พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 849 การถกเถียงที่ไม่จบสิ้น
เมื่อเห็นว่าหลิงฟ่างหัวจากไปเรียบร้อยแล้ว และเหล่าพลพรรคของนายน้อยมิติก็หนีจากไปจนหมด หลิงตู้ฉิงจึงค่อย ๆ ร่อนลงจากฟากฟ้าไปหากลุ่มคนของตระกูลหลิน
เมื่อมองเห็นสีหน้าอันตกตะลึงค้างของผู้คน หลิงตู้ฉิงจึงส่ายหัวและพูดกับพวกเขาด้วยสีหน้าจริงจังว่า “นี่คือตัวอย่างของโลกที่พวกเจ้าจะต้องเผชิญในอนาคต!”
หลินจ้านเผิงแสดงสีหน้าเป็นกังวล และถามขึ้นว่า “บรรพบุรุษ ท่านช่วยชี้แนะเพิ่มอีกสักหน่อยจะได้ไหมว่าต่อไปพวกเราควรทำอย่างไรดี?”
ในความคิดของเขาก่อนหน้านี้ เขาเข้าใจว่าการที่ตัวเองทะลวงระดับมาถึงนภาครามแล้วมันน่าจะทำให้เขาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างไร้กังวลมากขึ้น เพราะเขาได้กลายเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดของอาณาเขตหนานหัว
แต่พอมาในตอนนี้ เมื่อเขาได้เผชิญกับความจริงว่าระดับนภาครามของเขานั้นมีค่าไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยเมื่อต้องเผชิญกับผู้เชี่ยวชาญจากโลกภายนอก ยกตัวอย่างเช่นนายน้อยมิติที่สามารถจัดการกับเขาได้อย่างง่าย ๆ ทั้งที่เขามีระดับการบ่มเพาะเหนือกว่าและไม่ต้องพูดถึงหญิงสาวคนที่ฆ่านายน้อยมิติได้โดยการดีดนิ้ว
เมื่ออยู่ต่อหน้านาง เขาไม่ต่างอะไรกับมดปลวกด้วยซ้ำที่นางแค่บี้เล็กน้อยเขาก็คงตายจนไม่เหลือศพที่สมบูรณ์!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาจึงกลัวเป็นอย่างมากกับคำที่หลิงตู้ฉิงพูดว่า ‘นี่คืออนาคตที่พวกเขาต้องเจอ!’
หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าจะพูดง่าย ๆ ก็แล้วกัน ตราบใดที่พวกเจ้าตั้งใจบ่มเพาะกันให้เร็วที่สุดจนแข็งแกร่งเพียงพอ พวกเจ้าก็จะสามารถอยู่รอดได้ในอนาคต แต่ถ้าพวกเจ้ายังคงขี้เกียจกันอยู่ พวกเจ้าทุกคนก็จะถูกลบหายออกไปจากโลก อีกไม่นานโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนพวกเจ้าคาดไม่ถึง และเมื่อถึงเวลานั้นอาณาเขตหนานหัวก็จะไม่สงบสุขแบบนี้อีกต่อไป และข้าขอเตือนพวกเจ้าเอาไว้อย่าง หากเมื่อไหร่ที่อาณาเขตหนานหัวถูกกองทัพจากโลกภายนอกรุกราน พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องต่อต้านกองทัพเหล่านั้น พวกเจ้าแค่ทำตัวให้ไหลไปตามสถานการณ์และฉกฉวยโอกาสทุกอย่างที่จะสามารถทำให้พวกเจ้าแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ นี่คือหลักการที่พวกเจ้าต้องจำกันเอาไว้”
“พวกเราจะจดจำทุกอย่างเอาไว้ให้ขึ้นใจเป็นอย่างดี!” หลินจ้านเผิงและคนอื่น ๆ ต่างตอบรับกันอย่างพร้อมเพรียง
“เอาล่ะ สุดท้ายนี้ด้วยเคล็ดวิชาที่ข้ามอบให้พวกเจ้าไปและทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้ามอบให้พวกเจ้า มันก็คงน่าจะพอที่จะทำให้พวกเจ้าพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วได้ไม่ยาก แต่ถ้าหากว่าพวกเจ้าเผชิญกับศัตรูที่พวกเจ้าไม่สามารถเอาชนะได้จริง ๆ อันดับแรก จ้านเผิง เจ้าก็จงใช้อำนาจของหอคอยเสียงสวรรค์จัดการศัตรูซะ หรือไม่ถ้าหากหอคอยเสียงสวรรค์ยังไม่อาจต้านทานศัตรูได้ เจ้าก็จงอ้างชื่อข้าออกไป ซึ่งชื่อของข้าคือ หลิงตู้ฉิง แต่ข้าอนุญาตให้เจ้าอ้างชื่อข้าได้แค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นเจ้าห้ามอ้างชื่อข้าอีกเป็นครั้งที่สอง!”
หลินจ้านเผิงพยักหน้า “ข้าจะทำตามที่บรรพบุรุษบอกแน่นอน!”
“เอาล่ะสิ่งที่ข้าจะพูดมีแค่นี้!” หลิงตู้ฉิงโบกมือ “ตอนนี้ถึงเวลาที่ข้าต้องไปแล้ว หลังจากนี้พวกเจ้าก็จงดูแลตัวเองให้ดี ๆ!”
หลินจ้านเผิงคุกเข่าคารวะทันทีและพูดว่า “ผู้เยาว์ขอน้อมส่งท่านบรรพบุรุษ!”
คนอื่น ๆ ของตระกูลหลินต่างก็คุกเข่าคารวะส่งหลิงตู้ฉิงกันทั้งหมดเช่นกัน
หลิงตู้ฉิงกวาดสายตามองไปที่บรรดาคนของตระกูลเขาทุกคน จากนั้นเขาก็ส่ายหัวและใช้วิชาพเนจรไร้จำกัดบินหายไปจากเกาะหนานชานในชั่วพริบตา
หลังจากหลิงตู้ฉิงจากไป หลินจ้านเผิงลุกขึ้นและตะโกนบอกกับสมาชิกตระกูลของเขาทั้งหมดทันที “ท่านบรรพบุรุษได้สร้างรากฐานเอาไว้ให้พวกเราทั้งหมดแล้ว ดังนั้นต่อไปนี้มันเหลือแค่พวกเราที่ต้องพยายามด้วยตัวเอง! ภายใน 30,000 ปีนี้พวกเจ้าทุกคนจะต้องตั้งใจบ่มเพาะให้หนักขึ้นกว่าเดิมเพื่อที่ในอนาคตเมื่อบรรพบุรุษกลับมา เขาจะได้ไม่ผิดหวังในตัวพวกเราทุกคน!”
แน่นอนว่า 30,000 ปีที่หลินจ้านเผิงหมายถึงก็คือเป็นระยะเวลาเดียวกับที่พวกเขามีหอคอยเสียงสวรรค์คอยปกป้อง เพราะถ้าหากพวกเขาไม่มีมันแล้ว และยังไม่สามารถพัฒนาขึ้นไปมากกว่านี้ได้ มันก็มีโอกาสสูงที่พวกเขาจะตายจากการเปลี่ยนแปลงอันโหดร้ายของโลกที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
ทางด้านของหลิงตู้ฉิง เมื่อเขาเดินทางออกจากเกาะหนานชาน เขาก็มุ่งหน้าไปที่ทำเนียบราชันมนุษย์
ถึงแม้ว่าก่อนจากมาหลิงตู้ฉิงจะพูดกับเหล่าคนของตระกูลหลินราวกับว่าเขาจะไม่กลับไปที่นั่นหรือจะไม่สนใจคนเหล่านั้นแล้ว แต่อันที่จริงเขาไม่คิดจะละทิ้งเหล่าคนนั้นเลยแม้แต่น้อย
การที่เขาเดินทางไปที่ทำเนียบราชันมนุษย์นั้น นอกจากจะเป็นการจัดการธุระให้กับหลิงยี่เทียนแล้ว เขายังจะใช้อำนาจของทำเนียบราชันมนุษย์ในการดูแลเหล่าผู้คนที่อยู่ในอาณาเขตหนานหัวไปด้วยอีกทางหนึ่ง
ตำแหน่งที่ตั้งของทำเนียบราชันมนุษย์นั้นอยู่ในอาณาเขตที่มีชื่อว่าอาณาเขตเอกบุรุษ ซึ่งเป็นอาณาเขตที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่กว่าอาณาเขตนภาหลายสิบเท่า
อาณาเขตแห่งนี้นับได้ว่าเป็นอาณาเขตที่เป็นเสาหลักคอยค้ำจุนมนุษย์ทุกคนที่อยู่ในโลกเบื้องล่างนี้ และยังเป็นสถานที่ที่มีจักรพรรดิและอาณาจักรอยู่รวมกันมากที่สุด
ถึงแม้ภายในอาณาเขตเอกบุรุษจะมีเหล่าจักรพรรดิที่บ่มเพาะเต๋าดวงใจจักรพรรดิมากมาย และแต่ละคนต่างก็มีความสามารถที่เหนือล้ำ แต่ทำเนียบราชันมนุษย์ก็ไม่ได้สนใจจักรพรรดิเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย เพราะผู้ที่จะขึ้นเป็นผู้นำแห่งมวลมนุษย์ทั้งหมดได้นั้นจะต้องมีสายเลือดของราชันแห่งมนุษย์เท่านั้น และผู้ที่มีสายเลือดนี้ก็ไม่ได้มีเพียงแค่คนเดียว!
ในขณะนี้หากรวมหลิงยี่เทียนเข้าไปด้วยก็มีอยู่ถึง 4 คนที่มีสายเลือดนี้ ซึ่งการที่จู่ ๆ หลิงยี่เทียนก็ปรากฏตัวขึ้นมันจึงทำให้ประเด็นการถกเถียงในทำเนียบราชันมนุษย์ยิ่งดุเดือดมากยิ่งขึ้น เพราะผู้ที่มีสายเลือดราชันแห่งมวลมนุษย์แต่ละคนต่างก็มีกำลังสนับสนุนของตัวเอง ซึ่งแต่ละฝ่ายต่างก็ถกเถียงอยากจะให้คนที่ตัวเองสนับสนุนขึ้นครองบัลลังก์ราชันแห่งมนุษย์
“ฉินหวง มีอาณาเขตอยู่ใต้อาณัติถึง 130 อาณาเขตและมากกว่าร้อยอาณาเขตต่างก็ยอมจำนนมอบความภักดีให้กับเขาอย่างสุดหัวใจ คนเช่นนี้หากไม่ได้นั่งบัลลังก์ราชันแห่งมนุษย์แล้วใครจะสมควรได้นั่ง?”
“ถ้าท่านอ้างแบบนั้น งั้นจักรพรรดิเจียงหวงที่ข้าสนับสนุนก็ไม่เห็นจะด้อยกว่าตรงไหน แถมตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของเขาก็ทะลวงมาอยู่ที่ระดับนภาครามเรียบร้อยแล้ว และนี่ยังไม่รวมไปถึงเรื่องที่เขาได้รับการสนับสนุนจากสำนักมหาอำนาจอีกต่างหาก ซึ่งดูไปดูมาเจียงหวงมีภาษีดีกว่าฉินหวงซะด้วยซ้ำ!”
“พูดถึงระดับการบ่มเพาะงั้นเหรอ? แบบนี้จักรพรรดิซ่งที่ข้าสนับสนุนก็ควรได้เป็นราชันแห่งมนุษย์มากกว่าเจียงหวงใช่ไหม? ตอนนี้จักรพรรดิซ่งกำลังจะทะลวงระดับขึ้นไปอยู่ขอบเขตราชันได้อยู่แล้ว และสายเลือดที่เขามีก็เข้มข้นมากกว่าทั้งฉินหวงและเจียงหวง แถมเขายังมีสำนักมหาอำนาจสนับสนุนอยู่อีกด้วยเช่นกัน ดังนั้นจักรพรรดิซ่งย่อมเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด!”
หยิงเซียนหมิงมองไปที่เหล่าผู้คนที่กำลังเถียงกันด้วยความเหนื่อยใจ และพูดขึ้นว่า “ทุกท่าน พวกท่านจะยกชื่อผู้ที่มีสายเลือดราชันแห่งมวลมนุษย์มาเถียงกันแค่ 3 คนไม่ได้ เพราะตอนนี้สายเลือดราชันแห่งมวลมนุษย์มี 4 คน!”
เมื่อได้ยินคำพูดของหยิงเซียนหมิง ใครบางคนที่อยู่ในท้องพระโรงตอบกลับทันทีด้วยสีหน้าเหยียดหยาม “หยิงเซียนหมิง ข้ารู้ดีว่าเฉินสั่วหนานเป็นสหายสนิทของเจ้า แต่ถ้าเจ้าจะยกชื่อเด็กน้อยนั่นที่เฉินสั่วหนานเป็นผู้สนับสนุนขึ้นมาอยู่ระดับเดียวกับผู้ที่มีสายเลือดราชันแห่งมวลมนุษย์อีกสามคนนั้นข้าคิดว่ามันคงไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่! ไม่ว่าจะเป็นระดับการบ่มเพาะ จำนวนอาณาเขตที่ปกครอง หากผู้ที่มีคุณสมบัติแค่นั้นกลายมาเป็นราชันแห่งมนุษย์ ทำเนียบราชันมนุษย์คงถูกเหล่าผู้คนหัวเราะเยาะจนตาย!”
หยิงเซียนหมิงแสดงสีหน้าไม่พอใจและตอบกลับ “จี้กงซวน เจ้าจะพูดหาเรื่องข้าทำไม ข้าก็แค่พูดตามหลักความเป็นจริง! ไม่ใช่ว่าหลิงยี่เทียนเองก็มีสายเลือดราชันแห่งมวลมนุษย์ไม่ใช่รึไง? ในเมื่อเขาเองก็มีสายเลือดราชันแห่งมวลมนุษย์ ถ้างั้นทำไมเขาจะไม่มีสิทธิ์ชิงตำแหน่งราชันแห่งมนุษย์?”
จี้กงซวนแสดงสีหน้าเย้ยหยันและพูดว่า “หากหลิงยี่เทียนกลายเป็นราชันแห่งมนุษย์จริง ๆ ข้าจะเป็นคนแรกที่ขอคัดค้าน!”
“คัดค้าน? เจ้ามีสิทธิ์อะไรไปคัดค้าน?” หยิงเซียนหมิงพ่นลมหายใจ “และอีกอย่าง หลิงยี่เทียนก็ใช่ว่าจะไร้ความสามารถ ลองดูอีกสามคนที่ปรากฏกายขึ้นก่อนว่าตอนนี้พวกเขาอายุเท่าไหร่กันแล้ว และลองเอามาเทียบกับหลิงยี่เทียนดู! ส่วนเรื่องจำนวนอาณาเขตมันก็ใช่ว่าหลิงยี่เทียนจะไม่มีอำนาจทำ”
“เจ้ารู้รึเปล่าว่าอาณาจักรของหลิงยี่เทียนนั้นมีสำนักมหาอำนาจสนับสนุนมากมายไม่ว่าจะเป็น ภูเขาฟีนิกซ์ สันเขาทรราช สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ สำนักเต๋าสวรรค์และยังมีอีกหลายกองกำลังที่ข้าขี้เกียจจะไล่เรียงให้ครบ ด้วยกำลังสนับสนุนขนาดนี้เจ้าคิดว่าการขยายอาณาเขตของเขามันยากไหมล่ะ? และยิ่งไปกว่านั้นข้าได้รับข่าวที่สำคัญของฝั่งหลิงยี่เทียนมาข่าวหนึ่ง ซึ่งข้าจะบอกให้พวกเจ้ารู้เอาไว้ตอนนี้เลยว่า หลิงยี่เทียนนั้นมีผู้ใต้บังคับบัญชาที่ได้รับมรดกมาจากสำนักโอสถนิรันดร์และตำหนักศาสตราศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วยอีกต่างหาก!”
จี้กงซวนกลอกตา “เจ้าเห็นกับตาของตัวเองรึไงว่าข่าวนี้เป็นข่าวจริง? เหอะ! ข้าว่ามันก็แค่ข่าวลวงที่เด็กนั่นปล่อยออกมาเอง เพื่อดึงดูดความสนใจจากคนอื่นก็แค่นั้นนั่นแหละ!”
จากนั้นทุกคนก็เริ่มเถียงกันต่อเหมือนเดิมโดยที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง…