พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 77 หลิงจู้[รีไรท์]
บทที่ 77 หลิงจู้[รีไรท์]
เมื่อได้ยินผู้มาเยือนเอ่ยชื่อหลิงตู้ฉิง มี่ไลแทบหัวระเบิด นางอยากจะส่ายหัวตอบกลับไปว่าที่นี่ไม่มีคนชื่อหลิงตู้ฉิง แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ไม่งั้นนางอาจจะเดือดร้อนในภายหลัง
เช่นนั้นนางจึงตอบกลับไป “ตอนนี้นายท่านพานายน้อยไปเข้าร่วมการประลองยังไม่กลับมา หากท่านมีธุระกับนายท่าน ท่านสามารถทิ้งข้อความไว้กับข้าก่อน เมื่อนายท่านกลับมาข้าจะแจ้งให้เขาทราบทันที ท่านหญิงจะให้ข้าแจ้งแก่นายท่านว่าท่านชื่ออะไร…”
เสี่ยวเยว่เฟิงขมวดคิ้วและตอบกลับ “แจ้งกับเขาว่าเสี่ยวเยว่เฟิงมาหา เขาจะรู้เองเมื่อได้ยินชื่อข้า เมื่อเขากลับมาแล้วให้บอกว่าให้ไปพบข้าที่ ’ผาดาวตก’ ข้าจะรอเขาอยู่ที่นั่น”
ผาดาวตกเป็นสถานที่ท่องเที่ยวงดงามติดอันดับในเมืองฟีนิกซ์ ด้วยวิวทิวทัศน์ที่มีน้ำตกอันงดงาม เมื่อตกดึกหากมองจากบนผา จะเห็นดวงดาวเรียงรายมากมาย เป็นภาพที่สวยงามราวกับอยู่ในเทพนิยาย
มี่ไลที่เป็นชาวเมืองฟีนิกซ์ย่อมรู้ดีว่าผาดาวตกนั้นเป็นสถานที่อันงดงามแค่ไหน แต่ถึงแม้ว่าจะสวยงามแต่มันก็เป็นสถานที่อันตรายสำหรับการปล่อยให้หลิงตู้ฉิงไปพบสาวงามขนาดนี้ที่นั่น
เมื่อมี่ไลมองเห็นถึงความเสี่ยงหากนางปล่อยให้หลิงตู้ฉิงไปผาดาวตกกับสาวงามคนนี้เพียงลำพัง นางจึงพูดเชิงต่อรอง “ทำไมท่านถึงไม่เข้ามารอพบนายท่านด้านในก่อน ข้าคิดว่านายท่านน่าจะกลับมาในเร็ว ๆ นี้”
เสี่ยวเยว่เฟิงมองไปยังมี่ไลและเอ่ยขึ้น “ข้าไม่สามารถเข้าไปด้านในได้ บอกเขา ข้าจะรอเขาที่ผาดาวตก 3 วัน หากเขาว่างเมื่อไหร่ให้เขามาหาข้าที่นั่น ข้ามีบางอย่างที่ต้องการอยากจะถามเขา”
เมื่อพูดจบ เสี่ยวเยว่เฟิงก็หันหลังเดินจากไปทันที
มี่ไลมองไปยังเสี่ยวเยว่เฟิงที่กำลังเดินจากไปด้วยสีหน้าฉงน นางสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้ปกติอยู่หรือเปล่า จากนั้นนางจึงปิดประตูเรือน
เวลาผ่านไปสักพัก หลิงตู้ฉิงและหลิงยู่ชานได้กลับมาถึงเรือน
“ท่านพ่อข้าแทบจะอดใจรอการประลองที่จะมาถึงไม่ไหวแล้ว” หลิงยู่ชานกล่าวอย่างอารมณ์ดี
การประลองรอบคัดเลือกนี้ทำให้หลิงยู่ชานมีความมั่นใจในตัวเองเพิ่มขึ้นอย่างมาก ที่ผ่านมาเขาเอาแต่พ่ายแพ้ให้ซ่งเหวินเถาจนนับไม่ถ้วน แต่วันนี้เมื่อเขาได้ออกไปประลองกับคนอื่นเขาจึงได้รู้ตัว ว่าความแข็งแกร่งของตัวเขาเองหากเทียบกับคนธรรมดาทั่วไป เขานั้นเหนือชั้นกว่ามาก
หลิงตู้ฉิงเมื่อเห็นหลิงยู่ชานมีความมั่นใจมากขึ้นเขายิ้มและกล่าวขึ้น “เจ้ายังเหลือการแข่งขันอีก 2 รอบที่จะถึง ตั้งใจพยายามทำให้ดีที่สุด”
เหตุผลที่หลิงตู้ฉิงตกลงให้หลิงยู่ชานเข้าร่วมการประลองครั้งนี้ ก็เพื่อต้องการให้หลิงยู่ชานได้ออกมาเจอโลกภายนอก และอีกเหตุผลที่สำคัญที่สุดคือเขาต้องการสร้างความมั่นใจของหลิงยู่ชานให้กลับคืนมา ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ออกมานั้น จัดว่าประสบความสำเร็จเลยทีเดียว
“แต่การประลองในวันนี้เจ้ายังประมาทคู่ต่อสู้เกินไป” หลิงตู้ฉิงเริ่มชี้แนะความผิดพลาดของหลิงยู่ชาน “ในรอบสุดท้าย เจ้าควรจะชนะได้ภายในสามกระบวนท่า แต่เจ้ากลับออมมือ ปล่อยให้คู่ต่อสู้ลากเจ้าไปถึงกระบวนท่าที่แปด หากว่าคู่ต่อสู้ของเจ้ามีระดับพลังที่เหนือกว่าเจ้า ผลลัพธ์การประลองที่ออกมาอาจจะพลิกเป็นเขาที่ชนะเจ้าได้ เจ้าจงจำไว้ให้ดี ในอนาคตเจ้าห้ามประมาทคู่ต่อสู้เป็นอันขาด ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะอ่อนแอเพียงไหน เจ้าจะต้องใช้กำลังทั้งหมดเข้าโจมตี เพื่อกำชัยชนะให้เร็วที่สุด”
หลิงยู่ชานพยักหน้าด้วยอาการอับอาย “ท่านพ่อข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะไม่ทำพลาดเช่นนั้นอีก!”
คู่พ่อลูกที่เดินคุยกันจนเพลินได้พากันเข้ามาในเรือน
มี่ไลที่กำลังรอหลิงตู้ฉิงอยู่เมื่อนางเห็นว่าเขากลับมาแล้วจึงรีบเดินเข้าไปทัก “ยู่ชานการประลองเป็นอย่างไรบ้าง? แต่ถ้าให้น้าเดา เจ้าต้องชนะแน่อยู่แล้วล่ะ จริงไหม? หึหึ และนายท่านวันนี้มีหญิงสาวคนหนึ่งมาหาท่าน ข้าเชิญให้นางเข้ามารอท่านในเรือนแต่นางกลับไม่ยอมเข้ามา”
ในระหว่างที่มี่ไลเอ่ยถึงหญิงสาวที่มาหาหลิงตู้ฉิงให้เขาฟัง มี่ไลพยายามจับพิรุธของเขาไปด้วย
“หญิงสาว? นางชื่ออะไร?” หลิงตู้ฉิงถามด้วยสีหน้างุนงง
“นางมีใบหน้าที่งดงามมาก นางแจ้งกับข้าว่านางชื่อ เสี่ยวเยว่เฟิง นางได้บอกกับข้าว่า หากนายท่านได้ยินชื่อนางแล้ว นายท่านจะเข้าใจ และนางยังบอกอีกว่านางจะรอพบกับนายท่านที่ผาดาวตกเป็นเวลา 3 วัน” มี่ไลตอบกลับ
“อ๋อ นางนั่นเอง” หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเข้าใจทันที
เมื่อมี่ไลเห็นว่าหลิงตู้ฉิงรู้จักหญิงสาวผู้นั้น ใจคอนางเริ่มจะไม่ค่อยดีนางถามด้วยความกังวล “นายท่านนางเป็นใครหรือ?”
“ผู้นำกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตยังไงล่ะ” หลิงตู้ฉิงตอบด้วยน้ำเสียงปกติ
เมื่อมี่ไลได้ยินเช่นนั้น นางออกอาการตกตะลึง
นางรีบเตือนหลิงตู้ฉิงต่อทันที “นายท่าน นายท่านจะไปพบนางที่ผาดาวตกไม่ได้นะ เรายังมีความแค้นอยู่กับคนกลุ่มนั้นอยู่ ข้าเกรงว่าที่นางต้องการนัดพบท่านที่ผาดาวตก นั่นก็เพราะนางต้องการสังหารท่านแน่นอน!”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “เจ้าไม่ต้องคิดมากถึงขนาดนั้น นางแค่ต้องการถามคำถามบางอย่างกับข้าแค่นั้น แต่ข้าคงยังไปตอนนี้ไม่ได้ ข้ายังต้องเตรียมการอะไรบางอย่างก่อน ว่าแต่นางพูดอะไรกับเจ้าอีกไหม?”
“นอกจากที่นางบอกจะรอท่าน 3 วัน ก็ไม่มีอะไรแล้วนายท่าน” มี่ไลที่ยังคงเป็นห่วงหลิงตู้ฉิง นางจึงอดไม่ได้ที่จะถามย้ำ “นายท่าน ข้ารู้ว่านายท่านแข็งแกร่งมากแต่ผู้นำกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตเองความแข็งแกร่งของนางล้วนแต่มีผู้คนร่ำลือว่านางนั้นแข็งแกร่งอยู่ในอันดับต้น ๆ ของอาณาจักรจันทรา นายท่านข้าคิดว่าข้าควรกลับไปที่ตระกูล เพื่อแจ้งพ่อข้าให้หาคนมาช่วยเหลือเพิ่มเติมดีหรือไม่”
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องนี้ข้าสามารถจัดการเองได้” หลิงตู้ฉิงมองไปยังมี่ไล เขายื่นมือออกไปลูบหัวของนาง “หากเจ้าเป็นห่วงข้าจริง ๆ เจ้าควรจะรีบทำความเข้าใจเคล็ดวิชาสุริยะสาดแสงให้ได้สำเร็จ”
มี่ไลที่ไม่ทันตั้งตัวกับกระทำของหลิงตู้ฉิง นางก้มหัวลงด้วยอาการเขินอาย นางพูดตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “นายท่าน ข้า ข้าขอโทษ ข้าจะพยายามทำความเข้าใจเคล็ดวิชาให้ได้เร็วที่สุด”
หลิงตู้ฉิงเมื่อเห็นว่านางมีอาการรู้สึกผิดเขาจึงพูดต่อ “เจ้าอย่าได้กดดันตัวเองมากเกินไป ถึงเจ้าจะสำเร็จเคล็ดวิชาเรียกฝนใบไม้ผลิแล้วก็จริงแต่เคล็ดวิชาสุริยะสาดแสงนั้นยากกว่ามาก มันไม่แปลกหรอกที่เจ้าจะทำความเข้าใจไม่ได้ในตอนนี้ ข้าคิดว่าเจ้าคงจะต้องใช้เวลาน่าจะประมาณสักสองเดือนถึงจะทำความเข้าใจสำเร็จ”
“เฮ้อ…แต่ก็น่าเสียดายที่ตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของข้าต่ำเกินไป ไม่เช่นนั้นข้าคงจะแสดงอำนาจของเคล็ดวิชาจตุฤดูให้เจ้าดูทั้งหมดได้ ซึ่งน่าจะทำให้เจ้าเข้าใจเคล็ดวิชาสุริยะสาดแสงได้ดีขึ้น”
เมื่อได้ยินที่หลิงตู้ฉิงกล่าวด้วยความเป็นห่วงนางเช่นนี้ หัวใจของนางก็เริ่มพองโต
หลิงตู้ฉิงที่มองไปยังมี่ไลเขาเห็นพลังแห่งอารมณ์เริ่มปะทุขึ้นจากตัวนาง เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก เขาพยักหน้าหนึ่งครั้งและเอ่ยกับมี่ไล “เอาล่ะ เจ้าก็ไปทำงานของเจ้าต่อเถอะ ข้าต้องไปเตรียมตัวเพื่อพบกับเสี่ยวเยว่เฟิงอีก”
เมื่อมี่ไลเดินจากไป หลิงตู้ฉิงเริ่มนึกถึงการเตรียมตัวที่เขาไปจะไปพบกับเสี่ยวเยว่เฟิง
เสี่ยวเยว่เฟิงได้บอกไว้ว่านางจะรอเขาเพียง 3 วัน ซึ่งใน 3 วันนี้หลิงตู้ฉิงต้องเตรียมการให้ทันภายใน 2 วันและวันสุดท้ายเขาต้องไปพบกับนาง ซึ่งการเตรียมการนี้จะทำให้เขาไม่สามารถพาหลิงยู่ชานไปเข้าร่วมการประลองได้ เขาจึงเรียกกงยูให้เข้ามาหา
“พรุ่งนี้และวันมะรืนเจ้าต้องพายู่ชานไปที่งานประลอง เจ้าต้องปกป้องเขาให้ดี เจ้าเข้าใจหรือไม่?” หลิงตู้ฉิงสั่งกงหยู
“นายท่าน ไม่ต้องกังวลข้าจะปกป้องนายน้อยให้ดีที่สุด” กงหยูโค้งตัวรับคำสั่งด้วยอารมณ์เบิกบาน
หลิงตู้ฉิงเมื่อเห็นกงหยูรับคำสั่งเป็นอย่างดี หลิงตู้ฉิงจึงกล่าวถามขึ้น “เจ้าเป็นมือกระบี่ใช่ไหม? เดี๋ยวข้าจะหลอมกระบี่ให้เจ้าใหม่และจะถ่ายทอดเพลงกระบี่ชุดหนึ่งให้กับเจ้าด้วย”
“ขอบคุณมาก นายท่าน!” กงหยูตอบรับด้วยอารมณ์ที่เบิกบานยิ่งกว่าเดิม
หลิงตู้ฉิงเมื่อพูดเสร็จเขาจึงเดินไปยังบริเวณที่ว่างของลานกลางเรือนที่เขามักใช้ในการวางค่ายกลหลอมสิ่งของต่าง ๆ และเขาก็เริ่มวางค่ายกลอีกครั้ง
เมื่อค่ายกลเสร็จสมบูรณ์ หลิงตู้ฉิงจึงเริ่มโยนวัตถุดิบต่าง ๆ เข้าไป ไม่ว่าจะเป็น เหล็กนิล ทอง หยก และวัตถุดิบต่าง ๆ อีกมากมาย หลิงตู้ฉิงใช้เวลาหลอมอยู่เพียงครู่เดียว กลางค่ายกลจึงได้ปรากฎวัตถุชิ้นหนึ่ง ซึ่งมีรูปร่างเป็นกระบี่ขึ้นมา
หลิงตู้ฉิงบังคับให้กระบี่ที่เพิ่งสร้างเสร็จลอยไปหากงหยู “นี่ของเจ้า ถึงแม้ว่าข้าจะสร้างมันขึ้นมาแบบลวก ๆ แต่อำนาจของมันนั้นเหนือกว่าอาวุธระดับวิญญาณทั่วไปแน่นอน”
จากนั้นหลิงตู้ฉิงจึงดึงกระบี่ไม้ต้นไผ่เซียนสวรรค์อีกอันหนึ่งขึ้นมา และจากนั้นเขาจัดตำแหน่งร่างกายพร้อมออกกระบวนท่า “เจ้าตั้งใจดูให้ดี ข้าจะแสดงมันเพียง 3 ครั้ง เพลงกระบี่นี้เรียกว่าปลิดวิญญาณ”
กงหยูเมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาแทบไม่กล้ากระพริบตา เขาจ้องไปยังท่วงท่าทุกอย่างที่หลิงตู้ฉิงแสดง ตอนนี้ในสายตาของเขามีแต่ภาพเงาของกระบี่มากมาย
เมื่อหลิงตู้ฉิงแสดงเพลงกระบี่จำนวน 3 รอบจบ กระบี่ไม้ไผ่ในมือเขาก็ถึงกับแหลกสลายลงไปทันที
หลิงตู้ฉิงมองไปยังกงหยูที่ตอนนี้นั่งหลับตาลงทำความเข้าใจกับเพลงกระบี่ที่หลิงตู้ฉิงสอนไป เมื่อเห็นว่ากงหยูไม่น่าจะมีปัญหาอะไรอีกเขาจึงเดินจากไป
หลิงตู้ฉิงกลับไปยังบริเวณค่ายกลที่เขาเพิ่งวางไว้ เขานั่งคิดเรื่องการเตรียมตัวที่จะไปพบกับเสี่ยวเยว่เฟิง
เขาจำเป็นต้องเตรียมตัวให้ดี เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าเสี่ยวเยว่เฟิงจะมาไม้ไหนรอบนี้
หลังจากคิดไปสักพักเขาจึงหยิบรากของต้นไผ่เซียนสวรรค์ขึ้นมา จากนั้นหลิงตู้ฉิงได้พึมพำกับรากที่เขาเลือก “อันที่จริงข้าไม่อยากใช้เจ้าในตอนนี้ แต่ข้าไม่มีทางเลือกจริง ๆ แต่เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าสัญญาว่าในอนาคตข้าจะชดเชยให้เจ้าเป็นอย่างดี”
เมื่อหลิงตู้ฉิงพูดจบ เขาจึงเริ่มร่ายฝนฤดูใบไม้ผลิบนรากที่เขาเลือกมา เมื่อหล่อเลี้ยงไปสักพัก หลิงตู้ฉิงจึงได้เริ่มจารึกอักขระเวทย์ลงไปบนรากชุดใหญ่
เมื่อจารึกอักขระเรียบร้อย เขาจึงโยนรากไม้ไผ่เซียนสวรรค์ลงไปในค่ายกลทันทีพร้อมกับวัตถุดิบต่าง ๆ อีกมากมายที่ตระกูลมี่ได้มอบไว้ให้เขา ซึ่งจำนวนที่เขาโยนลงไปรอบนี้นั้นมากมายจนแทบจะหมดแหวนมิติที่ได้รับมาเลยทีเดียว
เมื่อผ่านไปสักพัก ความเปลี่ยนแปลงก็เริ่มเกิดขึ้นกับรากต้นไผ่เซียนสวรรค์ที่ถูกโยนลงไป ส่วนที่เป็นรากฝอยเริ่มจะเปลี่ยนสีจากสีเขียวจนเริ่มกลายเป็นสีขาวทั้งหมด ส่วนที่เหลือของรากความยาวประมาณ 2 ฟุตเริ่มมัดรวมกันจนออกมาคล้ายด้ามจับสีเขียว
หลิงตู้ฉิงใช้เวลาไปกับค่ายกลถึง 2 วันเต็ม
หลังจาก 2 วันผ่านไป รากต้นไผ่เซียนสวรรค์อันโตก็ได้กลายร่างออกมาเป็น แส้หางม้า…
เมื่อแส้หางม้าเสร็จสมบูรณ์ หลิงตู้ฉิงจึงยกเลิกค่ายกล และบังคับให้มันลอยมาหาเขา
ที่ด้ามจับนั้นมีสีเขียวเหมือนหยก ส่วนบริเวณแส้นั้นมีสีขาวเนียนบริสุทธิ์ หากจะให้นิยามคืองดงามเป็นอย่างมาก
หลิงตู้ฉิงมองไปที่แส้ด้วยความยินดี เขาเอ่ยกับแส้อย่างพึงพอใจ “ตั้งแต่นี้ต่อไปข้าจะตั้งชื่อให้เจ้าว่า หลิงจู้!”
แส้หางม้า เมื่อได้ยินชื่อที่หลิงตู้ฉิงตั้งให้ก็สั่นด้วยความยินดี
จากนั้นเมื่อหลิงตู้ฉิงเห็นว่าแส้หางม้าเสร็จเรียบร้อยเขาจึงเก็บมันด้วยการสะบัดแส้ไปยังต้นคอของเขา ซึ่งแส้ได้ทำการม้วนเข้ากับเส้นผมและหายวันเข้าไปบนศีรษะของเขา
“เอาล่ะ ตอนนี้ก็พร้อมแล้วที่ข้าจะไปหาเสี่ยวเยว่เฟิง” หลิงตู้ฉิงกล่าวอย่างอารมณ์ดี