พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 880 บันไดสู่การเป็นมหาปราชญ์
ในเวลานี้บนภูเขาไม่มีกลุ่มไหนกล้าต่อสู้กันเองต่ออีกแล้ว เพราะพวกเขาต่างหันมาระแวงกลุ่มของถังชี่หยุนเพียงอย่างเดียว
เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะกลุ่มของถังชี่หยุนได้ทำในสิ่งที่ไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน นั้นก็คือการสังหารปราชญ์ที่อยู่ในระหว่างการทดสอบ!
“ท่านพ่อ ท่านแม่ยายจะทำสำเร็จรึเปล่า?” หลิงยู่ชานถามขึ้น
ที่เขาถามเช่นนี้ก็เพราะเขาเห็นว่ากลุ่มของไป๋ชิงหัวนั้นนำไปไกลแล้ว
ความเร็วของไป๋ชิงหัวในตอนนี้ก็คือนางสื่อสารกับรูปปั้นสำเร็จไปแล้วถึง 8 รูปปั้น ซึ่งแตกต่างกับถังชี่หยุน ซึ่งในตอนนี้เพิ่งกำลังสื่อสารกับรูปปั้นรูปที่ 2
หลิงตู้ฉิงหัวเราะและพูดว่า “การไต่ขึ้นไปเร็วมันไม่ได้บ่งบอกว่าได้เปรียบเสมอไปหรอก การที่สื่อสารกับเจตจำนงมหาปราชญ์รุ่นก่อนจบได้อย่างรวดเร็วมันเกิดขึ้นได้จากสองกรณีก็คือ กรณีแรกปราชญ์ผู้เข้ารับการทดสอบอธิบายหลักการของตนเองจนเจตจำนงมหาปราชญ์รุ่นก่อนยอมรับ หรือกรณีที่สองก็คือปราชญ์ไม่สามารถอธิบายหลักการของตัวเองได้มากนักจนเจตจำนงมหาปราชญ์รุ่นก่อนรู้สึกไม่อยากจะสื่อสารด้วยต่อและปล่อยผ่านไป ซึ่งถ้าวัดจากความสามารถของไป๋ชิงหัวแล้วนางคงไม่มีความสามารถพอที่จะทำให้เจตจำนงมหาปราชญ์รุ่นก่อนรู้สึกยอมรับได้จริงไหม?”
เมื่อเหล่าศิษย์ของถังชี่หยุนได้ยินเช่นนี้ พวกเขาก็รู้สึกเบาใจขึ้น แต่จากนั้นพวกเขาก็เริ่มสอดส่องสายตามองหาปราชญ์คนอื่น ๆ ที่อาจจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของถังชี่หยุน ซึ่งคนแรกที่พวกเขาหยุดมองก็คือ จางจิงหง ที่กำลังสื่อสารกับรูปปั้นรูปแรกของเขามาเป็นเวลานานมากแล้ว และรูปปั้นก็แสดงสีหน้าพึงพอใจเป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน
หลิงตู้ฉิงพูดต่ออีกว่า “ต่อให้จะขึ้นไปถึงยอดเขาได้ก่อน แต่ถ้าหากว่าหลักการที่ตัวเองมีนั้นไม่ได้รับการยอมรับจากเจตจำนงมหาปราชญ์รุ่นก่อนเพียงพอ ปราชญ์ผู้ที่ทำการทดสอบก็จะไม่สามารถเดินขึ้นไปถึงแท่นบูชาที่อยู่บนจุดสูงสุดได้อยู่ดี”
“มีแต่ผู้ที่สามารถเดินขึ้นไปถึงแท่นบูชาเท่านั้นที่สามารถกลายเป็นมหาปราชญ์ได้ ส่วนปราชญ์คนอื่น ๆ ที่เข้ารับการทดสอบและทำไม่สำเร็จ พวกเขาจะไม่สามารถกลับมาทดสอบได้อีกครั้งตลอดชั่วชีวิตของพวกเขา”
คนอื่น ๆ ต่างพยักหน้าเข้าใจมากขึ้นว่าการทดสอบเป็นมหาปราชญ์นั้นมีหลายอย่างที่ลึกซึ้งมากกว่าที่พวกเขาคิด
1 เดือนต่อมา ไป๋ชิงหัวสามารถขึ้นไปถึงยอดเขาก่อนได้เป็นคนแรก แต่สีหน้าของนางกลับไม่มีร่องรอยของความเบิกบานแม้แต่นิด สีหน้าของนางนั้นเต็มไปด้วยความว่างเปล่าและโดดเดี่ยว
เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเมื่อนางขึ้นไปถึงยอดเขา นางพยายามที่จะก้าวขึ้นไปบนแท่นบูชา แต่แค่นางก้าวขึ้นไปเหยียบขั้นบันไดที่จะนำขึ้นไปสู่แท่นบูชาได้เพียงแค่ก้าวเดียว นางกลับถูกพลังลึกลับบางอย่างผลักออกมาในทันที ซึ่งผลลัพธ์เช่นนี้มันพิสูจน์ว่าหลักการที่นางเข้าใจมานั้นมันเป็นเรื่องที่ไม่ได้รับการยอมรับจากแทบทุกรูปปั้นที่นางสื่อสารด้วย!
แต่ถึงแม้ว่านางจะหมดหวังจากการเป็นมหาปราชญ์ นางก็ยังคงไม่จากไปไหน นางนั่งรออยู่บนยอดเขาเพื่อรอดูว่าใครกันแน่ที่จะกลายเป็นมหาปราชญ์ของยุคนี้
จากนั้นไป๋ชิงหัวก็นั่งรอถึง 3 ปีกว่าที่จะมีปราชญ์คนอื่น ๆ เริ่มเดินขึ้นมาถึงยอดเขา ซึ่งปราชญ์เหล่านั้นที่ขึ้นมาถึงที่หลังก็ไม่ได้บุ่มบ่ามรีบก้าวขึ้นบันไดของแท่นบูชาเหมือนแบบนาง ไอรีนโนเวล
พวกเขาต่างนั่งทบทวนหลักการของตนเองและตรวจหาจุดบกพร่องของพวกมันอีกครั้ง และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือพวกเขาอยากที่จะรอให้ปราชญ์คนอื่น ๆ ขึ้นมาถึงจนครบก่อนจากนั้นเขาก้าวขึ้นไปบนแท่นบูชาพร้อม ๆ กัน
ในท้ายที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปอีก 2 ปี ถังชี่หยุนและจางจิงหงก็เดินขึ้นมาถึงยอดเขาแทบจะพร้อม ๆ กัน
บรรดาปราชญ์คนอื่น ๆ เมื่อเห็นเช่นนี้ต่างก็มองหน้ากันและรู้กันเองได้ในทันทีว่าตอนนี้มันถึงเวลาแห่งการตัดสินแล้วว่าใครจะได้เป็นมหาปราชญ์ของยุคนี้
พวกขาต่างเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าขั้นบันได ซึ่งนำไปสู่แท่นบูชาสวรรค์และโลก
บันไดที่จะนำขึ้นไปสู่แท่นบูชานั้นมีอยู่ทั้งหมด 9 ขั้น ซึ่งทุกคนต่างก็ก้าวขึ้นไปขั้นแรกพร้อมกันโดยที่ไม่มีใครสักคนที่ถูกผลักออกไป
ในสายตาของคนนอกที่มองอยู่ ขั้นบันไดเหล่านี้มันคือขั้นบันไดธรรมดาที่ดูไม่พิเศษอะไรเลย แต่สำหรับเหล่าปราชญที่กำลังก้าวขึ้นไปนั้นพวกเขากลับรู้สึกทรมานเป็นอย่างมากในระหว่างที่ยืนอยู่บนขั้นบันได
ความรู้สึกของปราชญ์ทั้งหลายในขณะนี้ที่รู้สึกอยู่ก็คือมันเหมือนมีโลกทั้งใบกำลังกดทับทั้งร่างและวิญญาณของพวกเขา จนพวกเขาอยากจะกรีดร้องออกมาดัง ๆ ด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส!
หลังจากก้าวขึ้นบันไดขั้นแรกไปพักใหญ่ ปราชญทั้ง 6 คนก็ก้าวขึ้นไปยังขั้นบันไดที่ 2 ต่อและสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคงทุกคน
ไป๋ชิงหัว เมื่อเห็นเช่นนี้นางก็ได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น เนื่องจากนางเข้าใจได้แล้วว่าหลักการที่นางเข้าใจมาตลอดมันด้อยกว่าของคนอื่น ๆ ที่อยู่ในที่นี้มากมายนัก
เมื่อถึงบันไดขั้นที่ 3 ปราชญ์ทั้ง 6 คนก็ยังสามารถก้าวขึ้นไปได้อีก แต่ว่ามีหนึ่งในนั้นเมื่อก้าวขึ้นไปร่างของเขาก็เริ่มสั่นคลอนเหมือนกับจะล้มลง แต่ก่อนที่เขาจะล้มปราชญ์ผู้นั้นก็รีบหยิบม้วนคัมภีร์ม้วนหนึ่งขึ้นมา และเริ่มท่องเนื้อหาที่อยู่ในนั้นอย่างตั้งใจจนในที่สุดเขาก็สามารถกลับมายืนได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง
แต่แล้วในทันทีหลังจากที่เขายืนหยัดได้อย่างมั่นคงบนบันไดขั้นที่ 3 เขาก็ไม่รีรอปราชญ์คนอื่น ๆ อีกต่อไป เขารีบก้าวขึ้นไปยังบันไดขั้นที่ 4 ทันที ซึ่งเมื่อถึงบันไดขั้นที่ 4 เขาก็นั่งลงขัดสมาธิทันทีเพราะว่าเขารู้ตัวว่าเขาไม่สามารถเดินต่อไปได้อีกแล้ว และได้แต่นั่งรอให้มหาปราชญ์คนใหม่ปรากฏขึ้นเพื่อที่เขาจะได้รับประโยชน์จากความสำเร็จที่เขาสามารถก้าวขึ้นบันไดมาได้ 4 ขั้น
ปราชญ์อีก 5 คนที่ยังเหลืออยู่ต่างไม่สนใจปราชญ์ที่กำลังนั่งอยู่บนขั้นบันไดที่ 4 สักเท่าไหร่ พวกเขาต่างก้าวขึ้นบันไดไปต่อยังขั้นที่ 4 และขั้นที่ 5 พร้อม ๆ กันอย่างมั่นคง
แต่เมื่อถึงขั้นที่ 6 ปราชญ์คนหนึ่งก็ทำสิ่งที่คล้ายกับปราชญ์ที่นั่งอยู่ที่บันไดขั้นที่ 4 ก็คือเขารีบหยิบแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาและรีบอ่านมันทันที จนร่างกายของเขาหยุดสั่นไหวและนั่งลงขัดสมาธิเพราะเขารู้ตัวว่าเขาคงไม่อาจก้าวขึ้นไปถึงขั้นที่ 7 ได้
และยังมีปราชญ์อีกคนที่พยายามยืนหยัดบนขั้นที่ 6 อย่างสุดฤทธิ์เช่นกันและเมื่อเขาหยิบหนังสือของตนเองขึ้นมาอ่านจนเขาสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคง เขาก็ลองก้าวขึ้นไปที่ขั้นบันไดที่ 7 ทันทีแต่น่าเสียดายเมื่อเขายกขาขึ้นเพื่อที่จะก้าวขึ้นไป ขาของเขากลับก้าวไม่ออก
ปราชญ์ผู้นั้นพยายามอยู่หลายครั้งหลายคราจนท้ายที่สุดเขาก็ต้องยอมแพ้และถอนหายใจด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย เพราะผลลัพธ์เช่นนี้มันหมายความว่าหลักการของเขามันไม่ได้ดีพอจะติดอยู่ใน 3 ลำดับแรกได้
ในตอนนี้เหลือปราชญ์อีก 3 คนที่ยังคงมีความหวังที่จะเป็นมหาปราชญ์ได้อยู่ ซึ่งก็คือ ถังชี่หยุน จางจิงหง และ หยูหลิงหลง
พวกเขาทั้งสามต่างมองหน้ากันด้วยสายตามุ่งมั่น จากนั้นพวกเขาทั้งสามก็ก้าวขึ้นไปยังบันไดขั้นที่ 7 พร้อม ๆ กัน
เมื่อถึงบันไดขั้นที่ 7 ทั้งสามคนก็ทำสิ่งที่คล้ายกันก็คือการหยิบสิ่งที่พวกเขาใช้จดบันทึกหลักการที่พวกเขายึดมั่นขึ้นมาไว้ในมือ
ถังชี่หยุนหยิบหนังสือความเที่ยงธรรมที่น่าหวั่นเกรงขึ้นมาถือ จางจิงหงกำม้วนคัมภีร์ไม้ไผ่อยู่ในมือ ส่วนหยูหลิงหลงก็หยิบแผ่นหยกชิ้นหนึ่งมาถือไว้เช่นกัน
ที่พวกเขาจำเป็นต้องทำเช่นนี้ก็เพราะแรงกดดันของบันไดขั้นที่ 7 นั้นหนักหนามากเกินกว่าบันไดขั้นที่พวกเขาก้าวขึ้นมาหลายเท่าเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องนำหลักการที่พวกเขายึดเหนี่ยวขึ้นมาทบทวนอีกครั้ง!