พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 84 หลิงยู่ชาน ปะทะ หวงหลิงซาน[รีไรท์]
บทที่ 84 หลิงยู่ชาน ปะทะ หวงหลิงซาน[รีไรท์]
ในที่สุดหวงหลิงซานก็ได้ท้าหลิงยู่ชานประลอง เจิ้นป่าเจ่าเมื่อเห็นเช่นนี้จึงรู้สึกเบิกบานเป็นอย่างมาก
เขามั่นใจว่าแผนการที่วางไว้ทั้งหมด ย่อมต้องสำเร็จอย่างแน่นอน
ผู้เข้าร่วมที่เขาเตรียมไว้ทั้งสามคนล้วนอยู่ในระดับเจ็ดแถมยังมียาที่เขามอบไว้ให้อีก มันจะมีอะไรผิดพลาดไปได้ยังไง?
“ระดับบ่มเพาะของหลิงยู่ชานห่างจากคู่ต่อสู้ของเขามากเกินไป ศิษย์น้อง เจ้าต้องย้ำเตือนให้กรรมการจับตาดูการต่อสู้ของพวกเขาให้ดี อย่าให้มีอะไรผิดพลาด ห้ามให้หลิงยู่ชานได้รับอันตรายร้ายแรงเด็ดขาด” เฮ่อเจี้ยนปิงย้ำเตือนหยิงหวูเจี้ยง “หลิงยู่ชานที่มีระดับการเพาะเพียงแค่ขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 4 สามารถเข้ามาถึงรอบนี้ได้ แน่นอนว่าท่านอาจารย์จะต้องอยากได้ตัวเขาแน่นอน”
“ศิษย์พี่ไม่ต้องเป็นห่วง กรรมการที่อยู่บนลานประลองเป็นหนึ่งในผู้ติดตามคนสนิทของข้าเอง เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 4 ข้าได้ย้ำเตือนกับเขาไปเรียบร้อยแล้ว ว่าหากมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น ให้เขาพาตัวหลิงยู่ชานออกจากการประลองได้ทันที” หยิงหวูเจี้ยงตอบกลับ
เมื่อได้ยินหยิงหวูเจี้ยงยืนยันเรื่องความปลอดภัยของหลิงยู่ชาน เฮ่อเจี้ยนปิงจึงพยักหน้าอย่างพอใจ
กลับมาที่บนลานประลอง
ในตอนนี้หลิงยู่ชานที่มีระดับการบ่มเพาะต่ำกว่าหวงหลิงซานอยู่ 3 ขั้น กำลังโดนกดดันอย่างหนัก จนต้องถอยร่นไปเรื่อย ๆ แทบไม่มีโอกาสตอบโต้
หลิงยู่ชานที่เอาแต่ยกแขนขึ้นมาปัดป้องการโจมตีที่โถมเข้ามาด้วยสภาพที่น่าอนาถ ตอนนี้ร่างกายของเขาเริ่มได้รับบาดเจ็บแล้วบางส่วนแต่ยังไม่ถึงกับขั้นร้ายแรง
หลินยู่ที่ได้รับคำสั่งมาให้ปกป้องหลิงยู่ชานกำลังจับตาดูการต่อสู้อย่างใจจดใจจ่อ เขาพร้อมพุ่งเข้าไปหยุดการต่อสู้ได้ทุกวินาที หากเห็นว่าหลิงยู่ชานกำลังมีอันตรายร้ายแรง
ในขณะที่หลิงตู้ฉิงเองเมื่อเห็นหลิงยู่ชานกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก ตัวเขาเองกลับนั่งมองการต่อสู้ด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้ซึ่งความกังวลใด ๆ
จุดประสงค์ที่เขาส่งหลิงยู่ชานเข้าร่วมการประลองครั้งนี้ไม่ใช่เพราะรางวัลอะไรไร้สาระพวกนั้น
สิ่งเขาต้องการจากการประลองครั้งนี้คือให้หลิงยู่ชานเก็บเกี่ยวประสบการณ์และพัฒนาทักษะการต่อสู้จริงให้ได้มากที่สุด
เมื่อหลิงตู้ฉิงมองไปบนลานประลองได้สักพัก จู่ ๆ คิ้วของเขาก็เริ่มขมวดขึ้น
หลิงตู้ฉิงจ้องไปยังซูเหรินอี้ ที่ตอนนี้จู่ ๆ พลังวิญญาณในร่างกายของซูเหรินอี้เริ่มผันผวนและดูยุ่งเหยิงคล้ายกับคนธาตุไฟเข้าแทรก
“มี่ไล เอาหลิงจู้มาให้ข้า” หลิงตู้ฉิงเอ่ยกับมี่ไลที่อยู่ข้าง ๆ เขา
มี่ไลเมื่อได้ยินเช่นนั้นนางจึงรีบยื่นแส้หางม้าหลิงจู้ให้กับหลิงตู้ฉิงทันที “นายท่าน หลิงจู้อยู่นี่แล้ว”
หลิงตู้ฉิงเมื่อได้รับหลิงจู้มาไว้ในมือแล้วเขาจึงส่งหลิงไช่หยุนที่อยู่ในอ้อมแขนอีกข้างให้กับมี่ไลอุ้มนางไว้
มี่ไลที่รับหลิงไช่หยุนมาอุ้มไว้ นางเอ่ยถามหลิงตู้ฉิงด้วยใบหน้าสงสัย “นายท่านมีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ?”
ที่ผ่านมานางใช้เวลาอยู่กับแส้หางม้านี้มาเป็นเวลานาน นางจึงทราบดีว่าแส้ชิ้นนี้ไม่ใช่แส้ธรรมดาแน่นอน แต่ตอนนี้อยู่ ๆ หลิงตู้ฉิงได้ขอมันไปจากนาง นางแน่ใจว่าน่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นบางอย่างแน่นอน นางในตอนนี้เริ่มรู้สึกเป็นกังวล
“ไม่มีอะไรหรอก แค่ปัญหาเล็กน้อย” หลิงตู้ฉิงกล่าวตอบ
ถึงแม้ว่าท่าทางของหลิงตู้ฉิงจะดูปกติ แต่เขากลับดึงเส้นขนของหลิงจู้ออกมาหนึ่งเส้นและโยนมันลงบนพื้น
เมื่อเส้นขนของหลิงจู้ได้หล่นลงบนพื้น เส้นขนนั้นได้จมหายลงไปยังใต้ดินทันทีและมุดไปยังจุดกึ่งกลางของลานประลองที่ตั้งอยู่ จากนั้นมันได้ขยายสัมผัสพลังของมันออกครอบคลุมทั้งลานประลอง ซึ่งส่งผลให้หลิงตู้ฉิงผู้เป็นเจ้านายที่แท้จริงของมันสามารถรับรู้และสัมผัสสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนลานประลองได้ทั้งหมด
ในตอนนี้บนลานประลอง นอกจากคู่ของหลิงยู่ชานที่กำลังสู้กันอยู่กับหวงหลิงซาน
การประลองของอีกคู่หนึ่งก็ได้เริ่มขึ้นเช่นกัน การประลองอีกคู่ คือ หวูปิงปะทะกับหยุนเฟยหาว
ส่วนซูเหรินอี้นั้นยืนมองดูการประลองทั้งหมดอยู่ด้านข้าง ด้วยสายตาที่ค่อย ๆ เริ่มจะคลุ้มคลั่งขึ้นเรื่อย ๆ
แววตาของซูเหรินอี้ตอนนี้เริ่มจะเป็นสีแดงก่ำ และพลังวิญญาณในร่างกายเริ่มจะพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ
หลินยู่เองที่อยู่บนลาน เขาสามารถสังเกตเห็นอาการของซูเหรินอี้ได้เช่นกัน แต่เขากลับไม่ได้คิดอะไรมาก เขาเข้าใจไปว่านี่อาจจะเป็นการแสดงออกของซูเหรินอี้ที่ปล่อยกลิ่นอายแห่งการต่อสู้ออกมาเพียงเท่านั้น
ทางด้านของหลิงยู่ชานเองที่ในตอนนี้กำลังรับมือการโจมตีต่าง ๆ ของหวงหลิงซานที่ถาโถมเข้ามา เขาเริ่มที่จะรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้างแล้ว
ถึงแม้ว่าหวงหลิงซานจะมีระดับการบ่มเพาะที่มากกว่าเขาแต่พอเวลาผ่านไปสักพัก หลิงยู่ชานก็เริ่มเข้าใจว่าอันที่จริงความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่ได้ด้อยมากไปกว่าหวงหลิงซานสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะหากเทียบกับตอนที่เขาฝึกสู้กับซ่งเหวินเถานั้นการประลองนี้ถือว่าเด็กไปเลย
หลังจากที่สู้กับหวงหลิงซานไปได้สักพัก หลิงยู่ชานก็เริ่มจับจังหวะของหวงหลิงซานได้
เมื่อหวงหลิงซานกระโดดขึ้นไปบนอากาศอีกครั้งและใช้กระบวนท่าเดิม ที่ใช้ขาของนางฟาดลงมาจากกลางอากาศ หลิงยู่ชานที่เตรียมพร้อมกับท่านี้อยู่แล้ว เขารอจังหวะในช่วงที่ขาฟาดลงมาและเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างจากนั้นเมื่อหวงหลิงซานลงมาถึงพื้น หลิงยู่ชานจึงฟันศอกเป็นแนวระนาบไปยังบริเวณลำตัวของหวงหลิงซานทำให้นางเสียการทรงตัว จากนั้นหลิงยู่ชานจึงอาศัยจังหวะที่นางเสียการทรงตัวพุ่งตัวเข้าชนทำให้นางล้มลงกับพื้น และใช้แขนและขาเข้าล็อคพัวพันกับแขนและขาของหวงหลิงซานไว้ทั้งหมดจนไม่สามารถขยับได้
ท่าทางที่พวกเขาสองคนอยู่บนพื้นในตอนนี้ จึงเป็นท่าทางที่ดูกระอักกระอ่วนเป็นอย่างมากสำหรับเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายทั้งสองคน
หวงหลิงซานตะโกนหน้าดำหน้าแดงด้วยความอับอาย “ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!”
ถึงแม้พวกเขาจะเป็นเด็กที่อายุเพียง 8-9 ขวบ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ไร้เดียงสาในเรื่องพวกนี้เหมือนหลิงตู้ฉิง เมื่อหลิงยู่ชานเองที่กำลังล็อคตัวหวงหลิงซานอยู่ได้นึกถึงบทเรียนเรื่องสรีระวิทยาของถังชี่หยุนได้ เขาจึงรู้สึกว่าการทำแบบนี้มันออกจะไม่ใช่เรื่องที่งามสักเท่าไหร่ เขาจึงคลายล็อคหวงหลิงซานออกอย่างรวดเร็ว
เมื่อหลุดจากการพันธนาการแขนขาของหลิงยู่ชานแล้ว หวงหลิงซานจึงถีบหลิงยู่ชานกระเด็นออกไปทันที
เมื่อทั้งคู่สามารถลุกขึ้นมายืนได้ หลิงยู่ชานในตอนนี้มองคู่ต่อสู้ของเขาด้วยอาการระแวดระวังพร้อมที่จะรับการจู่โจมถัดไป
หวงหลิงซานจ้องไปที่คู่ต่อสู้ของนางอย่างอาฆาตก่อนจะหันไปหากรรมการและกล่าวประกาศ “ข้าขอยอมแพ้!”
นางได้ต่อสู้กับหลิงยู่ชานมาเป็นเวลาสักพักก็ยังไม่สามารถเอาชนะเขาได้
อีกอย่างนางที่ถูกกดล็อคลงไปกับพื้นด้วยท่วงท่าที่น่าอึดอัดเช่นนั้น นางอับอายจนไม่มีหน้าที่จะยืนอยู่บนเวทีอีกต่อไป และนางเข้าใจดีว่าหากเมื่อครู่หลิงยู่ชานไม่คลายล็อคออก นางคงไม่มีวันดิ้นหลุดออกมาได้แน่ ผลสุดท้ายยังไงนางก็ย่อมต้องเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้อยู่ดี
ถึงแม้ว่านางจะประกาศยอมแพ้แต่อันที่จริงภายในใจของนางนั้นแทบจะไม่อยากยอมรับผลแบบนี้ นางได้แต่คิดถึงเรื่องโอสถที่พ่อของนางให้มา นางคิดว่าถ้าหากนางเชื่อพ่อของนางใช้โอสถเหล่านั้นจนหมด ในวันนี้นางคงจะไม่แพ้อย่างแน่นอน
หลินยู่เมื่อได้ยินการประกาศยอมแพ้ของหวงหลิงซานเขาจึงพยักหน้าและตะโกนขึ้น “ในเมื่อเจ้าประกาศยอมแพ้แล้ว ถือว่าการประลองของเจ้าและเขาเป็นอันสิ้นสุด ซูเหรินอี้ตอนนี้เจ้าสามารถท้าประลองหนึ่งในพวกเขาได้แล้ว!”
ซูเหรินอี้ที่ตอนนี้ในดวงตาแดงก่ำเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่เฉยชาพูดขึ้น “ในเมื่อเจ้าเอาชนะหวงหลิงซาน แสดงว่าเจ้านั้นมีดีอยู่บ้าง เพราะฉะนั้นข้าจะประลองกับเจ้า!”
ซุเหรินอี้เมื่อพูดจบเขาได้ชี้นิ้วไปยังหลิงยู่ชานเพื่อท้าทาย
เมื่อหลินยู่ได้เห็นเช่นนั้นจึงพยักหน้าและประกาศ “เช่นนั้น เมื่อพวกเจ้าพร้อมแล้ว พวกเจ้าสามารถเริ่มการประลองได้เลย!”
ในความคิดของหลินยู่ เขาเองเห็นใจหลิงยู่ชานอยู่บ้าง ด้วยความต่างของระดับพลังแถมยังต้องต่อสู้กับคนที่เหนือกว่าตัวเองติด ๆ กัน แต่กฎจำเป็นต้องเป็นกฎ หลินยู่ที่ไม่สามารถทำอะไรได้จึงได้แต่เฝ้าดูการประลองอย่างตั้งใจเผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นมา เขาจะได้แทรกแซงได้ทันท่วงที
หวงหลิงซานเองตอนนี้ได้เดินถอยมายังด้านข้าง นางอดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองทางด้านพ่อของนางที่ในตอนนี้นั่งมองนางจากด้านล่างของเวที
หวงตู้กู่เองในตอนนี้ได้จ้องเขม็งกลับไปยังลูกสาวของเขาเช่นกัน เขาคิดโทษลูกของเขาในใจว่าทำไมถึงไม่ยอมสู้ต่อเอาชัยชนะมาให้ได้ ทำไมถึงให้คนอื่นมาขโมยชัยชนะที่ควรจะเป็นของนาเอง
หวงหลิงซานเมื่อนางได้เห็นสายตาตำหนิของพ่อนางที่ส่งกลับมา นางจึงไม่กล้าสบสายตาอีกต่อไป นางเบนสายตาจ้องไปยังการประลองที่จะเริ่มขึ้นของหลิงยู่ชาน
ในขณะเดียวกัน หลิงตู้ฉิงเองได้ยืนสะบัดหลิงจู้ไปมา ระหว่างที่กำลังจ้องมองไปยังการประลองของหลิงยู่ชานด้วยแววตาคาดหวังอะไรบางอย่าง