พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 722 เดินทางต่ออีกครั้ง
สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ในทุก ๆ วัน
เมื่อไม่มีการถ่วงอำนาจกันของทั้ง 3 ตระกูล คำสั่งต่าง ๆ ที่เย่ชางคงสั่งลงไปเพื่อให้ทุกคนช่วยกันพัฒนาสำนักให้ดีขึ้นก็ผ่านฉลุยโดยไม่มีใครคัดค้าน
และเมื่อเป็นเช่นนี้ เย่ชางคงและคนอื่น ๆ ที่ได้รับสมบัติจำนวนมหาศาลมาจากเย่เจียงไห่ก็เริ่มแจกจ่ายสมบัติของตัวเองไปให้กับคนอื่น ๆ ในสำนัก
ในอดีตเย่ชางคงไม่มีความคิดที่จะแบ่งสมบัติเหล่านี้ที่เขาเองก็คงใช้มันไม่หมดให้กับคนตระกูลอื่นในสำนักเลย ถึงแม้ว่าเขาจะอยากให้สำนักพัฒนาไปมากกว่านี้ก็ตาม
เนื่องจากเขารู้ว่าต่อให้เขาแบ่งสมบัติเหล่านี้ให้คนตระกูลอื่นในสำนักไป คนเหล่านั้นก็คงไม่สำนึกในบุญคุณของเขาแถมยิ่งเมื่อแข็งแกร่งขึ้น คนเหล่านั้นก็จะหันมาแว้งกัดเขาเองอีกต่างหาก
แต่ตอนนี้สถานการณ์มันได้เปลี่ยนไปแล้ว ด้วยสัญญากฎสวรรค์ตระกูลหยูจะต้องเชื่อฟังเขาอย่างไม่มีข้อแม้ ส่วนตระกูลหานก็ไม่มีอำนาจพอจะต่อรองอะไรกับเขา ดังนั้นเขาจึงวางใจได้มากพอว่าสมบัติต่าง ๆ ที่เขามอบให้กับคนเหล่านั้นไปมันจะไม่ถูกใช้เพื่อมาทำร้ายเขาทีหลัง
แต่ว่าในระหว่างที่ทุกอย่างกำลังดำเนินไปเรื่อย ๆ ในเส้นทางที่เหมาะสม จู่ ๆ คนของตำหนักดับเซียนก็ปรากฏกายขึ้นที่หน้าสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์
เหตุผลที่มือสังหารของตำหนักดับเซียนมาเยือนสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์นั้นก็ไม่มีอะไรมาก เขามายื่นข้อเรียกร้องให้กับเย่ชางคงให้มอบตัวหลิงตู้ฉิงให้กับเขา
ท้ายที่สุดข่าวการตายของหยูปิงและกู่ตงฉิงก็หลุดออกไปจนได้
ซึ่งข่าวที่รั่วไหลออกไปนี้ เย่ชางคงไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะหยูห้าวหลงเอาไปบอกกับตำหนักดับเซียนเอง หรือว่าเป็นเพราะในสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของเขายังคงมีคนของตำหนักดับเซียนอยู่กันแน่
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เย่ชางคงก็ปฏิเสธและไล่มือสังหารของตำหนักดับเซียนให้กลับไปในทันที ซึ่งมือสังหารที่ถูกไล่ไปนั้นก็ได้แต่พูดข่มขู่ทิ้งท้ายเอาไว้ และจากไปอย่างไม่เต็มใจ
จากนั้นเวลาก็ล่วงเลยผ่านไปอีกพักใหญ่จนเข้าถึงปีที่ 47 ที่หลิงตู้ฉิงมาอยู่ในสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์
“ท่านพ่อ นี่มันก็ใกล้จะครบกำหนดที่น้องห้าสัญญาไว้กับท่านแล้ว ข้าอยากรู้ว่านางจะมาที่นี่ได้สำเร็จทันเวลารึเปล่าจริง ๆ” หลิงเทียนหยุนพูดกับหลิงตู้ฉิง
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ก็ถ้านางมาทันก็โชคดีไป แต่ถ้าหากนางมาไม่ทัน อันนี้นางจะโทษที่พ่อไม่รอก็คงจะไม่ได้ หากครบเวลา 50 ปีเมื่อไหร่ แล้วฟ่างหัวยังไม่มา พวกเราจะออกเดินทางไปจากที่นี่ทันที”
“ว่าแต่ท่านพ่อ สถานที่ต่อไปที่พวกเราจะเดินทางไปกันมันคือที่ไหน?” หลิงเทียนหยุนถามขึ้น
“สถานที่ต่อไปที่เราจะไปก็คือสำนักเทพปีศาจเก้าอเวจี!” หลิงตู้ฉิงเหลือบมองไปที่โม่หยูถัง และพูดขึ้นต่อ “เนื่องจากพ่อบ้านโม่ ชักชวนพ่อมาหลายรอบแล้ว ดังนั้นพ่อจึงตัดสินใจลองเดินทางไปดูสักหน่อย และจากนั้นพวกเราจะเดินทางต่อไปที่เขตแดนอุดรทมิฬ”
โม่หยูถังพูดขึ้นเสริมทันที “นายท่าน หากสำนักของข้าได้พบกับนายน้อยเทียนหยุนเมื่อไหร่ ข้ารับประกันว่านายน้อยจะต้องได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีแน่นอน”
“มันอาจจะไม่สวยหรูแบบที่เจ้าคิดก็ได้!” หลิงตู้ฉิงยิ้ม “เหตุผลที่เจ้าเห็นความพิเศษในตัวเทียนหยุนเพราะว่าเจ้าใช้เวลาอยู่กับเขามานานเจ้าถึงได้เห็น แต่คนสำนักของเจ้านั้นไม่ใช่ พวกเขาอาจจะไม่เห็นความพิเศษในตัวของเทียนหยุนเลยด้วยซ้ำ แต่ไม่ว่าจะยังไงไม่ว่าสำนักของเจ้าจะต้อนรับเทียนหยุนหรือไม่ เทียนหยุนจะต้องเดินทางไปที่เขตแดนอุดรทมิฬกับข้าด้วยเช่นกัน เพราะมีแต่ที่นั่นเท่านั้นที่สามารถแก้ปัญหาร่างกายของเขาได้”
โม่หยูถังยิ้มอย่างขมขื่น “เอ่อ…นายท่าน ถ้าหากพวกเราไปถึงสำนักเทพปีศาจเก้าอเวจีแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมันกลับไม่เป็นไปตามที่คิด ข้าขอวิงวอนท่านโปรดเมตตาคนของสำนักข้าบ้าง”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ฆ่าคนมั่วซั่วหรอกนะ”
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังคุยกัน จู่ ๆ ประตูเคลื่อนย้ายของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกบังคับให้เปิดออกโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกครั้ง
ซ่งเฉียน ผู้ที่รับหน้าคอยดูแลประตูเคลื่อนย้ายก็แสดงสีหน้าเหนื่อยใจ และตะโกนขึ้นว่า “ทุกคนจงเตรียมพร้อม มีใครบางคนพยายามทะลวงผ่านประตูเคลื่อนย้ายโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกแล้ว!”
ซ่งเฉียนรู้สึกจนใจจริง ๆ เนื่องจากตั้งแต่ที่เขาได้พบกับหลิงตู้ฉิง ประตูเคลื่อนย้ายของสำนักเขาก็ถูกเปิดออกโดยไม่ได้รับอนุญาตบ่อยมาก
แต่ทุกครั้งมันก็เป็นหลิงตู้ฉิงที่ทำ แต่รอบนี้เป็นใครกันที่พยายามจะผ่านออกมาโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก?
ช่วงเวลาอึดใจต่อมา ร่างของหยูเจิ้นไห่ก็ค่อย ๆ เดินออกมาจากประตูเคลื่อนย้ายพร้อมกับหญิงสาวที่หน้าตางดงามนางหนึ่ง
“ตาเฒ่าหยู ที่นี่คือสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของเจ้างั้นเหรอ? สำนักของเจ้านี่โอ่อ่าไม่เบาเลยนะเนี่ย! เอาล่ะเร็วเข้า รีบพาข้าไปหาพ่อของข้าเร็ว เขาบอกว่าเขาจะรอข้าแค่ 50 ปี ซึ่งนี่มันก็เหลืออีกไม่กี่ปีก็จะหมดเวลาแล้ว” หลิงฟ่างหัวพูดขึ้น
เมื่อซ่งเฉียนเห็นหยูเจิ้นไห่ เขาก็เดาได้ไม่ยากว่าเป็นใครที่มาเยือนสำนักของเขาในรอบนี้ ดังนั้นเขาจึงเข้าไปทักทายหยูเจิ้นไห่และพาหลิงฟ่างหัวไปยังเรือนของเย่ชิงเฉิงที่หลิงตู้ฉิงกำลังอาศัยอยู่ในตอนนี้
“ท่านพ่อ ข้ามาเร็วกว่าที่ท่านกำหนด 3 ปีแน่ะ!” หลิงฟ่างหัวพูดขึ้นด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “ข้าทำการติดตั้งประตูเคลื่อนย้ายไว้ที่คฤหาสน์สราญรมย์เรียบร้อย และจากนั้นข้าก็ใช้ประตูเคลื่อนย้ายเดินทางมาที่นี่ในทันทีเลย!”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ดีมาก เจ้าเร็วกว่าที่พ่อคิดไว้ซะอีก”
“แน่นอน ตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของข้าพัฒนามาจนอยู่ที่ระดับสวรรค์สามัญแล้วนะ ดังนั้นมันจะยากอะไรกับอีแค่การติดตั้งประตูเคลื่อนย้าย” หลิงฟ่างหัวหัวเราะ
“มีอะไรสำคัญเกิดขึ้นที่ทะเลชางหมางไหม?” หลิงตู้ฉิงถามกลับ
หลิงฟ่างหัวโบกมือและพูดว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดีท่านพ่อ ทุก ๆ คนต่างตั้งใจบ่มเพาะกันอย่างเอาเป็นเอาตายเลยทีเดียว โดยเฉพาะน้องหกที่ในตอนนี้เขาเอาแต่เฝ้ารอให้ท่านกลับไปเพื่อที่เขาจะได้ขยายอาณาจักรออกไปยังอาณาเขตอื่น ๆ สักที อ๋อและยังมีไอ้เจ้าหมานั่นที่จู่ ๆ ก็โผล่มาที่คฤหาสน์ของเรา ซึ่งทำให้ทุกคนหวาดผวากันยกใหญ่”
“แล้วไอ้เจ้าหมานั่นมันทำอะไรบ้างเวลาอยู่ที่นั่น?” หลิงตู้ฉิงถามขึ้นด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ
“มันคือที่สุดแล้วของความขี้เกียจท่านพ่อ มันไม่ทำอะไรเลย วัน ๆ มันเอาแต่นอนและก็นอนไม่สนใจใครทั้งนั้น!” หลิงฟ่างหัวพ่นลมออกจมูกด้วยความหงุดหงิด “แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่จู่ ๆ ไอ้หมาบ้านั่นมันงับข้าไปทีหนึ่งด้วยแหละท่านพ่อ แต่หลังจากนั้นเหมือนมันจะรู้ว่าตัวมันเองผิดมันก็เลยสอนเคล็ดวิชาบางอย่างให้ข้าเพื่อเป็นการไถ่โทษ”
หลิงตู้ฉิงยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน เนื่องจากเขารู้ว่าจริง ๆ แล้วง้าวเทวะพินาศของเขาไม่ได้งับหลิงฟ่างหัวโดยไร้เหตุผล ที่มันงับก็เป็นเพราะมันคงต้องการจะตรวจสอบร่างกายของหลิงฟ่างหัวว่าเป็นอย่างไร
เป็นที่รู้กันอยู่ระหว่างเขากับง้าวเทวะพินาศว่าสิ่งที่พวกเขาทั้งคู่ขาดอยู่ก็คือความเร็ว
ในตอนนี้เมื่อพวกเขามีทักษะของคุนเป๋งให้ลอกเลียนแบบ ดังนั้นง้าวเทวะพินาศมันคงจะอยากลองตรวจสอบความสามารถพิเศษสายเลือดของหลิงฟ่างหัว และลองนำทักษะของคุนเป๋งมาปรับแต่งรวมกันเพื่อลบจุดอ่อนในความเร็วของพวกเขา ซึ่งถ้าหากเอารวมกันได้สำเร็จจริง ๆ ในอนาคตใครกันที่จะสามารถหลุดพ้นจากเงื้อมมือพวกเขาไปได้?
“อันที่จริงไอ้เจ้าหมานั่นมันไม่ใช่หมา แต่มันคืออาวุธของพ่อ!” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้น “ในอนาคตเจ้าไม่จำเป็นต้องสุภาพอะไรกับมันมากนัก แต่แน่นอนว่าเจ้าก็ไม่ควรไปยั่วยุมันเช่นกัน มันได้รับการสืบทอดบุคลิกของพ่อในอดีตมาเต็ม ๆ ดังนั้นอารมณ์ของมันจึงยังคงดุร้ายอยู่”
หลิงฟ่างหัวรู้สึกแปลกใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ “แต่ว่าท่านพ่อ นอกจากที่มันขี้เกียจข้าคิดว่านิสัยของมันค่อนข้างดีเลยนะ ลูกชายของพี่ใหญ่เอาแต่พัวพันเล่นกับมันทั้งวัน ข้าก็ไม่เห็นว่ามันจะโกรธอะไรเลย แถมมันยังสอนอะไรให้ข้ารู้ตั้งหลายอย่างด้วยล่ะ!”
หลิงตู้ฉิงรู้สึกตกตะลึงทันทีเมื่อได้ยินแบบนี้ นี่ไอ้เจ้านั่นมันกลายเป็นหมาไปจริง ๆ แล้วงั้นเหรอ?
แต่เมื่อเขาคิดว่าการที่มันเป็นแบบนี้ก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้คิดอะไรต่อ
“เอาล่ะ เจ้าจงให้หยูเจิ้นไห่พาเจ้าไปเชื่อมต่อประตูเคลื่อนย้ายของที่นี่เข้ากับประตูเคลื่อนย้ายของที่คฤหาสน์เรา และจากนั้นเมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยพวกเราจะได้ไปจากที่นี่กัน” หลิงตู้ฉิงสั่งขึ้น
“ได้เลยท่านพ่อ” หลิงฟ่างหัวตอบกลับ
หลังจากนั้นหลิงฟ่างหัวก็ให้หยูเจิ้นไห่พานางไปที่ประตูเคลื่อนย้าย ส่วนหลิงตู้ฉิงก็พยายามหาเส้นทางที่สะดวกที่สุดเพื่อจะไปสำนักเทพปีศาจเก้าอเวจี
เนื่องจากสำนักเทพปีศาจเก้าอเวจีและสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยแม้แต่น้อย และโม่หยูถังเองก็ไม่รู้ว่าพิกัดประตูเคลื่อนย้ายของสำนักเขามันคืออะไร ดังนั้นมันจึงไม่แปลกอะไรที่หลิงตู้ฉิงจะไม่สามารถใช้ประตูเคลื่อนย้ายของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์เดินทางไปที่นั่นได้
เขาจึงเหลือแค่ทางเลือกเดียวคือต้องหาสำนักที่อยู่ใกล้กับสำนักเทพปีศาจเก้าอเวจีมากที่สุด และสำนักนั้นก็ต้องเดินทางไปด้วยประตูเคลื่อนย้ายของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ได้เพื่อที่เขาจะได้ประหยัดเวลาในการเดินทางไปต่อ
หลังจากการสอบถามทั้งโม่หยูถังและคนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ ในที่สุดเขาก็ได้ชื่อของสำนักที่เขาจะใช้ประตูเคลื่อนย้ายของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์มุ่งหน้าไป ซึ่งก็คือ สำนักดาบสวรรค์
หลังจากนั้นเมื่อหลิงตู้ฉิงเห็นว่าหลิงฟ่างหัวได้จัดการเรื่องเชื่อมต่อเส้นทางมิติของประตูเคลื่อนย้ายเรียบร้อยแล้ว เขาก็ร่ำลาเย่ชางคงและคนอื่น ๆ และใช้ประตูเคลื่อนย้ายเดินทางไปที่สำนักดาบสวรรค์ทันที
เมื่อเห็นว่าหลิงตู้ฉิงจากไปเรียบร้อย บรรดาผู้คนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ที่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของหลิงตู้ฉิงเป็นใครต่างก็พากันถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่ปีศาจตนนี้จากไปได้สักที!