พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 76 แผนชั่ว[รีไรท์]
บทที่ 76 แผนชั่ว[รีไรท์]
หลิงฉิงเฟิงมองหลิงเจิ้งสงและหลิงเล่อชานด้วยสีหน้าขัดข้อง “ท่านปู่ ข้าอยากให้ท่านอธิบายให้ข้าเข้าใจ”
“อธิบายให้เขาฟัง” หลิงเจิ้งสงบอกกับหลิงเล่อชาน
หลิงเล่อชานพยักหน้ารับทราบจากนั้นเขาหันไปหาหลิงฉิงเฟิง “พ่อจะถามคำถามกับเจ้าสองข้อ ข้อแรก เจ้าคิดว่าระหว่างปู่ของเจ้ากับเจิ้นฟูเห่าใครกันที่แข็งแกร่งกว่า?”
หลิงฉิงเฟิงตอบกลับทันที “แน่นอนว่าต้องเป็นท่านปู่ ท่านปู่ดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ มีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชามากกว่าครึ่งของกองกำลังทั้งหมดในอาณาจักรจันทรา ส่วนเจิ้นฟูเห่า ต่อให้เขาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพทมิฬ หากนับเรื่องจำนวนทหารที่อยู่ใต้การบังคับบัญชาย่อมด้อยกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย”
หลิงเล่อชานพยักหน้าหนึ่งครั้งแล้วถามต่อ “คำถามที่สอง เรื่องราวความแค้นของเจิ้นฟูเห่าที่มีต่อญาติเจ้าที่ไปฆ่าเจิ้นสีชวง เจ้าคิดว่าหนี้แค้นนี้ควรจะสะสางอย่างไรดี?”
หลิงฉิงเฟิงคิดสักพักก่อนจะส่ายหัว “ต่อให้หลิงตู้ฉิงไปขอขมา ข้าคิดว่าด้วยนิสัยของเจิ้นฟูเห่าแล้ว เขาคงยังตามราวีไม่เลิกแน่นอนจนกว่าจะสังหารคนที่ฆ่าลูกชายเขาได้สำเร็จ”
“ในเมื่อเจ้าก็ทราบว่าต่อให้หลิงตู้ฉิงไปขอขมาต่อตระกูลเจิ้น เจิ้นฟูเห่าก็ไม่มีวันปล่อยเขาไปอยู่ดี แล้วทำไมเจ้ายังไปบอกให้เขาไปขอขมาตระกูลเจิ้นอีก?” หลิงเล่อชานถามกลับ
เมื่อหลิงฉิงเฟิงได้ยินคำถามนี้เขามองไปยังปู่และพ่อของเขา จากนั้นจึงอธิบาย “หลังจากที่ข้าสืบประวัติตระกูลเจิ้น ข้าคิดว่าความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นไม่ธรรมดาเลยหากเทียบกับตระกูลทั่วไป และอีกอย่างข้าพบว่ามีข่าวลือต่าง ๆ มากมายเกี่ยวกับกลุ่มอิทธิพลที่หนุนหลังตระกูลเจิ้นอาจจะเป็นบุคคลที่มีฐานะสูงส่ง ข้าจึงคิดว่า…”
“เจ้ายังมองทุกอย่างไม่แตกฉาน” หลิงเล่อชานพูดแทรก “ต่อให้เจิ้นฟูเห่าจะมีผู้หนุนหลังเป็นคนในราชวงศ์แล้วจะทำไม? ฐานะของเขาก็ยังอยู่ในฐานะเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และนี่คือสิ่งที่เจ้าทำพลาด เจ้าคิดหน้าคิดหลังมากเกินไป กังวลในสิ่งที่ไม่จำเป็นมากเกินไป”
หลิงเจิ้งสงพูดเสริมต่อ “สิ่งที่เจ้าทำได้ดีในการไปเยือนเมืองฟีนิกซ์ที่ผ่านมา คือเจ้าไม่ได้กระทำการอะไรขัดแย้งกับญาติของเจ้าและเจ้ายังสามารถตัดสินใจจัดการแก้ปัญหาด้วยตัวเองได้โดยไม่คล้อยตามไปกับอารมณ์ของผู้คุ้มกันที่เจ้านำไปด้วย แต่สำหรับสิ่งที่เจ้าพลาดไปอย่างใหญ่หลวงนั่นคือ…”
หลิงเจิ้งสงทิ้งช่วงแล้วพูดต่อ “เจ้าประเมินความแข็งแกร่งของตระกูลเราต่ำเกินไป! ตระกูลหลิงของเราไม่จำเป็นต้องกลัวใครหน้าไหน ยิ่งกับเจิ้นฟูเห่ายิ่งไม่ต้องพูดถึง! อันที่จริงภารกิจที่ข้าส่งเจ้าไปสะสางที่เมืองฟีนิกซ์ ควรจะเป็นภารกิจที่เจ้าทำผลงานได้ดีกว่านี้ แต่เจ้ากลับทำผิดพลาดในหลายเรื่อง เอาล่ะ ตอนนี้หมดเรื่องของเจ้าแล้ว เจ้าจงกลับไปรอคำสั่งของพ่อเจ้าต่อไป”
หลิงฉิงเฟิงนั่งคิดสักพักจึงพูดออกมา “ท่านปู่ ท่านพ่อ ข้าต้องการกลับไปที่เมืองฟีนิกซ์อีกครั้ง!”
“ได้” หลิงเจิ้งสงอนุญาต
เมื่อหลิงฉิงเฟิงออกจากห้องไป หลิงเล่อชานก็มองไปทางหลิงเจิ้งสง “ท่านพ่อ ทำไมท่านถึงให้เขากลับไป?”
หลิงจิ้งสงตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “อย่าถาม ข้าไม่บอก”
หลิงเจิ้งสงพอจะเดาได้ว่าเหตุผลที่หลิงฉิงเฟิงอยากกลับไปที่เมืองฟีนิกซ์นั่นก็เพราะหลิงฉิงเฟิงต้องการกลับไปสืบเรื่องราวอันคลุมเครือของหลิงตู้ฉิงต่อ
เมื่อเห็นพ่อของเขาปากแข็งไม่ยอมพูดอะไรหลิงเล่อชานส่ายหัวและพูดขึ้น “ข้าล่ะเหนื่อยกับท่านจริง ๆ อะไร ๆ ท่านก็เป็นความลับไปซะทุกอย่าง ข้าไม่กวนท่านแล้วข้าขอตัวกลับล่ะ”
เมื่อเห็นลูกชายตัวเองจากไป หลิงเจิ้งสงเผยรอยยิ้มพอใจออกมา เขาคิดถึงเรื่องของหลิงตู้ฉิงที่ยอมรับกงหยูให้เป็นผู้ติดตาม การกระทำเช่นนี้มีความหมายต่อหลิงเจิ้งสงเป็นอย่างมาก เห็นได้ว่าหลิงตู้ฉิงยอมรับฐานะตระกูลหลิงว่าเป็นพวกเดียวกับตน
ส่วนเรื่องราวความพิสดารของหลิงตู้ฉิงนั้น หลิงเจิ้งสงไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย เขามองว่านี่เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่หลิงตู้ฉิงจะต้องไม่ธรรมดา ขนาดพ่อแม่ของเขายังไม่ธรรมดาแล้วลูกที่เกิดมาจะเป็นคนปกติได้อย่างไร?
“ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่าเขาจะมาที่นี่เมื่อไหร่?” หลิงเจิ้งสงพึมพำกับตนเอง
อันที่จริงหลิงเจิ้งสงนั้นยังไม่รู้ถึงความจริงที่ว่าโอกาสที่หลิงตู้ฉิงจะมาเยือนเมืองหลวงนั้นอยู่อีกไม่ไกลแล้วและโอกาสนั้นย่อมเกิดขึ้นมาจาก ‘จ้าวเหมิงลู่’
“ท่านปู่ เอกสารเชิญตัวของหลิงตู้ฉิงและหนังสือระเบียบการรับเด็ก ๆ เสร็จหรือยัง?” จ้าวเหมิงลู่ถามจ้าวปาเทียนด้วยสีหน้ากังวล
เป็นเวลาเกือบ 2 เดือนแล้วที่นางยังอยู่ในเมืองหลวง แต่นางก็ยังไม่ได้รับเอกสารใด ๆ จากปู่ของนางเลย นี่ทำให้นางกังวลเป็นอย่างมาก
จ้าวปาเทียนโยนแหวนมิติไปให้จ้าวเหมิงลู่และพูดล้อเลียน “เจ้าเนี่ยนะ เพื่อคนรักของเจ้า เจ้าถึงกับไม่เกรงใจปู่แล้วนะเดี๋ยวนี้ เอาล่ะ เจ้าพอใจแล้วหรือยัง?”
เมื่อจ้าวเหมิงลู่ได้แหวนมิติมานางรีบตรวจสองเอกสารที่อยู่ด้านในทันที เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อย นางพูดด้วยอารมณ์เบิกบานใจ “ขอบคุณท่านปู่ ข้าขอตัวก่อนนะ!”
“เจ้าจะไปไหน?” จ้าวปาเทียนถามนาง
“ข้าจะไปส่งพวกมันให้กับหลิงตู้ฉิงไงท่านปู่” จ้าวเหมิงลู่ตอบกลับ
“เจ้าได้บอกพ่อแม่ของเจ้าเรื่องหลิงตู้ฉิงแล้วหรือยัง?” จ้าวปาเทียนแหย่จ้าวเหมิงลู่
จ้าวเหมิงลู่ตอบด้วยความเขิน “ท่านปู่! ข้าอุส่าห์สอนเคล็ดตราประทับย่อส่วนและวิชาพลังชีพหวนคืนให้ท่านนะ ท่านต้องช่วยพูดกับพ่อแม่ให้ข้าด้วยสิ!”
เมื่อพูดจบนางก็รีบวิ่งจากไป และเตรียมตัวเดินทางไปเมืองฟีนิกซ์เพียงลำพัง
ตัดกลับมาที่เมืองฟีนิกซ์
การประลองรอบคัดเลือกได้เริ่มขึ้นแล้ว
ตอนนี้หลิงยู่ชานได้รับชัยชนะติดต่อกัน 5 ครั้งจนขึ้นสู่อันดับหนึ่งของตารางประลองรอบคัดเลือกเรียบร้อย ส่งผลให้ชื่อเสียงของเขาเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งการประลอง
แต่อนิจจา ด้วยชื่อเสียงอันกระฉ่อนของหลิงยู่ชานนั้นได้ดังก้องไปถึงสถาบันหงส์เพลิงด้วยเช่นกัน เหล่าลูกศิษย์สถาบันหงส์เพลิงที่ขุ่นเคืองเขาในตอนนี้ออกอาการร้อนรนเหมือนดั่งไฟลวก
“ไหนใครบอกว่ามันบ่มเพาะไม่ได้กัน?”
“หรือว่าการทดสอบคราวนั้นปัญหาจะเกิดขึ้นจากสถาบันเราจริง ๆ…”
เสียงคาดเดาต่าง ๆ นา ๆ เกี่ยวกับหลิงยู่ชานตอนนี้เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ
ในเวลาเดียวกัน ชื่อเสียงของหลิงยู่ชานได้เข้าไปถึงหูตระกูลเจิ้น
“ไอ้เด็กเวรนั่นมันกล้าเข้าไปร่วมการประลองเทศกาลบูชาเพลิงงั้นเหรอ?” เจิ้นป่าเจ่าพูดอย่างอาฆาต
จี้ชิงหยวนเอ่ยขึ้น “นายท่าน หรือว่าท่านกำลังจะ…”
เจิ้นป่าเจ่าพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ในเมื่อตอนนี้ข้ายังทำอะไรหลิงตู้ฉิงไม่ได้ เช่นนั้นข้าจะเล่นงานลูกมันก่อน ต่อให้หลิงตู้ฉิงจะพิสดารยังไง แต่ข้าไม่เชื่อว่าลูกของมันจะพิสดารตามไปด้วย ในสนามประลองอะไรก็เกิดขึ้นได้ ข้าจะเล่นงานลูกของมันที่นั่น!”
จี้ชิงหยวนพูดด้วยอาการอึดอัด “แต่นายท่าน ตอนนี้ลูกของหลิงตู้ฉิงได้ผ่านเข้ารอบไปแล้ว และกฎการประลองได้กำหนดไว้ว่าผู้เข้าร่วมจะต้องเป็นศิษย์ที่อยู่ในปีแรกของสถาบันต่าง ๆ เท่านั้น พวกเราคงไม่อาจส่งผู้เชี่ยวชาญของเราไปเข้าร่วมได้”
เมื่อเจิ้นป่าเจ่าได้ยินเช่นนั้นจึงคิดอยู่สักพักแล้วบอกแผนขึ้น “ข้าจำได้ว่าในสถาบันมีเด็กที่ชื่อว่าหยุนเฟยหาว เด็กคนนี้น่าจะมีอายุใกล้เคียงกับลูกของมัน แถมมีความสามารถที่ไม่เลวและเขายังอยู่ขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 7 หลิงยู่ชานที่เพิ่งอยู่ในระดับ 3 คงไม่สามารถสู้เขาได้แน่นอน ปีนี้เขาน่าจะได้เป็นตัวแทนเข้าร่วมด้วยอีกคน เจ้าจงรีบไปสืบมาว่าใครเป็นพ่อของเขา”
“และนอกจากหยุนเฟยหาวแล้ว ยังมีเด็กสาวอีกคนที่ชื่อหวงหลิงซาน เด็กคนนี้มีรากฐานจิตวิญญาณระดับเหนือชั้น เจ้าติดต่อไปหวงตู้กู่ที่เป็นพ่อของนาง แจ้งให้เขาช่วยจัดการกับหลิงยู่ชานด้วยในการประลอง และอีกอย่างหนึ่งเจ้าจงไปสืบรายชื่อผู้ที่เข้าร่วมประลองที่มาจากสถาบันหงส์เพลิงมาให้หมด”
จี้ชิงหยวนพยักหน้ารับแล้วเดินจากไปตามคำสั่ง
หลังจากจี้ชิงหยวนจากไป เจิ้นป่าเจ่าได้มองไปยังทิศทางที่เรือนของผู้อาวุโสหวูอยู่พลางคิดว่าหากผู้อาวุโสทะลวงไปถึงขอบเขตรวมแสงดาราเมื่อไหร่ เขาจะบุกไปที่เรือนหลิงและฆ่าทุกคนที่อยู่ที่นั่นทันที
อย่างไรก็ตาม หากเจิ้นป่าเจ่าได้รับรู้ถึงเรื่องผู้นำกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตที่ไปเยือนเรือนหลิงแล้ว เขาคงกระอักเลือดตายพร้อมกับความหวังของเขา
แม้แต่ผู้นำกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตที่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดารามานานยังไม่กล้าเข้าไปเหยียบในเรือนหลิง แล้วผู้อาวุโสหวูที่เพิ่งจะทะลวงขอบเขตจะเอาอะไรมาต่อกร?
ในเวลาเดียวกัน ผู้นำกลุ่มเสื้อคลุมโลหิต เสี่ยวเยว่เฟิงได้กลับมาเยือนที่หน้าเรือนหลิงอีกครั้ง…
วันนี้เสี่ยวเยว่เฟิงไม่ได้สวมชุดสีแดงโลหิตที่เตะตามา แต่นางสวมชุดยาวสีฟ้าอ่อน
หลังจากเคาะประตูอยู่สักพัก มี่ไลได้เดินมาเปิดประตูเรือนออกดู
เมื่อมี่ไลได้เห็นหน้าตาอันงดงามของผู้มาเยือน นางรีบถามอย่างระแวดระวัง “ไม่ทราบว่าแม่นางต้องการพบผู้ใด?”
เสี่ยวเยว่เฟิงตอบด้วยน้ำเสียงไพเราะ “ข้ามาหาหลิงตู้ฉิง…”