พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 704 อีกครั้งกับปัญหาในสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์
เป็นอีกครั้งที่หลิงตู้ฉิงเคลื่อนย้ายเข้าประตูเคลื่อนย้ายของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า ส่งผลให้บรรดาศิษย์ที่เฝ้าประตูต่างรู้สึกขนหัวลุกกันอีกรอบ เนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่ารอบนี้เป็นผู้ใดที่มาเยือนสำนักอีก
เมื่อเห็นหลิงตู้ฉิงและกลุ่มคนของเขาปรากฏกายออกมาจากประตูเคลื่อนย้าย ซ่งเฉียน ผู้ซึ่งรับหน้าที่ดูแลประตูเคลื่อนย้ายก็ทักขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ “น้องหลิง เป็นเจ้าเองหรอกเหรอ?”
รอบที่แล้วหลิงตู้ฉิงก็ทะลวงประตูเคลื่อนย้ายเข้ามาแบบไม่บอกกล่าว รอบนี้เขาก็ทำแบบเดิมเหมือนกับรอบที่แล้ว?
“รอบนี้ที่ข้ามาเพราะข้าต้องการมาจัดการเรื่องที่สำคัญมากในสำนักของเจ้า” หลิงตู้ฉิงยิ้ม “หืม? นี่เจ้ากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันแล้วงั้นเหรอ? เอาล่ะถ้างั้นข้าจะมอบโอสถสงบวิญญาณให้กับเจ้าสักเม็ดก็แล้วกัน”
ซ่งเฉียนรีบรับโอสถสงบวิญญาณมาในทันทีด้วยสีหน้าตื่นเต้น จากนั้นเมื่อเขากวาดสายตามองกลุ่มคนที่หลิงตู้ฉิงพามาทุกคน เขาก็ถามขึ้นว่า “เอ๋? นี่ศิษย์น้องไม่ได้มากับเจ้าด้วยเหรอ?”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “อันที่จริงตอนแรกข้าไม่ได้วางแผนจะมาที่นี่ แต่บังเอิญว่ามีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ซึ่งมันทำให้ข้าจำเป็นต้องมาที่นี่อย่างกะทันหัน”
ซ่งเฉียนถอนหายใจ “ข้าล่ะไม่แน่ใจจริง ๆ ว่าการที่เจ้ามาที่นี่ตอนนี้มันจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย ตอนนี้บรรยากาศในสำนักของข้าค่อนข้างจะไม่สงบสักเท่าไหร่ซะด้วย”
“หืม?” หลิงตู้ฉิงเลิกคิ้วขึ้น
ซ่งเฉียนยิ้มอย่างขมขื่น “เอาเป็นว่าเดี๋ยวเจ้าค่อยถามเรื่องราวทั้งหมดกับอาจารย์ของข้าก็แล้วกัน รอสักครู่ ข้าขอส่งข่าวไปบอกกับเขาก่อน เขาจะได้มารับเจ้าที่นี่”.Aileen-novel
หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เกิดอะไรขึ้นกับสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์กัน?
หลังจากซ่งเฉียนส่งข้อความไปได้ไม่นาน มู่หลงหยานก็มาในทันที
“ตู้ฉิง ชิงเฉิงไม่ได้มากับเจ้าด้วยงั้นเหรอ?” มู่หลงหยานถามขึ้น
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “ข้าไม่ได้วางแผนล่วงหน้าว่าจะมาที่นี่ข้าเลยไม่ได้พาชิงเฉิงมาด้วย ตอนนี้นางจึงกำลังเก็บตัวบ่มเพาะอยู่ที่ทะเลชางหมาง ว่าแต่ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้สำนักกำลังมีปัญหามันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ?”
มู่หลงหยานยิ้มอย่างขมขื่น “เรื่องทั้งหมดมันเป็นเพราะสมบัติต่าง ๆ ที่เจียงไห่ให้พวกเรามานั่นล่ะ เนื่องจากครอบครัวของข้าเป็นผู้ที่ได้รับสมบัติมามากที่สุด มันจึงเป็นบ่อเกิดทำให้บรรดาคนของตระกูลอื่น ๆ คิดว่าเรื่องนี้มันไม่ยุติธรรมกับพวกเขา รวมไปถึงบรรดาสหายสนิทของเจียงไห่ก็ด้วยที่พวกเขาได้รับสมบัติมามากกว่าคนอื่น แต่สุดท้ายสมบัติที่พวกเขาได้รับมาเกือบทั้งหมดก็ถูกผู้อื่นกดดันเอาไปจนเกือบหมด ซึ่งพวกเขาเองก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกหากจะเป็นการมอบให้สำนัก แต่สิ่งที่พวกเขากังวลก็คือ พวกเขาไม่แน่ใจว่าสมบัติต่าง ๆ จะแบ่งกันไปได้อย่างเท่าเทียมรึเปล่า”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ข้าบอกเจ้าแล้วยังไงล่ะว่าไม่ช้าก็เร็วสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าจะต้องเกิดปัญหา อันที่จริงข้าบอกกับเจ้าไปด้วยไม่ใช่เหรอว่าให้เจ้าใช้ชื่อเสียงของลูกชายเจ้าในการจัดการปัญหาทั้งหมด? ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งลูกของเจ้าจะยังไม่ฟื้นกลับมาทั้งหมด แต่ในตอนนี้เขาก็คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหากต้องสู้กับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิ”
ถึงแม้ว่าระดับการบ่มเพาะของเย่เจียงไห่จะยังไม่ฟื้นฟูถึงขอบเขตมหาจักรพรรดิ แต่ด้วยความเข้าใจในพลังของกฎต่าง ๆ และบวกกับประสบการณ์เมื่อล้านปีก่อน เขาก็ยังคงมีความได้เปรียบเหนือกว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิทั่ว ๆ ไปอยู่ดี
มู่หลงหยานยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “เจียงไห่เองก็มีปัญหาที่เขาต้องจัดการเหมือนกัน มันมีข่าวลือมาว่าหลังจากที่พวกเราจากมา พวกเผ่าอสูรก็ไปตามไปราวีเขาอีกรอบ ซึ่งเมื่อข้ารู้แบบนี้ข้าก็เลยไม่อยากจะเอาเรื่องของข้าไปให้เขาปวดหัวเพิ่มอีก และจากที่ข้าเดา คนอื่น ๆ ของสำนักก็คงรู้เรื่องนี้เช่นกัน พวกเขาก็เลยเริ่มที่จะแสดงท่าทีไม่เกรงใจพวกข้ามากยิ่งขึ้นไปอีก”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “อืม ถ้างั้นก็ช่างเถอะ ในเมื่อตอนนี้ข้ามาที่นี่แล้วเดี๋ยวข้าจะจัดการปัญหาเหล่านี้ให้กับเจ้าเองก็แล้วกัน”
มู่หลงหยานหัวเราะ “ด้วยความสัมพันธ์ของเจ้าที่มีต่อสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ด้านหลังสำนัก ข้าคิดว่ามันคงจะต้องทำให้ใครหลายคนในสำนักยอมถอยให้กับพวกเราแน่นอน! อันที่จริงก่อนหน้านี้จู่ ๆ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ด้านหลังสำนักก็เริ่มเคลื่อนไหวปลดปล่อยกลิ่นอายสังหารออกมารุนแรงเป็นอย่างมาก ซึ่งมันทำให้ทุกคนในสำนักต่างหวาดกลัวกันจนแทบจะลืมหายใจเลยทีเดียว แต่ยังโชคดีที่เมื่อผ่านไปสักพักมันก็สงบลง ไม่อย่างนั้นพวกเราก็คงไม่รู้ว่าจะทำยังไงกันต่อไปดี”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิงตู้ฉิงก็ได้แต่ยิ้มและไม่พูดอะไร
เขารู้ว่าเป็นเพราะกลิ่นอายของเขาเองที่ปลดปล่อยออกมา จนมันทำให้อาวุธของเขามีปฏิกิริยาเช่นนั้น และอันที่จริงแล้วเหตุผลที่เขามาที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนี้ก็เป็นเพราะอาวุธของเขานี่แหละ
เมื่อทักทายกันเรียบร้อย มู่หลงหยานก็พากลุ่มของหลิงตู้ฉิงไปที่เรือนของเย่ชิงเฉิง และเมื่อนางเห็นว่าหลิงตู้ฉิงไม่ต้องการอะไรเพิ่มเติมอีกนางก็จากไป
เมื่อเห็นว่าไม่มีคนนอกอยู่ในบริเวณรอบ ๆ จ้าวเหมิงลู่ และคนอื่น ๆ ก็ถามขึ้น “สามี ที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่จริง ๆ งั้นเหรอ?”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “สัตว์ศักดิ์สิทธิ์อะไรกัน? มันคืออาวุธของข้าเมื่อชีวิตที่แล้วต่างหาก เหตุผลที่ข้ามาที่นี่ครั้งนี้ก็เพราะข้าจะนำมันกลับไปด้วยนี่แหละ”
“นายท่าน แล้วแบบนี้สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์จะยอมงั้นเหรอ?” อี้ลั่วเอ๋อถามขึ้น
ถึงแม้ว่านางจะไม่รู้ว่าอาวุธของหลิงตู้ฉิงจะเป็นอย่างไร แต่นางเดาได้ว่ามันจะต้องทรงพลังมาก ๆ แน่นอน ดังนั้นอาวุธที่ทรงพลังขนาดนี้ที่อยู่กับสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์มานาน พวกคนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์จะยอมให้หลิงตู้ฉิงเอามันกลับไปง่าย ๆ ได้ยังไง?
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “พวกเขาอยากจะให้ข้าเอากลับไปตั้งแต่แรกแล้ว แต่บังเอิญว่ารอบแรกที่ข้ามามันไม่ยอมไปกับข้า”
“ถ้าอย่างนั้นรอบนี้ท่านจะทำยังไง?” จ้าวเหมิงลู่ถามขึ้น
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบว่า “ในรอบแรกข้าไม่มีของที่จะจูงใจมันมากพอ แต่รอบนี้ด้วยร่างของคุนเป๋งที่ข้ามีอยู่ ข้ามั่นใจว่ามันจะต้องยอมตามข้ากลับไปแน่นอน!”
ทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยความงุนงง พวกเขาไม่เข้าใจว่าอาวุธแบบไหนที่ต้องใช้ซากศพของอสูรในการจูงใจ?
เมื่อเห็นว่าทุกคนแสดงสีหน้าสับสน หลิงตู้ฉิงก็อธิบายต่อ “เรื่องอยากกินเนื้อคุนเป๋งมันเป็นแค่ส่วนประกอบ แต่สิ่งที่มันต้องการจริง ๆ ก็คือมันอยากจะได้ร่างของคุนเป๋งไปทำความเข้าใจทักษะและความสามารถเฉพาะของคุนเป๋ง เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวมันเอง เพราะบังเอิญว่าในชีวิตที่แล้วพวกข้าไม่เคยสังหารคุนเป๋งได้สำเร็จได้สักตัวน่ะ”
จุดประสงค์หลักที่หลิงตู้ฉิงรีบไปที่สำนักวายุคลั่งก็เพราะเขาอยากได้ร่างของโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งเพื่อจะนำมันมาให้อาวุธของเขาศึกษาทักษะต่าง ๆ ของคุนเป๋ง และส่งต่อมาให้เขาเพื่อที่ในอนาคตเขาจะได้มีความเร็วที่เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไปและที่สำคัญอาวุธนี้มันก็เป็นของเขาตั้งแต่แรกเริ่ม ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็ต้องนำมันกลับไปกับเขาอยู่ดี
การมารอบนี้มันจึงเป็นเหมือนการยิงครั้งเดียวได้นกสองตัว
การมาถึงของหลิงตู้ฉิงสร้างความปั่นป่วนให้กับสถานการณ์ของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ไม่น้อย
ด้วยความสามารถของหลิงตู้ฉิงที่พิสดารบวกกับความสัมพันธ์ที่เขามีกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ด้านหลังสำนัก มันจึงทำให้บรรดาผู้คนที่มีเจตนาแอบแฝงจำเป็นต้องสงบลงไม่กล้าสร้างเรื่องอะไรต่ออีก
ทางด้านของหลิงตู้ฉิงก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายหากยังไม่มีใครก่อปัญหาที่ชัดเจน เขาให้มู่หลงหยานออกไปหาซื้อวัตถุดิบต่าง ๆ มารวมไปถึงพริกหยกเจ็ดสีเพื่อนำมาใช้ย่างปีกข้างหนึ่งของคุนเป๋ง
หลังจากที่ย่างไปได้สักพัก ปีกของคุนเป๋งที่ถูกย่างก็กลายเป็นสีทองอร่าม ซึ่งดูน่าลิ้มลองเป็นอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่มันไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถกินได้เพราะปีกของคุนเป๋งนั้นมีความคมเป็นอย่างมากถึงขนาดจะใช้มันเป็นอาวุธก็ย่อมได้เช่นกัน
เมื่อย่างจนเกือบจะสุก หลิงตู้ฉิงก็เดินตรงไปที่เขตแดนหมองด้านหลังสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ทันที จากนั้นเขาก็เริ่มลงมือย่างปีกคุนเป๋งต่ออีก
ในระหว่างที่ย่างไปสักพัก เมื่อหลิงตู้ฉิงโรยพริกหยกเจ็ดสีลงไป จากที่ในตอนแรกปีกคุนเป๋งนั้นเป็นสีทอง จู่ ๆ มันก็ส่องประกายแสงเจ็ดสีในทันทีพร้อมกับส่งกลิ่นหอมหวนอันแปลกประหลาดแพร่กระจายออกไปทุกทิศทาง!