พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 710 อยากสู้กับข้างั้นเหรอ?
การปรากฏตัวขึ้นของหยูหงเว่ย ทำให้เย่ชางคงยิ่งรู้สึกหนักใจ
สถานะของหยูหงเว่ยนั้นไม่ใช่แค่เป็นเพียงผู้อาวุโสคุมกฎของสำนักแค่เพียงอย่างเดียว เขายังมีอีกสถานะหนึ่งก็คือเป็นผู้นำตระกูลคนปัจจุบันของตระกูลหยู
หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือ เรื่องราวทั้งหมดนี้ตระกูลหยูต้องการจะเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างเต็มตัว
“พี่หยู ข้าคิดว่าท่านควรจะทำความเข้าใจให้ดีเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ให้หมดก่อนที่พูดอะไรออกมานะ” เย่ชางคงพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
หยูหงเว่ยตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจังเช่นกัน “ท่านเจ้าสำนัก ถ้าให้ข้าพูดตามตรง พวกข้าเองก็รู้เรื่องราวทั้งหมดแบบเดียวกับท่านนั่นแหละ แต่แล้วมันยังไงล่ะ? ที่ด้านหลังสำนักพวกข้าได้เสียหยูคงหมิงและหยูเจิ้นไห่ ซึ่งพวกเขาทั้งคู่ต่างก็เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชัน”
“ต่อมาที่ตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียน ตระกูลของข้าก็เสียบรรพบุรุษของตระกูล หยูชี่หลงไปอีก คู่พ่อลูกหยูเจิ้นไห่กลายเป็นทาสรับใช้ของลูกเขยของท่าน ส่วนบรรพบุรุษของข้ากลายไปเป็นทาสรับใช้ของลูกชายท่าน สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้มันทำให้ข้ากังวลใจจริง ๆ ว่าถ้าหากเรื่องราวมันยังดำเนินไปแบบนี้ ในอนาคตมันไม่ใช่ว่าตระกูลของข้าจะกลายเป็นตระกูลรับใช้ท่านไปจนครบทุกคนเลยงั้นเหรอ?”
หยูปิงจ้องเขม็งไปที่เย่ชางคงเช่นกัน เพราะหยูชี่หลงนั้นเป็นบรรพบุรุษของเขา
เย่ชางคงตอบกลับทันที “เย่เจียงไห่เคยเป็นลูกชายของข้าต่างหาก แต่ในตอนนี้เขาได้กลายเป็นเจ้าตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนไปแล้ว และท่านเองก็คงน่าจะรู้ในจุดนี้ดีว่าเพื่อเป็นการตัดขาดกับพวกเรา เขาจึงได้มอบสมบัติให้พวกเรามามากมาย ส่วนเรื่องบรรพบุรุษของท่าน หยูชี่หลง มันเป็นเพราะเขาเองที่ทำผิดต่อกฎของตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียน เขาจึงถูกลงโทษให้กลายเป็นทาสรับใช้อยู่ที่นั่น และที่สำคัญข้าเองก็อุตส่าห์เอาอาวุธศักดิ์สิทธิ์และสมบัติของหยูชี่หลงมาคืนให้ท่านทั้งหมดแล้ว ท่านยังจะมาเอาอะไรกับข้าอีก?”
เย่ชางคงเองก็ทำอะไรไม่ได้กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตเหมือนกัน เขาได้ยินเหตุผลที่หยูชี่หลงถูกทำให้กลายไปเป็นทาสรับใช้ของลูกชายเขาแล้ว ซึ่งเรื่องทั้งหมดมันดันไปเกี่ยวข้องกับต้นเทวะศาสตราและดอกบัวเพลิงพิพากษา ดังนั้นเขาจึงไม่อยากจะพูดอะไรถึงเรื่องนี้มากนัก
ส่วนเรื่องของหยูเจิ้นไห่และหยูคงหมิง อันที่จริงเรื่องนี้มันไม่ควรจะยกมาพูดกันอีกด้วยซ้ำเพราะคู่พ่อลูกนั้นหาเรื่องใส่ตัวเอง
หยูหงเว่ยส่ายหัว “อาวุธศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นมันเป็นของตระกูลหยูเราอยู่แล้ว ดังนั้นการที่ท่านนำมันมาคืนให้พวกเรานั้นมันก็เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าหากท่านมีความรับผิดชอบในฐานะเจ้าสำนักของพวกเราทั้งหมดจริง ๆ ท่านควรจะคนของเราทั้งหมดกลับมา ไม่ใช่แค่อาวุธศักดิ์สิทธิ์เพียงอย่างเดียว! ไม่ว่าจะยังไงพวกเขาก็ยังคงเป็นคนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้พวกเขาจะทำอะไรผิดลงไปมันก็ควรเป็นพวกเราเท่านั้นที่มีสิทธิ์ตัดสินโทษของพวกเขา ไม่ใช่ให้คนอื่นมาตัดสินแทนแบบนี้!”
เหตุผลแอบแฝงของประโยคนี้คือ หากเจ้าไม่ช่วยคนทั้งหมดเจ้าก็ไม่คู่ควรกับตำแหน่งเจ้าสำนัก
เย่ชางคงเงียบไปสักพัก จากนั้นเขาถามขึ้นว่า “ท่านพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง?”
“ความหมายของข้าก็คือ…” หยูหงเว่ยมองไปที่เย่ชางคง จากนั้นเขามองไปที่หลิงตู้ฉิงและพูดว่า “คนของสำนักเราทุกคนควรจะได้รับการปล่อยตัวกลับมา ส่วนลูกเขยของท่านในฐานะที่เขาดูหมิ่นผู้อาวุโสของสำนักเรา เขาจะต้องกราบขอขมาพวกเราและชดใช้ทุกอย่างด้วยราคาที่เหมาะสม”
ก่อนที่เย่ชางคงจะได้ทันตอบอะไรกลับ หลิงตู้ฉิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาและพูดว่า “จะให้เข้าขอขมาพวกเจ้าเนี่ยนะ ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้านี่มันน่าตลกจริง ๆ อันที่จริงเจ้าควรจะขอบคุณข้ามากกว่าที่ข้าไม่เอาเรื่องพวกเจ้าในเรื่องอื่น ๆ ที่เคยทำกับข้า แล้วเจ้าบอกว่ายังไงนะ? ต้องการคนคืนงั้นเหรอ? เจ้าฝันอยู่รึเปล่า? เอาล่ะ ข้าคิดว่าข้าฟังเรื่องไร้สาระของเจ้ามามากพอแล้ว ข้าขอตอบตรงนี้เลยก็แล้วกัน ข้าจะไม่ขมาต่อใครทั้งนั้นมันไม่ใช่นิสัยของข้า ส่วนเรื่องคืนคนข้าเคยบอกแล้วว่าข้าจะคืนให้ก็ต่อเมื่อพวกเขาหมดประโยชน์กับข้า แต่ข้าคิดว่าเมื่อถึงเวลานั้นจริง ๆ พวกเขาคงไม่อยากจะกลับมาอยู่กับพวกเจ้าหรอก ข้ารับประกันได้!”ไอลีนโนเวล
หยูหงเว่ยจ้องเขม็งไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าเดือดดาล “อย่าคิดว่าเจ้าจะทำอะไรก็ได้เพราะเจ้ามีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์คุ้มกะลาหัวอยู่! หากเจ้ายังขืนปากดีต่อไปอีก ข้าจะทำให้เจ้าตายโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเจ้าตายได้ยังไง ต่อหน้าสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของข้าเจ้ามันก็ไม่ต่างอะไรกับธุลีดิน!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า นี่เจ้าคิดว่าสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าเก่งกาจมากนักเหรอ? ข้าจะบอกอะไรเจ้าไว้อย่าง ในสายตาของข้าสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ได้มีค่าอะไรให้พูดถึงเลยแม้แต่น้อย” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ
สำหรับสำนักเช่นสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ ในอดีตหลิงตู้ฉิงได้ทำลายลงไปหลายต่อหลายสำนักแล้ว หรือถ้าจะให้ยกตัวอย่างก็คือสำนักวายุคลั่งที่ในอดีตมีความแข็งแกร่งไม่ได้ด้อยไปกว่าสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์เลย และยังไม่รวมไปถึงสำนักโอสถนิรันดร์และตำหนักศาสตราศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งกว่าสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์หลายเท่าด้วยซ้ำ
คำพูดของหยูหงเว่ยเริ่มจะสะกิดต่อมความโกรธของหลิงตู้ฉิงขึ้นมาบ้างแล้ว
ส่วนคำพูดของหลิงตู้ฉิงก็ทำให้บรรดาผู้คนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์เดือดดาลขึ้นมาเช่นกัน ซึ่งแม้แต่เย่ชางคงก็ยังรู้สึกว่ามันออกจะเกินไปสักหน่อย
ไม่ว่าจะยังไงเขาก็ยังคงเป็นเจ้าสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ คำพูดของหลิงตู้ฉิงเมื่อครู่มันไม่ต่างอะไรกับดูถูกเขาไปด้วย
หยูปิงพ่นลมหายใจด้วยความเดือดดาล “ปากดีจริง ๆ! หากข้าไม่กลัวว่ามันจะเป็นการรังแกคนที่อ่อนแอกว่า ด้วยระดับการบ่มเพาะของเจ้าที่มีอยู่เท่านั้นข้าเองก็สามารถฆ่าเจ้าได้ในชั่วพริบตา!”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “อย่างเจ้าทำอะไรข้าไม่ได้หรอก ถึงแม้ว่าข้าจะอยู่ในขอบเขตนภา แต่ถ้าหากข้าอยากจะฆ่าเจ้ามันก็ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก”
“ถ้างั้นก็เข้ามาลองดูไหมล่ะ!” หยูปิงตอบกลับด้วยสายตาอาฆาต
เขาเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชัน ดังนั้นเขาจะยอมให้ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาพูดจาดูหมิ่นขู่ฆ่าเขาแบบนี้ได้ยังไง?
หากหลิงตู้ฉิงกล้าลงมือกับเขาก่อน เขาก็มีสิทธิ์ที่จะสวนกลับและถึงแม้ว่าเขาจะไม่ลงมือให้ถึงตาย แต่เขาก็ตั้งใจว่าจะอัดให้หลิงตู้ฉิงบาดเจ็บจนสาหัสในทันที
เล้งหวงรีบพูดแทรกขึ้นทันที “ช้าก่อนท่านอาหยูปิง ท่านเป็นถึงผู้เชี่ยวชอบเขตราชันท่านจะลดตัวไปสู้คนแบบนี้ทำไม? เอาเป็นว่าท่านปล่อยให้ข้าจัดการกับเขาเองดีกว่า ข้าเองก็มีเรื่องที่จะต้องสะสางกับเขาอีกเยอะเลยเหมือนกัน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หยูปิงก็จ้องเขม็งไปที่หลิงตู้ฉิง จากนั้นเขาก็ข่มอารมณ์โกรธเอาไว้และพยักหน้าให้เล้งหวง
เล้งหวงก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมกับพูดว่า “ข้าและศิษย์น้องโตด้วยกันมาตั้งแต่ยังเล็ก ซึ่งตั้งแต่แรกพวกเราทั้งคู่ถูกำหนดมาไว้แล้วว่าพวกเราจะได้ครองคู่กันแต่สุดท้ายเจ้ากลับแย่งนางไปจากข้า แถมต่อมาเจ้ายังทำให้พ่อข้ากลายเป็นทาสรับใช้ของเจ้าอีก เจ้าเหยียบย่ำครอบครัวของข้าเช่นนี้ในวันนี้ข้าจะขอคิดบัญชีกับเจ้าแบบทบต้นทบดอก! แต่ไม่ต้องห่วงข้าจะไม่เอาเปรียบเจ้าในเรื่องระดับการบ่มเพาะของข้าที่สูงกว่า เดี๋ยวข้าจะลดระดับการบ่มเพาะให้เท่ากับเจ้า ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าหากไม่มีท่านลุงเย่คอยให้ท้ายและไม่มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์สนับสนุน เจ้ามันก็แค่คนไร้ค่าคนหนึ่งเท่านั้น!”
ในอดีตเล้งหวงต้องการที่จะได้ตัวเย่ชิงเฉิงเป็นอย่างมาก เพราะเขาต้องการใช้นางช่วยบ่มเพาะร่างเทพสุริยะ แต่ในตอนนี้ที่เขาได้สำเร็จร่างเทพสุริยะเรียบร้อยเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรกับเย่ชิงเฉิงอีกต่อไป
สิ่งที่เขาสนใจในตอนนี้ก็คือพ่อของเขายังคงอยู่ในเงื้อมมือของหลิงตู้ฉิง
และแน่นอนว่าเป็นเพราะเขาสำเร็จร่างเทพสุริยะ มันจึงทำให้ผู้คนมากมายหันมาสนับสนุนเขา
ยกตัวอย่างเช่นตระกูลหยูที่รู้ดีว่าผู้ที่สำเร็จร่างเทพสุริยะได้นั้นในอนาคตจะแข็งแกร่งมากขนาดไหน ดังนั้นพวกเขาจึงเต็มใจสนับสนุนเล้งหวง และนอกจากเรื่องสนับสนุนเล้งหวง ตระกูลหยูก็ยังต้องการที่จะได้คนของพวกเขากลับคืนมาโดยเฉพาะหยูชี่หลง
แต่ด้วยประเด็นที่ตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนนั้นแข็งแกร่งเกินไป พวกเขาจึงไม่กล้าไปทวงคนคืนด้วยตัวเอง ดังนั้นพวกเขาจึงต้องพุ่งเป้ามาที่เย่ชางคงเป็นอันดับแรก เพื่อให้เย่ชางคงไปทวงคืนคนมาให้แทนพวกเขา
และนี่ก็คือสาเหตุที่พวกเขาต้องมาเผชิญหน้ากันแบบนี้
หลิงตู้ฉิงมองไปที่เล้งหวงด้วยสีหน้าสนุกสนาน และพูดว่า “นี่เจ้าอยากจะสู้กับข้างั้นเหรอ?”
เล้งหวงตอบกลับทันที “หากเจ้าคิดว่าครั้งนี้เจ้าจะรอดตัวไปได้เพราะมีลุงเย่คอยสนับสนุน ข้าบอกเลยว่ามันเปล่าประโยชน์! แต่เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล ข้ารับปากกับเจ้าเลยว่าข้าจะไม่ฆ่าเจ้าแน่นอน ไม่ว่าจะยังไงเจ้าก็เป็นสามีของศิษย์น้องข้า ข้ายังถือว่าเจ้าคือพวกเดียวกันกับพวกเรา”
“นายท่าน ให้ข้าออกไปสู้แทนดีไหม?” โม่หยูถังอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น
โม่หยูถังไม่ได้กังวลว่าหลิงตู้ฉิงจะแพ้ แต่เขากังวลว่าหลิงตู้ฉิงจะทำให้ที่นี่กลายเป็นทะเลเลือด!
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ไม่เป็นไร ถ้าเขาอยากจะสู้กับข้า ข้าก็จะสู้กับเขา! และอีกอย่างคัมภีร์เก้าเทพปีศาจของเจ้าสู้กับร่างเทพสุริยะของเขาไม่ได้หรอก เอาล่ะไอ้หนู เพื่อเห็นแก่ที่พ่อของเจ้ารับใช้ข้าเป็นอย่างดี ดังนั้นข้าจะไม่ฆ่าเจ้า แต่ข้าจะสั่งสอนให้เจ้ารู้ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าข้าเจ้ามันไม่มีค่าอะไรเลย”