พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 903 เหล่าอสูรตื่นตระหนก
เหล่าผู้คนรอบกายของหลิงตู้ฉิงทุกคนต่างได้รับอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์กันทุกคน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เข้าร่วมศึกกับสำนักเงินตราก็ตาม
เสี่ยวเยว่เฟิงได้รับชุดคลุมระดับศักดิ์สิทธิ์ หลงเฉินได้รับค้อนศึกคู่ โม่หยูถังได้รับหอก ชิวเจี้ยนปิงได้รับพิณ…
เมื่อเห็นเช่นนี้ บรรดาคนของเผ่ามังกรก็มองไปที่หลงเฉินด้วยสายตาอิจฉามากกว่าเดิม
หากพวกเขารู้ว่าการลากรถให้หลิงตู้ฉิงมันจะดีขนาดนี้ พวกเขาคงจะขอยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้ได้ทำหน้าที่นี้แน่นอน!
มีอย่างที่ไหนกันที่ผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญจะมีอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ไว้ใช้เป็นของตัวเอง สิทธิพิเศษขนาดนี้แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิก็ยังไม่มีวันได้รับด้วยซ้ำ
น่าเสียดายที่ในตอนนี้พวกเขาทุกคนต่างหมดโอกาสที่จะได้ลากรถให้กับหลิงตู้ฉิงเรียบร้อยแล้ว
หลังจากหลิงตู้ฉิงจัดการแบ่งสมบัติเสร็จ เขาก็หันไปพูดกับหลิงยี่เทียนว่า “ยี่เทียน เจ้าจงไปตามหาและคัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติพอที่จะสืบทอดมรดกสำนักสุสานศักดิ์สิทธิ์มาให้พ่อที พ่อทำลายสำนักนี้ไปจนสิ้นซาก พ่อจำเป็นต้องฟื้นฟูมาใหม่และเพื่อชดใช้กรรมให้สมบูรณ์ ศพยักษ์เทวะทั้งสี่ที่พ่อนำกลับมาด้วยหลังจากที่พ่อใช้งานพวกมันเสร็จ พ่อจะมอบพวกมันให้กับสำนักสุสานศักดิ์สิทธิ์เพื่อปลดเปลื้องพันธะ”
หลิงยี่เทียนหัวเราะ “ข้าเกรงว่าสำนักสุสานศักดิ์สิทธิ์คงจะกลายเป็นสำนักมหาอำนาจอย่างฉับพลังเลยทีเดียวด้วยศพยักษ์ทั้งสี่ตัวนั่น!”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “ไม่เสมอไปหรอก ถึงแม้ว่าศพยักษ์เทวะทั้งสี่จะแข็งแกร่งก็จริง แต่ถ้ามีเพียงแค่พวกมันอย่างเดียวมันก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้สำนักสุสานศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่เทียบกับสำนักมหาอำนาจอื่น ๆ ได้ เพราะสุดท้ายแล้วพวกเขาก็ยังมีจุดอ่อนใหญ่ที่สุดอยุ่ก็คือผู้ที่ควบคุมพวกมัน แค่ผู้ควบคุมตายทุกอย่างก็จบ”
“ข้าเข้าใจแล้ว ถ้างั้นข้าขอตัวไปตามหาคนที่มีคุณสมบัติก่อนก็แล้วกันท่านพ่อ!” หลิงยี่เทียนพยักหน้า
ในตอนนี้อาณาจักรจันทรานั้นมีอาณาเขตที่อยู่ในความปกครองเกิน 100 อาณาเขตไปแล้ว ดังนั้นการตามหาผู้ที่มีคุณสมบัติพอมันจึงไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย
หลังจากหลิงยี่เทียนจากไป หลิงตู้ฉิงก็นำศพยักษ์เทวะทั้งสี่ออกมาจากแหวนมิติและเริ่มปรับแต่งมันเพิ่มเติม
“ท่านวางแผนจะทำอะไรกับพวกมัน?” มี่ไลเดินเข้ามาเอ่ยถาม “พวกมันเป็นแค่ศพที่ไม่มีอะไรเลย ข้าไม่เข้าใจว่าพวกมันมีประโยชน์อะไรกับท่าน?”
จากมุมมองของนางที่มีต่อความแข็งแกร่งของหลิงตู้ฉิง นางไม่เข้าใจว่าศพเหล่านี้ให้ประโยชน์กับหลิงตู้ฉิงได้
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ถึงแม้ว่าพวกมันจะเป็นแค่ศพ แต่ศพก็มีข้อดีในตัวของพวกมันเอง ซึ่งก็คือไม่มีพลังใด ๆ ที่สามารถสร้างผลกระทบต่อจิตใจของพวกมันได้ และด้วยความทนทานของพวกมัน มันจึงแทบจะไม่มีใครที่อยู่ในโลกเบื้องล่างแห่งนี้สามารถทำอันตรายร่างกายของพวกมันได้”
“หลังจากที่เย่เจียงไห่ขึ้นสู่โลกเบื้องบนแล้ว ข้าวางแผนไว้ว่าข้าจะไปที่ภูมิภาคอี้ซางเพื่อทำธุระที่นั่น ซึ่งที่นั่นมีแต่พวกสติไม่สมประกอบ ดังนั้นข้าจำเป็นต้องใช้ศพ 4 ตัวนี้ในการรับมือกับพวกตัวตนครึ่ง ๆ กลาง ๆ พวกนั้น”
มี่ไลถามต่อด้วยสีหน้าสงสัย “ภูมิภาคอี้ซางนี่มันเป็นยังไงกันแน่?”
หลิงตู้ฉิงถอนหายใจ “ผู้คนทั้งหมดที่อยู่ในภูมิภาคอี้ซางล้วนแต่นับถือศาสนาพุทธ แต่การนับถือของพวกนั้นเป็นไปในทางสุดกู่เพราะศาสดาของพวกเขา พวกเขาต่างละทิ้งความปรารถนาและความต้องการทางโลกไปจนหมดไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นนอกจากศาสดาของพวกเขาเพียงอย่างเดียว ดังนั้นข้าจึงมองว่าพวกเขาเป็นพวกสติไม่สมประกอบไม่ต่างอะไรกับซากศพที่เดินได้แต่ยังมีชีวิต”
มี่ไลขมวดคิ้วทันที “บ้าแล้ว! พระโพธิสัตว์ที่แท้จริงไม่สอนให้ผู้คนหลับหูหลับตาเชื่อแบบนั้นสักหน่อย!”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงต้องไปที่นั่นเพราะปัญหาของ ซิน(โจวจื่อซิน) จิ๋นชานและคนอื่น ๆ อีกหลายคนก็เกี่ยวข้องกับที่นั่นเช่นกัน การที่จะแก้ไขปัญหาของพวกเขาทั้งหมดข้าจำเป็นต้องไปจบปัญหาที่เกิดขึ้นในภูมิภาคอี้ซางให้ได้”
มี่ไลครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ จากนั้นนางถามขึ้นว่า “ท่านต้องการให้ข้าไปกับท่านด้วยไหม?”
“การออกไปครั้งนี้ข้าจะไม่พาใครไปสักคน เพราะข้าเองก็ไม่เคยไปที่ภูมิภาคอี้ซางเช่นกัน สิ่งที่ข้ารู้มาทั้งหมดมันมาจากการที่ข้าเคยสังหารคนที่มาจากภูมิภาคอี้ซางเมื่อชีวิตที่แล้วข้าถึงได้รู้ว่าที่นั่นแปลกประหลาดและมีปัญหาอะไร” หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “ถึงแม้ว่าเต๋ากาลเวลาของเจ้าจะแข็งแกร่ง แต่ทักษะทางพุทธที่ศาสดาผู้ที่ปกครองภูมิภาคอี้ซางมีนั้นก็แข็งแกร่งจนสามารถหยุดเวลาได้ไม่ต่างกับเจ้า”
“ถ้าอย่างนั้นท่านก็ต้องยิ่งระวังตัวให้มาก!” มี่ไลพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ขนาดเมื่อชีวิตที่แล้วข้ายังไม่กลัวศาสดาอะไรนั่นเลย ในชีวิตนี้ข้าจะไปกลัวเขาได้ยังไง ที่สำคัญข้ามั่นใจว่าที่นั่นจะต้องมีสิ่งที่ทำให้เต๋าอารมณ์ของข้าถูกเติมเต็มจนสมบูรณ์อย่างแท้จริง!”
“อืม งั้นข้าจะรอท่านอยู่ที่นี่ รอวันที่ท่านกลับมาพร้อมกับเต๋าอารมณ์ที่สมบูรณ์” มี่ไลพูดขึ้นพลางเดินเข้าไปกอดหลิงตู้ฉิง
หลังจากนั้นมี่ไลจึงเดินจากไป ปล่อยให้หลิงตู้ฉิงง่วนอยู่กับการปรับแต่งศพยักษ์เทวะทั้ง 4 ต่อ
ในเวลาเดียวกัน เมื่อทั้งโลกได้รู้แล้วว่าเทพหายนะที่เคยสร้างความปั่นป่วนให้กับโลกเมื่อในอดีตตอนนี้ได้กลับมาแล้ว กลุ่มที่ระส่ำระส่ายกับข่าวนี้มากที่สุดก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพวกอสูรที่อยู่ในสันเขาหมื่นอสูร ซึ่งกำลังตัดสินใจกันอยู่พอดีว่าจะกลับมาปรากฏกายอย่างเปิดเผยต่อโลกอีกครั้งหนึ่ง
แน่นอนว่าเมื่อพวกมันได้ยินข่าวนี้พวกมันก็หยุดแผนการต่าง ๆ ทันที
“ไอ้สารเลวนั่นทำไมมันต้องกลับมาตอนนี้ด้วย?”
“ข้าก็สงสัยอยู่แล้วว่าไอ้สารเลวนั่นมันน่าจะใช่ ไม่นึกเลยว่ามันจะเป็นแบบที่ข้าสงสัยจริง ๆ”
“ถ้าไม่ใช่มันแล้วมันจะเป็นใครไปได้ที่กล้าสร้างอาณาจักรมาฆ่าล้างพวกเราแบบนี้? อาณาจักรที่ไหนมันจะกล้าต่อต้านพวกเราอย่างเปิดเผยแบบนั้นบ้าง?”
“……”
บรรดาอสูรทั้งหลายต่างก่นด่าสาปแช่งกันไม่หยุดหย่อน แต่แน่นอนว่านอกเหนือจากอารมณ์ที่เดือดดาลแล้วพวกมันยังเต็มไปด้วยอารมณ์หวาดกลัวเช่นกัน
สาเหตุที่พวกมันหวาดกลัวก็เพราะพวกมันเองก็มีส่วนร่วมในการเล่นงานเทพกระบี่ ทาสผีเสื้อ รวมไปถึงศึกที่ทำให้เกิดแดนกระดูกขาวก็เป็นพวกมันที่มีส่วนเข้าร่วม
ตอนนี้สำนักเงินตราถูกคิดบัญชีไปแล้ว ดังนั้นเป้าหมายถัดไปก็ต้องเป็นพวกมันจริงไหม?
“ไม่ต้องตื่นตระหนก! พวกเราเผ่าอสูรนั้นแตกต่างจากสำนักเงินตรา นอกเหนือจากความแข็งแกร่งของพวกเรา สันเขาทรราชของพวกเราไม่ได้ตั้งอยู่บนแผ่นดินหลัก ดังนั้นมันไม่มีทางหาพวกเราเจอได้ง่าย ๆ แน่นอน” อสูรระดับสูงตนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“แต่ว่าช่วงเวลาแห่งการแข่งขันของยุคนี้พวกเราจะปล่อยผ่านไปงั้นเหรอ?” อสูรระดับสูงอีกตนหนึ่งถามขึ้นด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
“เอาเถอะไหน ๆ พวกเราก็รอกันมาได้ตั้งนานแล้ว ถ้าพวกเราจะรอไปอีกสักยุคมันจะเป็นอะไรไป?” หนึ่งในอสูรระดับสูงอีกตนพ่นลมหายใจและพูดขึ้น “ยุคก่อนหน้านี้เป็นเพราะพวกเราลงมือ ไอ้สารเลวนั่นจึงมีเหตุผลพอที่จะเล่นงานพวกเราจนเสียหายอย่างย่อยยับ ในยุคนี้หากพวกเราเก็บตัวอยู่เฉย ๆ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะทำอะไรพวกเราได้อีก!”