พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 917 ความวุ่นวายในสำนักเต๋าสวรรค์
ร่างแยกของฟีนิกซ์แสงศักดิ์สิทธิ์ได้ลงมาถึงภูเขาฟีนิกซ์เรียบร้อยแล้วเช่นกัน
เมื่อเห็นแขกที่มาจากโลกเบื้องบน บรรดากลุ่มคนของภูเขาฟีนิกซ์ต่างก็แสดงสีหน้าซับซ้อน
ผู้มาจากโลกเบื้องบน? พวกเขาควรจะเคารพและเชื่อฟังทุกอย่างดีหรือเปล่า?
แต่ว่าในยุคนี้ภูเขาฟีนิกซ์ของพวกเขาก็ไม่ถือว่าน้อยหน้า ทั้งหวงซีที่สามารถผ่านการเกิดใหม่ได้สำเร็จจนมีสายเลือดสูงส่งไม่น้อยไปกว่าฟีนิกซ์ที่อยู่บนโลกเบื้องบน แล้วไหนจะหลิงไช่หยุนอีกคนที่โดดเด่นไม่แพ้ใคร
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาจึงไม่แน่ใจว่าควรทำตัวยังไงดีและพวกเขาก็กลัวปัญหาที่จะเกิดจากผู้ที่มาจากโลกเบื้องบนที่จะมาสร้างความลำบากใจให้กับพวกเขา
อย่างไรก็ตาม ทางด้านของฟีนิกซ์แสงศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้ทำอะไรเลยเช่นกันเมื่อมาถึง เพราะนางเองก็สัมผัสได้เหมือนกันว่าในตอนนี้ที่ภูเขาฟีนิกซ์นอกจากหลิงไช่หยุนยังมีผู้ที่มีสายเลือดสูงส่งไม่ด้อยไปกว่านางดำรงอยู่อีก 2 คน แถมหนึ่งในมีสายเลือดที่แข็งแกร่งกว่านางด้วยซ้ำดังนั้นนางจึงไม่กล้าทำตัวหยิ่งผยอง
นางถามหวงซีและหวงเซียะด้วยสีหน้าสงสัย “พวกเจ้ามีสายเลือดอะไรกัน?”
หวงเซียะไม่กล้าทำตัวหยาบคาย ดังนั้นนางจึงรีบตอบกลับทันที “ผู้อาวุโส ข้ามีสายเลือดของฟีนิกซ์เพลิงพิพากษา!”
ทางด้านของหวงซีก็ยิ้มและตอบกลับด้วยท่าทีสุภาพเช่นกัน “ข้าผ่านการเกิดใหม่จากเถ้าถ่านมาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งสามีของข้าบอกว่าตอนนี้สายเลือดที่ไหลเวียนในตัวข้าคือฟีนิกซ์เก้ายมโลก แต่ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแท้จริงแล้วฟีนิกซ์เก้ายมโลกนั้นเป็นอย่างไร”
เมื่อได้รับคำตอบจากทั้งสอง ฟีนิกซ์แสงศักดิ์สิทธิ์ก็เงียบลง
ทั้งสายเลือดของฟีนิกซ์เพลิงพิพากษาและสายเลือดฟีนิกซ์เก้ายมโลกนั้นคือสายเลือดที่มีระดับสูงกว่านาง!
เมื่อรู้เช่นนี้ นางจึงรู้สึกโล่งอกอยู่ในใจที่ในตอนแรกนางไม่ได้แสดงท่าทีไม่เหมาะสมอะไรกับหญิงสาวทั้งสองคนนี้
“แล้วตอนนี้องค์หญิงน้อยไปไหนงั้นเหรอ?” ฟีนิกซ์แสงศักดิ์สิทธิ์เอ่ยถามขึ้น
แน่นอนว่าคนที่นางเอ่ยถึงคือ หลิงไช่หยุน
หวงซีรู้อยู่แล้วว่าฟีนิกซ์แสงศักดิ์สิทธิ์จะต้องถามคำถามนี้ นางจึงหัวเราะและตอบทันที “ตอนนี้นางกำลังปิดด่านบ่มเพาะอยู่เหมือนกับทุก ๆ คนในภูเขาฟีนิกซ์”
เมื่อได้ยินว่าหลิงไช่หยุนกำลังปิดด่านบ่มเพาะอยู่ ฟีนิกซ์แสงศักดิ์สิทธิ์จึงไม่ถามเรื่องของหลิงไช่หยุนต่อ นางเปลี่ยนประเด็นทันทีด้วยสีหน้าสงสัย “ว่าแต่มีอะไรเกิดขึ้นที่นี่รึเปล่า? ทำไมข้าถึงสัมผัสได้ว่าทั้งอาณาเขตมีทั้งพลังวิญญาณและพลังของกฎแห่งเพลิงสถิตหนาแน่นกว่าเดิม?”
ก่อนหน้านี้นางใช้เจตจำนงของนางตรวจสอบทั้งอาณาเขตฟีนิกซ์อย่างคร่าว ๆ ดังนั้นนางจึงสัมผัสได้ถึงความเป็นไปของอาณาเขตฟีนิกซ์ทั้งหมด
หวงซีชี้นิ้วไปยังทิศทางที่แดนกระดูกขาวตั้งอยู่และพูดว่า “ที่นั่นคือปัญหาที่พวกเรากำลังเผชิญ ดังนั้นพวกเราจึงจำเป็นต้องตั้งใจบ่มเพาะกันอย่างขะมักเขม้นเพื่อเตรียมตัวที่จะทำให้สถานที่นั้นหายไป”
ฟีนิกซ์แสงศักดิ์สิทธิ์มองไปตามทิศทางที่หวงซีชี้นิ้วไปอยู่สักพัก จากนั้นนางก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้ามืดหม่นและพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมองค์จักรพรรดินีถึงส่งข้าลงมา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ถ้างั้นพวกเราก็มาเตรียมจัดทัพกันเลยดีกว่าเพื่อจัดการให้ปัญหานี้มันหมดไปโดยเร็วที่สุด”
หวงซีส่ายหัว “ยังไม่ถึงเวลา พวกเราจำเป็นต้องรอให้สามีข้ามาถึงก่อน”
ฟีนิกซ์แสงศักดิ์สิทธิ์ขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้ นางพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยว่า “สามีของเจ้าเป็นใครกัน? ทำไมเจ้าไม่เร่งให้เขารีบมาที่นี่เพื่อที่พวกเราจะได้แก้ปัญหานี้ให้มันจบได้ไว ๆ เจ้ารู้รึเปล่าว่าปัญหานี้หากไม่รีบแก้ไขมันจะกลายเป็นหายนะใหญ่”
เมื่อเห็นว่าฟีนิกซ์แสงศักดิ์สิทธิ์พูดขึ้นในแนวเชิงตำหนินาง หวงซีตอบกลับด้วยสีหน้าบอกเป็นนัยทันที “สามีของข้าคือพ่อของไช่หยุน และว่ากันว่าเขาคือผู้ที่กลับมาเกิดใหม่จากโลกเบื้องบน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ฟีนิกซ์แสงศักดิ์สิทธิ์รู้ได้ทันทีว่าสามีของหวงซีเป็นใคร
อันที่จริงนางอยากจะตะโกนขึ้นดัง ๆ ว่านี่มันเป็นเรื่องภายในของภูเขาฟีนิกซ์ คนนอกมายุ่มย่ามอะไรด้วย?
แต่น่าเสียดายที่นางไม่มีความกล้าพอ
นอกจากชื่อเสียงอันไร้เทียมทานของหลิงตู้ฉิงที่มีในอดีต จักรพรรดินีของนางยังย้ำเอาไว้อีกว่าให้นางเชื่อฟังคำสั่งของหลิงตู้ฉิง ซึ่งถ้าคิดถึงความแข็งแกร่งที่หลิงตู้ฉิงมีในอดีตเขาก็มีคุณสมบัติพอที่จะสั่งนางเช่นกัน
ดังนั้นเมื่อตอนนี้นางรู้แล้วว่าสามีของหวงซีเป็นใคร นางจึงทำได้แต่เงียบและรอเวลาให้หลิงตู้ฉิงมาถึงเท่านั้น
หลังจากเงียบไปได้สักพัก ฟีนิกซ์แสงศักดิ์สิทธิ์เอ่ยขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นในระหว่างที่รอข้าจะบรรยายเต๋าให้กับทุก ๆ คนฟังเพื่อที่ทุกคนจะได้บ่มเพาะกันได้ไวยิ่งขึ้น”
จากนั้นนางก็เริ่มบรรยายเต๋าของนางให้กับผู้คนในภูเขาฟีนิกซ์ได้ฟัง
ท้ายที่สุดภูเขาฟีนิกซ์ก็ไม่มีเรื่องเลวร้ายอะไรเกิดขึ้น แต่ในทางกลับกันสำนักเต๋าสวรรค์กลับกำลังเผชิญกับความวุ่นวายครั้งใหญ่
ในเวลานี้ศิษย์ของเจ้าแห่งพรตเต๋าได้ลงมาถึงโลกเบื้องล่างแล้ว และเมื่อเขาดูสภาพความเป็นอยู่ของสำนักเต๋าสวรรค์ในขณะนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
นี่สำนักเต๋าสวรรค์ตกต่ำลงถึงเพียงนี้เลยงั้นเหรอ?
เมื่อตอนที่เขามาถึงบรรดาผู้คนของสำนักเต๋าต่างรีบออกมาต้อนรับเขาเป็นอย่างดีราวกับได้เจอคนในครอบครัวเดียวกันที่ไม่ได้เจอกันมานาน มีแม้กระทั่งบางคนลงไปคุกเข่าด้วยความดีใจก็มี
“ข้า จางซิงอี้ ว่าแต่ทำไมพวกเจ้าถึงเหลือกันอยู่แค่นี้?”
บรรดานักพรตของสำนักเต๋าสวรรค์รีบตอบกลับทันที “เรียนผู้อาวุโสจางซิง ก่อนหน้านี้เจ้าสำนักได้พาคนส่วนใหญ่ออกไปกับเขา”
“พาออกไป? พาออกไปไหน?” จางซิงอี้ถามกลับด้วยสีหน้าสงสัย
เป็นไปได้ไหมที่สำนักเต๋าสวรรค์ในตอนนี้มีความขัดแย้งภายในเกิดขึ้นจนแบ่งออกเป็นสองฝ่าย?
“เจ้าสำนักพาพวกเราส่วนใหญ่ไปที่อาณาจักรจันทราเพื่อช่วยอาณาจักรจันทราทำสงคราม!”
จางซิงอี้ เมื่อได้ยินเช่นนี้เขารู้สึกไม่พอใจในทันที “ไร้สาระ! สำนักเต๋าสวรรค์ของพวกเรายึดมั่นในวิถีอยู่อย่างสันโดษไม่ยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งของโลกภายนอกมาโดยตลอด ทำไมจู่ ๆ เจ้าสำนักของพวกเจ้าถึงได้เสียสติพาคนออกไปทำสงครามแบบนี้?”
“ผู้อาวุโส เหตุผลที่เจ้าสำนักพาคนออกไปช่วยอาณาจักรจันทราทำสงครามนั้นเป็นเพราะนางมีอีกสถานะหนึ่งก็คือนางเป็นองค์หญิงใหญ่แห่งอาณาจักรจันทรา ดังนั้นนางจึงเห็นว่าเป็นเรื่องปกติที่นางจะนำคนไปช่วยอาณาจักรของนางในการทำสงคราม” หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิของสำนักเต๋าสวรรค์ตอบกลับ “ยิ่งไปกว่านั้นการกระทำของเจ้าสำนักยังได้รับการสนับสนุนจากบรรพบุรุษสูงสุดซวนหยวน ดังนั้นพวกเราจึงไม่กล้าเอ่ยทัดทานอะไร ผู้อาวุโสข้ายังมีอีกเรื่องที่จำเป็นต้องแจ้งให้ท่านทราบ ในเวลานี้มีผู้อาวุโสของเราหลายคนถูกเจ้าสำนักจับไปเป็นทาส หากเป็นไปได้ข้าอยากจะให้ท่านให้ความเป็นธรรมกับพวกเขาด้วย!”
จางซิงอี้ขมวดคิ้วแน่นขึ้นกว่าเดิม “นี่มันผิดกฎระเบียบอย่างโจ่งแจ้งชัด ๆ เลยไม่ใช่เหรอไง? นี่สมองของบรรพบุรุษซวนหยวนของพวกเจ้ามีปัญหาอะไรรึเปล่า? ไป! พวกเจ้าจงส่งคนไปแจ้งข่าวให้เจ้าสำนักของพวกเจ้านำคนของเรากลับมาที่สำนักเดี๋ยวนี้ วิถีของพวกเราคือการบ่มเพาะเต๋าไม่ใช่การทำศึกสงคราม พวกเจ้านี่มันโง่กันจริง ๆ หลายปีผ่านไปไม่มีใครในพวกเจ้าที่สามารถสำเร็จเต๋าสักคน แทนที่พวกเจ้าจะตั้งใจบ่มเพาะเต๋าให้มากขึ้นพวกเจ้ากลับไปช่วยคนอื่นเขารบ! อ๋อจริงสิ มีใครในพวกเจ้ารู้จักหญิงสาวคนนี้ไหม?”
เมื่อพูดจบ จางซิงอี้แสดงภาพวาดของหลิงว่านถิงให้กับคนอื่น ๆ ดู
บรรดาผู้คนเมื่อได้เห็นภาพนี้พวกเขาก็แสดงสีหน้างุนงงและรีบตอบกลับทันที “ผู้อาวุโส หญิงสาวในภาพวาดคือเจ้าสำนักของพวกเราเอง!”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้จางซิงอี้อึ้งไปสักพัก ที่แท้ศิษย์น้องของเขากลายเป็นเจ้าสำนักเต๋าสวรรค์งั้นเหรอ?
อย่างไรก็ตาม เขายังคงพูดขึ้นเสียงแข็งว่า “ไป! พวกเจ้ารีบไปตามเจ้าสำนักของพวกเจ้ากลับมา เรื่องนี้มันบ้าบอไปกันใหญ่แล้ว!”
ในมุมมองของจางซิงอี้ เขาคิดว่าในตอนนี้ศิษย์น้องของเขาคงคลุกคลีกับสภาพแวดล้อมของโลกเบื้องล่างมากเกินไปนางจึงกลายเป็นเช่นนี้ ดังนั้นในฐานะที่เขาเป็นศิษย์พี่ เขาจึงมีหน้าที่ในการสั่งสอนศิษย์น้องของเขาให้กลับมาอยู่ในลู่ทางเดิมที่ถูกต้อง
เมื่อได้ยินคำสั่งของจางซิงอี้ ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิที่เป็นคนฟ้องเรื่องราวเมื่อครู่ก็เป็นคนเดินทางไปที่อาณาจักรจันทราด้วยตัวเอง และเมื่อเขาเจอหน้าหลิงยี่เทียน เขาตะโกนลั่นด้วยท่าทีหยิ่งผยองว่า “ผู้ส่งสาสน์จากโลกเบื้องบนของสำนักเต๋าสวรรค์ของเรามีคำสั่งลงมาว่า เจ้าสำนักว่านถิงและผู้ติดตามของนางทั้งหมดจะต้องกลับไปที่สำนักเต๋าสวรรค์ในทันทีโดยไม่มีข้อแม้!”