พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 906 สถานที่ที่ไม่มีใครอยากข้องแวะ
เมื่อผู้สำเร็จเต๋าขึ้นสู่โลกเบื้องบน ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกเบื้องล่างนั้นไม่มีอะไรมากนัก แต่ในทางกลับกันปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกเบื้องบนเมื่อผู้สำเร็จเต๋าจากโลกเบื้องล่างจุติขึ้นมา มันไม่ใช่สิ่งที่เล็กน้อยสักเท่าไหร่
หน้าประตูเมืองแห่งหนึ่งในโลกเบื้องบน จู่ ๆ ลำแสงหลากสีก็พุ่งลงมาจากฟ้าปะทะเข้ากับถนนโครมใหญ่
“เร็วเข้า สมบัติวิเศษกำลังกำเนิดขึ้นอีกชิ้นแล้ว!” บรรดาผู้คนของเมืองเทียนเหลียงต่างตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น
ผู้เชี่ยวชาญมากมายต่างกรูกันออกมาจากเมืองเพื่อรอดูการปรากฏของ ‘สมบัติ’
แต่แล้วเมื่อพวกเขารอไปได้พักใหญ่จนลมแสงจางหายไป พวกเขาก็ได้รู้ว่าแท้จริงแล้วมันไม่ใช่การกำเนิดของสมบัติ
“โธ่ที่แท้ผู้เชี่ยวชาญจากโลกเบื้องล่างขึ้นมาที่นี่ นี่เอง!” เหล่าผู้เชี่ยวชาญหลายคนต่างส่ายหัวด้วยความผิดหวัง
แต่มีบางคนกลับมีแววตาลุกวาวและกระซิบกับคนข้าง ๆ ว่า “ในเมื่อเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ขึ้นมาจากโลกเบื้องล่างมันก็แปลว่าเขาจะต้องเป็นผู้สำเร็จเต๋าและมีเต๋าอยู่กับตัว ถ้าพวกเราชิงเต๋ามาได้พวกเราจะกลายเป็นผู้สำเร็จเต๋าทันที!”
“เขาเป็นผู้สำเร็จเต๋าแล้ว ซึ่งนับได้ว่าเขาก้าวเขาสู่เส้นทางการเป็นเทพอย่างแท้จริง แต่พวกเรายังเป็นมนุษย์อยู่เลยพวกเราจะไปสู้กับเขาได้ยังไง?” ใครบางคนถามกลับด้วยสีหน้ากังวล
“โธ่เอ้ย! พวกเจ้าอย่าลืมสิว่าเขาเพิ่งขึ้นมาถึงโลกเบื้องบนเท่านั้น ดังนั้นร่างกายของเขาน่าจะยังปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของที่นี่ไม่ได้ และพวกเราก็มีกันตั้งเยอะแถมความหนาแน่นของพลังวิญญาณในโลกเบื้องล่างมันก็เทียบไม่ได้กับที่พวกเราฝึกฝนกันอยู่ ข้าแน่ใจว่าความแข็งแกร่งของเขาตอนนี้มันคงไม่ต่างจากพวกเราเท่าไหร่หรอก พวกเจ้าจะเอายังไง? หากพวกเจ้าไม่เอาด้วยข้าจะลงมือเองแล้วนะ!”
“พวกเราร่วมด้วยก็ได้แต่พวกเราจะแบ่งกันยังไง?”
“ถ้างั้นพวกเรามาสาบานต่อสวรรค์กันก่อน ว่าใครที่เหมาะสมกับเต๋าของเขามากที่สุดคนผู้นั้นจะได้ไป”
ในเวลาเดียวกัน เย่เจียงไห่สูดลมหายใจลึกเพื่อปรับสภาพร่างกายของเขาให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ ซึ่งเขาสัมผัสได้ว่าโลกเบื้องบนแห่งนี้มันมีพลังวิญญาณที่หนาแน่นกว่าโลกเบื้องล่างมาก แต่แล้วเมื่อเขาเห็นว่ามีคนกลุ่มคนมากมายเริ่มมาล้อมมุงดูเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโลภ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างเย็นชาอยู่ในใจ จากนั้นเย่เจียงไห่จึงหยิบเตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาถือไว้เพื่อเตรียมรับมือกับคนของโลกเบื้องบนเหล่านี้
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เย่เจียงไห่ไม่คาดคิดก็คือ เมื่อเตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นสายตาของเหล่าผู้คนที่ล้อมเขาอยู่ก็กลายเป็นยิ่งบ้าคลั่งมากขึ้นกว่าเดิมราวกับว่าเตาที่เขาถืออยู่ในมือมันคือสมบัติวิเศษที่ล้ำค่าหาดูยาก
สิ่งนี้ทำให้เย่เจียงไห่ไม่เข้าใจ
โลกเบื้องบนควรจะมีสมบัติที่ล้ำค่าเยอะกว่าโลกเบื้องล่างไม่ใช่เหรอ? ทำไมผู้คนเหล่านี้ถึงมองเตาระดับศักดิ์สิทธิ์ในมือของเขาราวกับว่ามันหายากมาก ๆ ซะงั้น?
“ข้าขอถามพวกเจ้าหน่อยได้ไหมว่าตำหนักไร้หทัยต้องมุ่งหน้าไปทางไหน?” เย่เจียงไห่ยิงคำถามขึ้นก่อน
บรรดากลุ่มคนที่กำลังจะลงมืออยู่แล้ว เมื่อพวกเขาได้ยินคำถามนี้พวกเขาถึงกับชะงักและรีบหันหลังบินหนีไปอย่างว่องไวในทันที
“สารเลวเอ้ย ไอ้บ้านี่เป็นคนของตำนักไร้หทัย ดีนะที่ข้ายังไม่ได้ลงมือโจมตี!”
“ถึงแม้ว่าไอ้เฒ่าสาระเลวนั่นจะตายไปแล้ว แต่ลูกศิษย์ทั้งหลายของมันยังคงอยู่ หากไปทำร้ายคนของมันข้าจบเห่แน่!”
“……”
กลุ่มคนของเมืองเทียนเหลียงบินหนีไปเร็วกว่าที่พวกเขาบินเข้ามาด้วยซ้ำ แถมเมื่อกลับเข้าบ้านไปพวกเขายังลงกลอนแน่นหนาราวกับว่าไม่ต้องการสุงสิงกับเย่เจียงไห่
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้มันทำให้เย่เจียงไห่ยืนตกตะลึงไปพักใหญ่
นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น?
เมื่อครู่เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าคนเหล่านั้นมีจิตมุ่งร้ายกับเขาแน่นอน แต่แล้วทำไมพอได้ยินชื่อของตำหนักไร้หทัย จู่ ๆ พวกเขาก็หนีไปซะอย่างนั้น?
ตำหนักไร้หทัยนี่มันคือยังไงกันแน่?
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเย่เจียงไห่จะยังคงสงสัย แต่หน้าที่การส่งจี้หยกของเขายังคงอยู่ ดังนั้นเขาจึงเก็บความสงสัยเอาไว้ก่อนและพุ่งเป้าไปที่แผนแรกที่เขาต้องทำในตอนนี้ก็คือการเข้าไปในเมืองเทียนเหลียงเพื่อหาข้อมูลที่ตั้งของตำหนักไร้หทัย
เมื่อเห็นว่าเย่เจียงไห่กำลังจะเข้ามาในเมือง คนที่อยู่ด้านในก็รู้ได้ในทันทีว่าเย่เจียงไห่ต้องการอะไร
ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งสั่งกับศิษย์น้องของเขาว่า “เจ้าจงออกไปบอกกับเขาว่าให้ขึ้นไปทางเหนือเพื่อไปถามทางกับวัดของพรตเต๋า!”
เมื่อได้รับคำสั่งจากศิษย์พี่ของตนเอง ผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สมบูรณ์ก็ค่อย ๆ เดินออกไปส่งต่อข้อความให้กับเย่เจียงไห่ จากนั้นเขาก็รีบหนีกลับเข้าไปในเมืองด้วยสีหน้าหวาดกลัว
เย่เจียงไห่ขมวดคิ้วแน่นขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นอาการของผู้คนที่มีต่อเขาแบบนี้
นี่มันเกิดบ้าอะไรกันขึ้น?
จากนั้นเขาก็บินไปถามทิศทางที่ถูกบอกมา ซึ่งในเวลาไม่นานเขาก็ได้พบกับอารามนักพรตแห่งหนึ่ง ซึ่งมีป้ายอักษรตัวใหญ่ที่เขียนว่า ‘สันติสุข’
เมื่อไปถึงหน้าอารามและหลังจากที่เย่เจียงไห่เคาะประตู นักพรตเต๋าชุดเขียวผู้หนึ่งก็เปิดประตูออก
นักพรตเต๋าถามขึ้นทันที “สหายเต๋ามีอะไรให้ข้าช่วยงั้นหรือ?”
เย่เจียงไห่มองสำรวจนักพรตเต๋าทันที ซึ่งเขาก็สัมผัสได้ว่านักพรตเต๋าผู้นี้ไม่ธรรมดาแม้แต่น้อย อย่างน้อย ๆ ก็มีความแข็งแกร่งที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาแน่นอน
เมื่อรู้เช่นนี้ เย่เจียงไห่จึงตอบกลับด้วยท่าทีสุภาพว่า “ข้าขอสอบถามท่านนักพรตสักหน่อย ท่านรู้รึเปล่าว่าตำหนักไร้หทัยไปทางไหน?”
แววตาของนักพรตเต๋าชุดเขียวเปลี่ยนเป็นเย็นชาอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง จากนั้นเขาแสร้งยิ้มและตอบกลับว่า “ตำหนักไร้หทัยนั้นอยู่ห่างจากที่นี่ไปประมาณ 100 ล้านกิโลเมตรทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ว่าแต่สหายเต๋าต้องการไปที่นั่นทำไมงั้นหรือ?”
เย่เจียงไห่ปวดหัวในทันทีเมื่อได้ยินระยะทางหลักร้อยล้านกิโลเมตร เพราะต่อให้ระดับการบ่มเพาะของเขาจะกลับเป็นเหมือนในอดีต การเดินทางระยะไกลขนาดนี้มันก็ยังนับว่าเป็นเรื่องที่ยากมากอยู่ดี!
เมื่อได้ยินคำถามของนักพรตเต๋า เย่เจียงไห่พยักหน้าและตอบกลับ “เผอิญว่ามีคนให้ข้าทำธุระกับตำหนักไร้หทัยนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
นักพรตเต๋าแสดงสีหน้างุนงงในทันทีพลางคิดในใจ ‘ชายผู้นี้เป็นใครกันถึงมีธุระกับตำหนักไร้หทัย? และยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าจะเป็นธุระใดหากมันเกี่ยวกับตำหนักไร้หทัยมันไม่เคยเป็นเรื่องเล็กน้อยเลยสักครั้ง! แต่ดูจากหน้าตาท่าทางเขาน่าจะเป็นคนที่เพิ่งขึ้นมาอยู่โลกเบื้องบนใช่ไหม?’
จากนั้นนักพรตเต๋าจึงลองคำนวณเวลาในใจ ซึ่งเมื่อเขาคำนวณได้สักพักเขาก็เข้าใจแล้วว่าเวลานี้มันถึงเวลาที่คนจากโลกเบื้องล่างจะขึ้นมาโลกเบื้องบน
เมื่อรู้เช่นนี้เขาจึงยิ้มและพูดว่า “เมื่อก่อนตอนที่ข้าอยู่ในโลกเบื้องล่าง ข้าคือคนของสำนักเต๋าสวรรค์ แต่ตอนนี้ข้าคือคนของยอดเขาเต๋าเทวะ ข้าเข้าใจว่าท่านคือคนจากโลกเบื้องล่างที่เพิ่งขึ้นมาใช่ไหม?”
เมื่อได้ยินว่านักพรตเต๋าผู้นี้เคยเป็นของสำนักเต๋าสวรรค์ เย่เจียงไห่ก็รู้สึกโล่งใจมากขึ้น จากนั้นเขารีบพูดขึ้นว่า “ท่านนักพรต ตอนที่ข้าอยู่โลกเบื้องล่างความสัมพันธ์ของข้ากับสำนักเต๋าสวรรค์นับได้ว่าไม่เลวเพราะข้าเคยร่วมมือกับสำนักของท่านทำลายสำนักเงินตราด้วยกันเมื่อไม่นานมานี้ ว่าแต่ข้าถามท่านสักหน่อยได้ไหมว่ามันพอจะมีทางอื่นที่ทำให้ข้าสามารถไปถึงตำหนักไร้หทัยได้เร็วกว่าการบินไปด้วยตัวเองรึเปล่า?”
นักพรตเต๋าส่ายหัวและตอบกลับ “การเดินไปที่ตำหนักไร้หทัยนั้นไม่มีทางอื่นอีกแล้วนอกจากบินไปด้วยตนเอง!”
นักพรตเต๋าลอบสบถในใจ ‘เจ้าจะไปทำธุระให้ตำหนักไร้หทัยงั้นเหรอ? งั้นก็เชิญเจ้าบินไปด้วยตัวเองคนเดียวเถอะ! ด้วยระดับการบ่มเพาะเท่าหางอึ่งอย่างเจ้า เจ้าไม่ทางรอดจากคมเขี้ยวของพวกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระหว่างทางแน่!’