พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 738 สามสายเลือด
เมื่อผู้คนของสำนักเงามายาได้ยินที่หลิงตู้ฉิงพูดแบบนี้ พวกเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากโดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันทั้งสองที่รับหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์เต๋าให้กับอุลบา
แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกไม่พอใจ พวกเขาก็ยังไม่บุ่มบ่ามทำอะไรกับหลิงตู้ฉิง เนื่องจากพวกเขาต้องการรอการตัดสินใจของอุลบาก่อนว่าจะเอายังไง
อุลบามองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาไม่แน่ใจอยู่สักพัก จากนั้นเขาก็เอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าสามารถช่วยให้ข้าเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้แน่ใช่ไหม? ว่าแต่เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไรเพื่อเป็นการตอบแทน?”
“ข้าต้องการให้เจ้าเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อส่งข้อความของข้าให้กับใครบางคนที่อยู่ข้างในนั้น ไม่งั้นข้าจะช่วยให้เจ้าเข้าไปข้างในนั้นทำไมจริงไหม?” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้น “ภารกิจของเจ้าก็มีเพียงแค่นี้ แค่ส่งข้อความจากนั้นก็จบ!”
อันที่จริงหลิงตู้ฉิงยังบอกไม่หมดว่าการที่อุลบาจะพบบุคคลที่เขาต้องการส่งข้อความไปถึงมันไม่ง่ายสักเท่าไหร่นัก อุลบาจะต้องทำตามวิธีการบางอย่างของเขาเพื่อให้บุคคลผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นมาด้วย
อุลบาชั่งใจส่วนได้ส่วนเสียอยู่สักพัก จนเขารู้สึกว่าภารกิจนี้มันน่าจะไม่มีปัญหาอะไร จากนั้นเขาจึงหันไปหาผู้อาวุโสของสำนักเขาอีกทีเพื่อดูท่าทีผู้อาวุโสของเขา ซึ่งผู้อาวุโสทั้งสองของเขาต่างก็มองหน้ากันและหันมาพยักหน้าให้เขาเล็กน้อย
ปัญหาของอุลบานั้นทำให้พวกเขาปวดหัวมาเป็นเวลานาน พวกเขาต่างคิดว่าอุลบาไม่ต่างอะไรกับเพชรที่ยังไม่ได้รับการเจียระไน ซึ่งพวกเขาเองก็ไม่มีเครื่องมือ และต้องหวังพึ่งแต่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้ช่วยแก้ปัญหานี้ให้
แต่แล้วในตอนนี้กลับมีคนที่มาบอกกับพวกเขาว่าสามารถแก้ไขปัญหานี้ให้ได้ ดังนั้นทำไมพวกเขาถึงจะไม่ลองคว้าโอกาสนี้ดูสักครั้ง?
พวกเขาต่างคิดว่าต่อให้หลิงตู้ฉิงจะแก้ปัญหาไม่ได้ทั้งหมด แต่ถ้าทำให้อุลบาแข็งแกร่งขึ้นบ้างแม้เพียงเล็กน้อยมันก็คุ้มที่จะลอง
หลังจากได้รับการอนุญาตจากผู้อาวุโส อุลบาก็พูดกับหลิงตู้ฉิงว่า “เอาล่ะ งั้นบอกข้ามาได้แล้วว่าเจ้าจะช่วยข้ายังไง ถ้าข้าสามารถเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้จริง ๆ ข้าสัญญาว่าข้าจะนำข้อความของเจ้าส่งไปถึงคนที่เจ้าต้องติดต่อในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แน่นอน!”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ดีมาก! ส่วนเรื่องวิธีการที่ข้าจะช่วยเจ้านั้นอันดับแรกเอาเลือดของเจ้ามาให้ข้าสักขวดเพื่อศึกษาดูก่อน ข้าจำเป็นต้องใช้มันในการหาวิธีการแก้ปัญหาที่เหมาะสมกับเจ้าที่สุด!”
อันที่จริงหยดเลือดเพียงหยดเดียวก็เพียงพอแล้วที่หลิงตู้ฉิงจะใช้ในการศึกษา แต่ด้วยเหตุผลที่เขาอยากจะได้เลือดนี้ไปให้กับหลิงยู่ชาน เขาจึงขอมาขวดหนึ่งซะเลย
จากนั้นหลิงตู้ฉิงก็โยนขวดหยกไปให้กับอุลบา
ทางด้านของอุลบาที่รับขวดมาแล้วก็ไม่รอช้า เอาเลือดสีดำทมิฬของเขาเองใส่ในขวดที่หลิงตู้ฉิงโยนมาให้จนเต็มขวด และจากนั้นเขาก็ส่งขวดคืนกลับไป
เมื่อได้รับเลือดของอุลบามา หลิงตู้ฉิงก็ตรวจสอบสายเลือดของอุลบาทันที ซึ่งสิ่งที่เขาพบก็คืออันที่จริงแล้ว อุลบามี 3 สายเลือดต่างหากที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย!
หลิงตู้ฉิงมองไปที่อุลบาด้วยสายตาประหลาดใจและพูดว่า “นอกจากที่เจ้าจะมีสายเลือดของมนุษย์หินและปีศาจยักษ์แล้ว เจ้ายังมีสายเลือดของเผ่าวิญญาณอเวจีอีกด้วย และเนื่องจากพลังทั้งสามสายเลือดของเจ้าขัดแย้งกันอยู่ มันจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเจ้าถึงไม่สามารถบ่มเพาะได้”
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันทั้งสองต่างมองมาที่หลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าตกตะลึง เนื่องจากพวกเขาแน่ใจว่าคำพูดของหลิงตู้ฉิงไม่ได้โกหกเลยแม้แต่น้อย พวกเขาไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าอุลบาจะมีสามสายเลือดไหลเวียนอยู่ในร่าง
“จุดเด่นของผู้ที่มีสายเลือดวิญญาณอเวจีก็คือเมื่อพวกเขาบ่มเพาะไปจนถึงระดับสูงสุด พวกเขาจะสามารถทำให้ร่างกายของพวกเขาล่องหนได้เหมือนวิญญาณ แต่สำหรับสายเลือดมนุษย์หินและปีศาจยักษ์ของเจ้านั้นมันกลับเป็นการเน้นสร้างความแข็งแกร่งให้กับร่างกายเป็นหลัก”
หลิงตู้ฉิงค่อย ๆ อธิบาย “ดังนั้นมันก็กลายเป็นว่าเจ้ามีพลังด้านหนึ่งที่เน้นไปทางด้านมวลแข็งจับต้องได้ แต่อีกพลังสายหนึ่งของเจ้ากลับเป็นแบบไร้รูปลักษณ์ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้มันขัดแย้งกันจนสุดขั้ว และมันคงจะไม่เป็นไรถ้าหากสายเลือดมนุษย์หินและปีศาจยักษ์ของเจ้านั้นแข็งแกร่งกว่าสายเลือดวิญญาณอเวจี”
“แต่น่าเสียดายที่ในความเป็นจริงมันกลับกลายเป็นว่า สายเลือดวิญญาณอเวจีของเจ้ากลับแข็งแกร่งพอที่จะเทียบได้กับสายเลือดมนุษย์หินและปีศาจยักษ์รวมกัน ดังนั้นเมื่อพลังทั้งสองขั้วที่ต่างไม่มีฝั่งไหนด้อยไปกว่ากันยันกันอยู่แบบนี้ มันจึงกลายเป็นโศกนาฏกรรมของเจ้า อุลบา!”
“แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้มันใช่ว่าจะมีแต่ผลเสียเพียงอย่างเดียว ต้องรู้ไว้ว่าถ้าหากสายเลือดทั้งสามของเจ้าถูกทำให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ เมื่อถึงเวลานั้นความแข็งแกร่งของเจ้าจะมีน้อยคนนักที่จะเทียบได้”
“ถ้าอย่างนั้นวิธีการแก้ปัญหาที่ท่านคิดไว้มันคืออะไรงั้นเหรอคุณชายหลิง?” หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ถ้าให้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ ดึงเอาสายเลือดวิญญาณอเวจีออกมาจากร่างกายของอุลบาหรือไม่ก็ดึงเอาสายเลือดมนุษย์หินและปีศาจยักษ์ออกมาแทนเพื่อจบความขัดแย้งของพลังในร่างกายของเขาออกไป แค่นั้นเขาก็จะสามารถบ่มเพาะได้เหมือนทุกคน”
“แล้วมันมีทางอื่นอีกไหมคุณชายหลิง?” ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันอีกคนถามขึ้น “ในเมื่อท่านมั่นใจว่าท่านสามารถช่วยอุลบาได้ ดังนั้นข้าคิดว่าท่านจะต้องมีวิธีการอื่นอีกใช่ไหม?”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “อันที่จริงมันก็มีวิธีอื่นด้วยเหมือนกัน แต่เนื่องจากปัญหาในร่างกายของอุลบานั้นไม่ธรรมดาเลย ดังนั้นข้าจึงจำเป็นต้องคิดวิเคราะห์วิธีการนั้นและปรับปรุงมันให้เข้ากับอุลบาให้ดีที่สุดก่อน ดังนั้นพวกเจ้าคงต้องให้เวลาข้าคิดวิเคราะห์วิธีการนั้นก่อนสักพัก!”
ปัญหาในร่างกายของอุลบานั้นซับซ้อนกว่าปัญหาของหนานกงหลิงเป็นอย่างมาก ซึ่งการที่จะถ่ายทอดเคล็ดวิชาไท่จี๋ซวนหยวนเพื่อแก้ปัญหามันคงยังไม่เพียงพอ ถึงแม้ว่าปัญหาของพวกเขาจะคล้ายกัน แต่ปัญหาของอุลบานั้นเกี่ยวข้องกับสายเลือดถึงสามสาย
“ถ้าอย่างนั้นพวกข้าขอรบกวนคุณชายหลิงด้วย!” ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันทั้งสองต่างพูดขึ้นพร้อมกันด้วยท่าทีเคารพมากยิ่งขึ้น เนื่องจากปัญหานี้มันเกี่ยวข้องกับอนาคตของอัจฉริยะสำนักพวกเขา “แต่ว่าคุณชายหลิงอาจจะต้องเร่งมือหน่อยสำหรับการแก้ไขปัญหาของอุลบา เนื่องจากเวลาการเปิดคัดเลือกทูตของเมืองศักดิ์สิทธิ์นั้นจะเริ่มขึ้นในอีก 15 ปี ซึ่งภายในช่วงเวลานี้หากคุณชายหลิงมีสิ่งใดให้พวกเราช่วยเหลือ ท่านสามารถบอกพวกเรามาได้เลยในทันที พวกเราพร้อมที่จะสนับสนุนท่านในทุก ๆ อย่าง”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า จากนั้นเขาก็เดินกลับไปที่ห้องพักของเขาเพื่อหาวิธีการแก้ปัญหาสายเลือดของอุลบา ซึ่งมันอาจจะต้องใช้เวลานานพอสมควร
ในเวลาเดียวกันกับที่หลิงตู้ฉิงกำลังง่วนอยู่ที่เขตแดนอุดรทมิฬ ขณะนี้ในอาณาเขตวายุกลับมีเหล่าอสูรกลุ่มหนึ่งเพิ่งเดินทางมาถึง
เหตุผลที่พวกมันออกมาเช่นนี้ก็เพราะว่าหลงหยาและโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งได้ออกไปจากสันเขาหมื่นอสูรเป็นเวลานานมากแล้ว แต่กลับไม่มีข่าวหรือใครเดินทางกลับไปที่สันเขาหมื่นอสูรเลย
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์แบบนี้มันแปลกประหลาดเกินไป สันเขาหมื่นอสูรจึงทำการส่งพลพรรคของตัวเองออกมาตรวจสอบ
แต่แล้วพอถึงตอนที่พวกมันจะใช้ประตูเคลื่อนย้ายเดินทางมาที่สำนักวายุคลั่ง พวกมันกลับพบว่าพิกัดประตูเคลื่อนย้ายของสำนักวายุคลั่งที่พวกมันเคยรู้นั้นใช้ไม่ได้อีกแล้ว ซึ่งทำให้พวกมันรู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับสำนักวายุคลั่ง
แต่แน่นอนว่าพวกมันก็ไม่ได้คิดลึกไปถึงขั้นสงสัยว่า หลงหยาและโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งจะมีปัญหาไปด้วย
ดังนั้นเมื่อเข้าใจว่าสำนักวายุคลั่งน่าจะมีปัญหา สันเขาหมื่นอสูรจึงส่งพวกของตนเองเดินทางมาตรวจสอบสำนักวายุคลั่งทันที เนื่องจากไม่ว่าจะยังไงสำนักวายุคลั่งก็เป็นเหมือนทาสที่พวกมันเลี้ยงเอาไว้ใช้ประโยชน์ หากไม่มีสำนักวายุคลั่งแล้วชีวิตของพวกมันย่อมสุขสบายน้อยลง
แต่แล้วเมื่อพวกมันมาถึงที่สำนักวายุคลั่ง สิ่งที่พวกมันเห็นกลับมีเพียงซากปรักหักพังที่หลงเหลืออยู่
สำนักวายุคลั่งที่พวกมันเคยลงทุนไปมากมายในตอนนี้กลับเหลือแต่เพียงซากปรักหักพังที่ไร้ความหมายไปเรียบร้อยแล้ว!