเท่านั้นที่สามารถเดินทางไปยังภูเขาเอ้อหลงได้อย่างใจนึก โดยที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาประตูเคลื่อนย้ายไปที่ภูเขาเอ้อหลง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิงฟ่างหัวพยักหน้าและตอบกลับทันที “ถ้างั้นพวกเราก็รีบไปที่ภูเขาเอ้อหลงกันเถอะท่านพ่อ!”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า จากนั้นเขาเรียกหมิงยู่ให้หลอมรวมร่างเข้ากับเขาและต่อมาเขาก็เปิดรอยแยกมิติเดินทางไปที่ภูเขาเอ้อหลงที่เขาได้จดจำตำแหน่งเอาไว้
ถึงแม้ว่าที่ภูเขาเอ้อหลงจะมีประตูเคลื่อนย้าย แต่ในคราวก่อนเขายังไม่ได้เปิดใช้งานมัน ดังนั้นหลิงตู้ฉิงจึงยังไม่สามารถใช้ประตูเคลื่อนย้ายของสำนักวายุคลั่งเดินทางไปที่ภูเขาเอ้อหลงได้ ตอนนี้เขาจึงเหลือเพียงทางเลือกเดียวคือต้องเดินทางผ่านรอยแยกมิติไปที่ภูเขาเอ้อหลงก่อนในรอบนี้เพื่อไปเปิดใช้งานมันให้เชื่อมต่อกับประตูเคลื่อนย้ายของสำนักวายุคลั่งอีกที
หลังจากเดินทางผ่านรอยแยกมิติไปได้พักใหญ่ หลิงตู้ฉิง หมิงยู่ และหลิงฟ่างหัว ก็เดินทางมาถึงภูเขาเอ้อหลง
หลังจากที่มาถึงภูเขาเอ้อหลง สิ่งแรกที่หลิงตู้ฉิงทำก็คือการวางค่ายกลสังหารเอาไว้รอบ ๆ ภูเขาเอ้อหลงเพื่อปกป้องมันอีกชั้นจากบรรดาคนอื่น ๆ ที่อาจจะบังเอิญหามันเจอ และต้องการจะบุกเข้ามาขโมยสิ่งของล้ำค่าที่อยู่ในนี้
หลังจากที่วางค่ายกลสังหารเสร็จ หลิงตู้ฉิงก็เรียกหลิงฟ่างหัวมาอธิบายถึงวิธีการใช้งานและการผ่านค่ายกลสังหาร จากนั้นเขาก็พูดว่า “เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าลองเปิดใช้งานประตูเคลื่อนย้ายของภูเขาเอ้อหลง และเชื่อมมันกับประตูเคลื่อนย้ายของสำนักวายุคลั่งดู และส่งพวกเรากลับไปที่สำนักวายุคลั่ง”
หลิงตู้ฉิงให้หลิงฟ่างหัวทดสอบกับพวกเขาก่อนเป็นอันดับแรก เนื่องจากหากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมาพวกเขาก็ยังสามารถเอาตัวรอดจากการติดอยู่ในมิติได้
หลังจากได้รับคำสั่ง หลิงฟ่างหัวก็พาพวกเขาทั้ง 3 คนกลับไปที่สำนักวายุคลั่งได้อย่างปลอดภัย
จากนั้นเมื่อเห็นว่าประตูเคลื่อนย้ายของทั้ง 2 ฝั่งใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว พวกเขาทั้งหมดก็เคลื่อนย้ายสมบัติ 9 ส่วนจากทั้งหมดที่มีอยู่ในสำนักวายุคลั่งไปยังภูเขาเอ้อหลงผ่านประตูเคลื่อนย้าย
แน่นอนว่า 1 ส่วนที่ยังเหลืออยู่นั้นมีแต่เหล่าสิ่งของที่หลิงตู้ฉิงต้องการเก็บติดตัวเขาไว้เอง
“ฟ่างหัว หลังจากที่เจ้ากลับไปแล้ว เจ้าจงอย่าลืมให้ยี่เทียนส่งผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิไปเฝ้าภูเขาเอ้อหลงด้วยล่ะ และเจ้าอย่าลืมย้ำพวกเขาไว้ด้วยว่านอกจากสมบัติของพวกเราเองแล้วบรรดาสมบัติต่าง ๆ ที่เป็นของภูเขาเอ้อหลงนั้นพวกเขาห้ามแตะต้องพวกมันเป็นอันขาด เพราะในอนาคตพวกเรายังจำเป็นต้องคืนภูเขาเอ้อหลงให้กับเจ้าของเดิมในสภาพเดิมแบบที่มันเคยเป็น” หลิงตู้ฉิงย้ำหลิงฟ่างหัวอีกรอบ
“ทราบแล้วท่านพ่อ!” หลิงฟ่างหัวพยักหน้า
ถัดมา หลิงตู้ฉิงก็คลายค่ายกลป้องกันสำนักวายุคลั่งอีกรอบ และตะโกนบอกกับเหล่าผู้คนที่รอดูสถานการณ์อยู่ด้านนอกว่า “พวกเจ้าคนไหนที่คิดว่ามีความแข็งแกร่งมากพอจงเข้ามาคุยกับข้า ข้ามีข้อตกลงบางอย่างที่จะทำกับพวกเจ้า”
บรรดาผู้คนที่เฝ้ารออยู่ด้านนอกในเวลานี้ได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นด้านในสำนักวายุคลั่งหมดแล้วจากคำบอกเล่าของเหล่าผู้รอดชีวิต ดังนั้นพวกเขาจึงยังรั้งอยู่ด้านนอกเพื่อรอโอกาสที่จะได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์บ้างจากการล่มสลายของสำนักอันดับหนึ่งของอาณาเขตวายุ
ตอนนี้เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงตะโกนของหลิงตู้ฉิง พวกเขาจึงรู้ได้ทันทีว่าโอกาสของพวกเขามาถึงแล้ว พวกเขาจึงรีบตอบกลับทันที
“ข้าคือผู้อาวุโสสูงสุดของหุบเขาลี้ลับ ข้ามีอำนาจพอที่จะพูดแทนสำนักของข้าได้ทั้งหมด”
“ข้าคือเจ้าสำนักหุบเขาเซียนปรากฏ ไม่มีใครในสำนักที่มีอำนาจเหนือข้าอีกแล้ว”
“ข้าคือนายเหนือหัวแห่งภูเขาวายุ ข้ามีอำนาจมากพอแน่นอน!”
“……”
บรรดาผู้คนหลายกลุ่มเริ่มตะโกนแข่งกันไปเรื่อย ๆ
“กลุ่มไหนที่มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิขึ้นไปจะได้รับสิทธิ์เข้ามาคุยกับข้าก่อน” หลิงตู้ฉิงตะโกนขึ้นอีกครั้ง
แต่หลังจากที่เขาตะโกนเช่นนี้ บรรดากลุ่มคนที่อยู่ด้านนอกสำนักวายุคลั่งก็เงียบลงในทันที
ถึงแม้ว่าจะมีบางสำนักที่มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิดำรงอยู่ แต่บรรดาผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิก็ไม่กล้าเหยียบเข้าไปในสำนักวายุคลั่งตอนนี้เช่นกัน
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยากเข้าไปคุย แต่พวกเขาก็ยังคงระแวงตัวตนของหลิงตู้ฉิง ผู้ซึ่งเพิ่งทำลายสำนักวายุคลั่งอยู่ดี
พวกเขาไม่แน่ใจว่าการที่หลิงตู้ฉิงเรียกพวกเขาเข้าไปก่อนนั้นเป็นเพราะว่า หลิงตู้ฉิงต้องการจะเด็ดหัวตัวตนที่แข็งแกร่งก่อนด้วยค่ายกลป้องกันสำนักหรือเปล่า จากนั้นค่อยจัดการกับพวกอ่อนแอที่เหลือข้างนอก
เมื่อเห็นว่าตอนนี้ไม่มีใครตอบกลับ หลิงตู้ฉิงจึงตะโกนขึ้นอีกครั้ง “ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าตัดสินใจกันครึ่งวัน หากพวกเจ้ายังตัดสินใจกันไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าจะจัดการปัญหาของข้าด้วยตัวของข้าเอง”
หลังจากนั้นเมื่อผ่านไปครึ่งวัน หญิงสาวผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาในสำนักวายุคลั่งมายืนอยู่ตรงหน้าของหลิงตู้ฉิง “ขอคารวะคุณชายหลิง!”
หลิงตู้ฉิงเลิกคิ้วมองไปที่หญิงสาวและถามว่า “นี่เจ้าเป็นคนของตำหนักหอมรัญจวนนี่นา?”
“ใช่แล้วคุณชายหลิง ข้าคือซุยเซียง จากตำหนักหอมรัญจวน” หญิงสาวพยักหน้า “หลังจากเหตุการณ์ที่สำนักวิญญาณโลหิต ตำหนักหอมรัญจวนของเราก็จดจำคุณชายหลิงได้เป็นอย่างดี!”
“เอาล่ะ เจ้ามาหาข้าเจ้ามีอะไร?” หลิงตู้ฉิงถามขึ้น
ซุยเซียงหัวเราะ “บังเอิญว่าข้าได้ยินมาว่าคุณชายหลิงเป็นคนทำลายสำนักวายุคลั่ง ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่เพื่อยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงรึเปล่า แต่ตอนนี้ข้าคิดว่าทุกอย่างมันช่างชัดเจนอยู่แล้ว ว่าแต่จริงสิ ข้าเห็นว่าคุณชายหลิงมีข้อเสนออะไรบางอย่างงั้นเหรอ ท่านพอจะบอกข้าได้ไหมเผื่อว่าตำหนักหอมรัญจวนของข้าจะพอช่วยเหลืออะไรท่านได้บ้าง?”
อันที่จริงซุยเซียงเองก็อยากจะถามต่อเหมือนกันว่า หลิงตู้ฉิงมีเหตุผลอะไรถึงได้ทำการฆ่าล้างสำนักวายุคลั่งจนหมดแบบนี้ แต่เมื่อนางลองกลับมาคิดทบทวนดูใหม่ นางจึงเปลี่ยนประเด็นเป็นการผูกสัมพันธ์กับหลิงตู้ฉิงเพื่อผลประโยชน์จะดีกว่าการที่ได้รู้เหตุผลเหล่านั้นที่ไม่เกี่ยวกับนาง และไม่เป็นประโยชน์กับนางสักเท่าไหร่
หลิงตู้ฉิงยิ้มและถามกลับว่า “เจ้าสามารถตัดสินใจแทนตำหนักหอมรัญจวนได้งั้นเหรอ?”
ซุยเซียงส่งยิ้มหวานและตอบว่า “ข้าคือเจ้าตำหนักหอมรัญจวนแห่งอาณาเขตวายุ ดังนั้นแน่นอนว่าข้าสามารถตัดสินใจเรื่องของตำหนักหอมรัญจวนที่อยู่ในอาณาเขตนี้ได้”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ข้อตกลงที่ข้าจะเสนอให้เจ้านั้นง่ายมาก ส่งคนของข้า 2 คนกลับไปที่ทะลชางหมางแล้วสิ่งต่าง ๆ ทั้งหมดที่หลงเหลือของสำนักวายุคลั่งจะเป็นของเจ้ารวมไปถึงข้าจะทำการสลายมหาวิถีเต๋าของสำนักวายุคลั่ง และมอบวิธีดึงดูดมหาวิถีเต๋าวายุให้ไปสถิตอยู่ที่สำนักที่เจ้าต้องการให้ด้วย จงเก็บไปคิดให้ดี ๆ ข้าคิดว่าข้อตกลงนี้มันน่าจะยุติธรรมต่อเจ้าที่สุดแล้ว อ๋อและอีกอย่าง เจ้าจำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิอย่างน้อยที่สุด 3 คนในการพาคนของข้าไปส่ง”
หลิงตู้ฉิงรู้สึกว่ามันไม่ปลอดภัยเพียงพอที่เขาจะปล่อยให้หลิงฟ่างหัวเดินทางกลับไปที่ทะเลชางหมางเพียงลำพังกับหยูเจิ้นไห่ โดยเฉพาะหลังจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับสำนักวายุคลั่ง
ซุยเซียงตาเป็นประกายทันที เมื่อได้ยินข้อเสนอนี้ของหลิงตู้ฉิง
“ข้อเสนอของคุณชายหลิงนั้นน่าสนใจเป็นอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่ตำหนักหอมรัญจวนของข้าไม่มีกำลังคนมากขนาดนั้น ดังนั้นข้าคงทำได้เพียงแค่เป็นสะพานเชื่อมท่านให้กับสำนักอื่น ๆ ในอาณาเขตวายุเพื่อบรรลุข้อตกลงของท่านให้สมบูรณ์” ซุยเซียงตอบกลับ
“เอาแบบนั้นก็ได้!” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “แต่อันดับแรกเจ้าต้องทำความเข้าใจกับคนที่เจ้าจะพามาให้ดีว่าพวกเขาจำเป็นต้องทำสัญญาสวรรค์กับข้าด้วย ไม่สิอันที่จริงตอนนี้เจ้าเองก็ต้องทำสัญญาสวรรค์กับข้าก่อนเลยเป็นคนแรก! แล้วเดี๋ยวข้าจะมอบโอสถสงบวิญญาณให้กับเจ้าเพื่อใช้มันในการจูงใจคนอื่น ๆ เผื่อไว้ด้วย นอกจากโอสถสงบวิญญาณที่เอาไว้ใช้ในการจูงใจคนที่เจ้าจะพามา เจ้าห้ามเปิดเผยข้อมูลทุกอย่างที่ข้าคุยกับเจ้าให้กับอื่น ๆ ก่อนที่พวกเขาจะมาทำสัญญากับข้าเป็นอันขาด เจ้าเข้าใจใช่ไหม?”