พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 725 กลับมารนหาที่ตาย
บทที่ 725 กลับมารนหาที่ตาย[ฟรี]
หากเทียบความแข็งแกร่งของหมู่บ้านราตรีทมิฬกับสำนักที่ไม่ใหญ่มากเช่นสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ หมู่บ้านราตรีทมิฬยังนับได้ว่าอ่อนแอกว่าอยู่พอสมควร แต่ถ้าหากพูดถึงแค่ในเฉพาะอาณาเขตจันทราทมิฬ หมู่บ้านราตรีทมิฬคือกองกำลังที่แข็งแกร่งอันดับต้น ๆ
ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะสภาพแวดล้อมที่มีแต่หมอกของอาณาเขตจันทราทมิฬ มันจึงทำให้คนธรรมดาทั่วไปไม่มีใครอยากจะมาอาศัยอยู่ จะมีก็แต่เหล่ากลุ่มคนที่บ่มเพาะพลังธาตุมืดเท่านั้นที่จะมาอยู่อาศัย ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็มีจำนวนที่ไม่เยอะมากนัก หรือถ้าจะให้พูดง่าย ๆ ก็คือที่พวกเขาแข็งแกร่งเป็นอันดับต้น ๆ ก็เพราะอาณาเขตนี้มีสำนักอยู่ไม่มากนั่นเอง…
และเมื่อเป็นอาณาเขตที่ไม่ค่อนจะคนธรรมดาอยากจะผ่านเข้ามาเท่าไหร่ ดังนั้นผู้คนที่เดินทางเข้ามาที่อาณาเขตจันทราทมิฬส่วนใหญ่จะเป็นศัตรูเกือบทั้งหมด
ดังนั้นเหล่าผู้คนของหมู่บ้านราตรีทมิฬจึงตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาเมื่อเจอกับคนนอกที่เข้ามาใกล้กับหมู่บ้านของพวกเขา ซึ่งแน่นอนว่าครั้งนี้พวกเขาก็ไม่เดาผิด
รอบนี้ผู้ที่มาเยือนพวกเขาก็คือศัตรูจริง ๆ!
“เจ้าคือโม่หยูถังที่ถูกนายน้อยของพวกเราอัดจนเละไปเมื่อ 300 กว่าปีก่อนนั่นน่ะเหรอ?” หนึ่งในกลุ่มของหมู่บ้านราตรีทมิฬพูดเยาะเย้ย “ครั้งที่แล้วเจ้ายังไม่เข็ดใช่ไหม รอบนี้ถึงได้มารนหาเรื่องเจ็บตัวอีก?”
โม่หยูถังพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “ข้ามาที่นี่เพื่อคิดบัญชีกับอันซุย ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญกระจ้อยร่อยอย่างเจ้าอย่าได้มาทำข้าเสียเวลา ไม่เช่นนั้นข้าจะบี้เจ้าให้แบนเหมือนมด!”
เมื่อได้ยินคำขู่เช่นนี้ กลุ่มคนของหมู่บ้านราตรีทมิฬก็ไม่ได้โต้เถียงอะไรต่อ พวกเขารีบกลับไปที่หมู่บ้านของพวกเขาเพื่อแจ้งเรื่องของโม่หยูถังให้กับอันซุยทราบเรื่องทันที
“โม่หยูถังมาที่นี่งั้นเหรอ?” อันซุยพูดขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ในอดีตเขาส่งหมิงเย่ไปที่ทะเลชางหมางเพื่อฆ่าโม่หยูถัง ซึ่งหลังจากนั้นอันซุยก็ไม่ได้ข่าวของหมิงเย่อีกเลย ซึ่งมันทำให้อันซุยรู้ว่ามันน่าจะมีบางอย่างที่ผิดพลาด
แต่แล้วพอมาวันนี่เขาก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่า โม่หยูถังจะกล้ามาเยือนเขาถึงถิ่นอีกรอบ
“ใช่แล้วนายน้อย เป็นเขาแน่นอนข้าจำเขาได้!” ผู้ติดตามของอันซุยตอบกลับ “แต่ว่าครั้งนี้เขาไม่ได้มาแค่คนเดียว โม่หยูถังมาพร้อมกับกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีหลายคนที่ข้าไม่สามารถมองเห็นระดับการบ่มเพาะของพวกเขาได้รวมไปถึงระดับการบ่มเพาะของโม่หยูถังข้าเองก็มองไม่เห็นเหมือนกัน ข้าคิดว่ากลุ่มคนที่มากับโม่หยูถังน่าจะเป็นไพ่ลับที่โม่หยูถังเตรียมจะใช้เพื่อล้างแค้นนายน้อย”
อันซุยหัวเราะด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “ต่อให้มันจะฟื้นฟูระดับการบ่มเพาะได้แล้วจะยังไง? ระดับการบ่มเพาะของมันจะสูงขึ้นกว่าเดิมได้สักเท่าไหร่กันเชียว? ตอนนี้ข้าบรรลุระดับการบ่มเพาะไปถึงระดับเหนือล้ำเรียบร้อยแล้ว ในเมื่อมันอยากจะตายนักงั้นข้าก็จะสนองความต้องการให้มันสักหน่อย!”
“นายน้อย ข้าควรสั่งให้คนอื่น ๆ เตรียมโจมตีมันด้วยดีไหม?” ผู้ติดตามของอันซุยถามขึ้น
อันซุยพยักหน้า “แน่นอนว่าเราต้องเตรียมคนของเราเอาไว้เพื่อรับมือกับกลุ่มคนที่มันพามา หรือไม่ก็เพื่อปิดทางหนีของพวกมัน ในเมื่อวันนี้พวกมันมารนหาที่ตายด้วยตัวเอง พวกเราก็ต้องฆ่าพวกมันให้หมดไม่ให้เหลือกลับไปถึงสำนักเทพปีศาจเก้าอเวจีได้ ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นปัญหาทันที หมู่บ้านราตรีทมิฬของพวกเรายังไม่มีความแข็งแกร่งพอที่จะต่อกรกับสำนักเทพปีศาจเก้าอเวจีในตอนนี้”
“รับทราบ!” ผู้ติดตามของอันซุยตอบรับ
จากนั้นอันซุยจึงเดินออกไปที่ด้านนอกทางเข้าหมู่บ้านราตรีทมิฬ และตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าเย้ยหยันว่า “โม่หยูถัง ก่อนหน้านี้ข้าอุตส่าห์ใจดีปล่อยให้เจ้ารอดชีวิตไป แต่วันนี้เจ้ากลับมารนหาที่ตายอีกรอบ ฉะนั้นวันนี้ข้าจะไม่ใจดีปล่อยให้เจ้ารอดชีวิตไปได้อีก!”
ในระหว่างที่พูด อันซุยก็มองสำรวจโม่หยุถังไปด้วย ซึ่งเขาก็ตกตะลึงไปพอสมควร เนื่องจากเขาไม่สามารถเห็นระดับการบ่มเพาะของโม่หยูถังได้อย่างชัดเจนว่าอยู่ในระดับไหน!
หากเขามองไม่เห็นระดับการบ่มเพาะแบบนี้ มันก็มีคำอธิบายได้อย่างเดียวก็คือโม่หยูถังจะต้องมีระดับการบ่มเพาะไม่ต่ำกว่าระดับเหนือล้ำแน่นอน!
จุดตันเถียนของไอ้สารเลวนี่มันถูกทำลายไปแล้ว แล้วตอนนี้เวลามันเพิ่งผ่านไปแค่ 300 กว่าปี แต่มันกลับกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำหรือสูงกว่าได้ยังไง?
โม่หยูถังจ้องไปที่อันซุยด้วยสายตาอาฆาตและพูดว่า “ใจดีปล่อยข้างั้นเหรอไอ้สารเลว!? ในตอนนั้นหากเจ้าไม่วางแผนให้ผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญลอบโจมตีข้า มีเหรอที่ข้าจะแพ้เจ้าได้! แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นแบบนั้น ข้าก็ยังต้องขอบคุณเจ้าอยู่ดีเพราะถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าเจ้าให้คนของเจ้าตามฆ่าข้าในตอนนั้น ข้าก็คงไม่มีวันได้มาพบกับเจ้านายของข้า และประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วเหมือนในตอนนี้”
“เพื่อเป็นการขอบคุณ ข้าสัญญาว่าข้าจะฆ่าเจ้าให้ตายโดยคงสภาพศพของเจ้าให้สมบูรณ์ที่สุด อันที่จริงก่อนที่ข้ามา ข้าก็กังวลอยู่ตั้งนานว่าระดับการบ่มเพาะของข้าจะสูงกว่าเจ้าเกินไปไหม โชคดีจริง ๆ ที่คนสารเลวอย่างเจ้ายังพอมีน้ำยาอยู่บ้างที่สามารถบ่มเพาะมาได้จนถึงระดับเหนือล้ำเท่ากันกับข้าพอดี วันนี้ข้าจะได้ฆ่าเจ้าอย่างสบายใจโดยที่ไม่ถูกใครหาว่ารังแกคนที่อ่อนแอกว่า!”
ถึงแม้ว่าโม่หยูถังจะมองไม่เห็นระดับการบ่มเพาะของอันซุยเช่นกัน แต่เขาก็แน่ใจว่าระดับการบ่มเพาะของอันซุยจะต้องอยู่ไม่เกินระดับเหนือล้ำแน่นอน
เขาไม่เชื่อว่าคนที่มีพรสวรรค์ไม่มากนักอย่างอันซุยแถมยังไม่มีสิทธิพิเศษแบบเขาที่ได้ฟังการบรรยายเต๋าจากหลิงตู้ฉิงตั้งหลายต่อหลายรอบจะสามารถทะลวงระดับขึ้นไประดับนักบุญได้ภายใน 300 กว่าปีที่ผ่านมา
ทางด้านของอันซุย เมื่อได้ยินโม่หยูถังยอมรับว่าอยู่ในระดับเหนือล้ำเขาก็รู้สึกโล่งใจในทันที เนื่องจากในตอนนี้เขาอยู่ในระดับเหนือล้ำขั้นปลาย ซึ่งมันทำให้เขาคิดว่าโอกาสชนะของเขาน่าจะมีสูงกว่า
“ในเมื่อเจ้าอยากจะตายนักงั้นข้าจะสนองให้!” อันซุยตะโกน “รอบนี้ข้ามั่นใจว่าเจ้าหนีไม่รอดแน่!”
“หนีงั้นเหรอ?” โม่หยูถังหัวเราะ “รอบนี้ที่ข้ามาข้าไม่เคยมีความคิดที่จะหนีอยู่ในหัวเลยแม้แต่น้อย! รับการโจมตีของข้าซะ!”
เมื่อตะโกนจบ โม่หยูถังเรียกเอาหอกทะลวงเมฆามาถือไว้ในมือ และหลอมรวมร่างของตัวเองเข้ากับหมอกที่อยู่รอบ ๆ พุ่งตัวเข้าไปหาอันซุยทันที
แน่นอนว่าผู้เชี่ยวชาญที่ฝึกคัมภีร์เก้าเทพปีศาจนั้นก็เหมือนกับปลาที่อยู่ในน้ำเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่หมอกแบบนี้ พวกเขาสามารถใช้หมอกที่หนาแน่นเกื้อหนุนทำให้เคล็ดวิชาของตัวเองยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมาไปกว่าเดิม
ทางด้านของอันซุยที่บ่มเพาะเคล็ดวิชาธาตุมืดนั้นก็สามารถพึ่งพาสภาพแวดล้อมที่มีแต่หมอกแบบนี้ได้เหมือนกัน เขาหลอมรวมร่างของเขาเข้ากับหมอกและพุ่งเข้าไปปะทะกับโม่หยูถังทันที
ทางฝั่งคนดูก็ได้แต่รู้สึกงุนงงกับภาพการปะทะที่เห็น เนื่องจากพวกเขาไม่เห็นฉากการปะทะใด ๆ gลยนอกจากแสงวูบวาบที่ปรากฏขึ้นในกลุ่มหมอกที่ยุ่งเหยิงและความผันผวนของพลังวิญญาณที่เกิดขึ้นเพราะการปะทะของคนทั้งสอง
“ท่านพ่อ ปู่โม่จะเป็นอะไรไหม?” หลิงเทียนหยุนถามขึ้นด้วยสีหน้ากังวล
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “จะมีอะไรเกิดขึ้นกับปู่โม่ของเจ้าได้ยังไง? เขาคือผู้ที่ฝึกฝนคัมภีร์เก้าเทพปีศาจ ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาที่อยู่ในระดับสูงมากและยิ่งเมื่อเขาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่หมอกแบบนี้เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก และไม่เพียงแค่นั้นระดับความเข้าใจในเจตจำนงแห่งหอกของเขาตอนนี้ก็นับได้ว่าไม่ธรรมดา แถมเขายังมีวิชาทวนที่เหนือล้ำและอีกอย่างที่สำคัญที่สุดก็คือเขายังมีร่างแยกของเขาอีกหนึ่งร่าง! ดังนั้นมันจึงกลายเป็นว่าอันที่จริง อันซุยอะไรนั่นแท้จริงกำลังสู้อยู่กับพ่อบ้านโม่ 2 คนด้วยกัน ฟังแบบนี้แล้วเจ้าคิดว่าพ่อบ้านโม่จะยังน่าเป็นห่วงอยู่อีกรึเปล่าล่ะ?”
ในตอนแรกเพื่อช่วยให้โม่หยูถังสามารถใช้พลังวิญญาณได้ชั่วคราว หลิงตู้ฉิงจึงหลอมรวมลูกปัดสะสมวิญญาณลงไปในร่างของโม่หยูถังให้กลายเป็นจุดตันเถียนจำลองไปก่อน
แต่จากนั้นเมื่อจุดตันเถียนของโม่หยูถังฟื้นฟูกลับมาเรียบร้อย หลิงตู้ฉิงก็ทำให้โม่หยูถังสามารถใช้ลูกปัดสะสมวิญญาณสร้างร่างแยกของตัวเองออกมาได้อีกร่างหนึ่ง ซึ่งร่างแยกจะมีความแข็งแกร่งที่เท่ากันกับร่างจริงแบบไม่มีผิดเพี้ยน ดังนั้นหลิงตู้ฉิงจึงไม่กังวลผลของการประลองของโม่หยูถังในตอนนี้เลย
แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วก็คือ ตอนนี้เขาสัมผัสได้ว่ามีคนจำนวนมากกำลังแอบตีวงล้อมพวกเขาอยู่
“เจิ้นไห่ คงหมิง คอยจับตาดูสถานการณ์รอบ ๆ ให้ดี ตอนนี้มีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากล้อมรอบพวกเราอยู่ ซึ่งหลายคนอยู่ในระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นจับตาดูพวกมันไว้อย่าให้พวกมันเข้ามาใกล้จนรบกวนการประลองของพ่อบ้านโม่ได้” หลิงตู้ฉิงสั่งขึ้น
หยูเจิ้นไห่และหยูคงหมิงตอบรับทันที “รับทราบนายท่าน!”
ในเวลาเดียวกัน การต่อสู้ของโม่หยูถังและอันซุยก็รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
แต่แล้วจู่ ๆ อันซุยก็ตะโกนขึ้น “ข้าไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าเจ้าที่เคยหนีข้าเหมือนหมาในวันนั้นจะสามารถแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ได้ในวันนี้ ถ้าหากเจ้ามาหาก่อนหน้านี้ข้าอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า แต่ในตอนนี้เจ้ามาสายเกินไป!”
เมื่อพูดจบจู่ ๆ กลิ่นอายของอันซุยก็เปลี่ยนไปเป็นแข็งแกร่งขึ้นราวกับว่าระดับการบ่มเพาะของเขาก็ทะลวงระดับอย่างไม่มีสาเหตุ!!