พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 933 มรดกสำนักสุสานศักดิ์สิทธิ์
เมื่อเห็นว่ามีผู้สำเร็จเต๋าคนใหม่ปรากฏขึ้น คนส่วนใหญ่ต่างก็สงสัยกันไปในทางเดียวกันว่า เขาเป็นใครกัน? ยกเว้นก็แต่บรรดาครอบครัวของหลิงตู้ฉิงที่สงสัยว่าเขาอยู่ไหนกัน?
ผู้สำเร็จทุกคนต่างได้รับรางวัลจากสวรรค์ ซึ่งพวกเขารู้ดีว่าพ่อและสามีของพวกเขาต้องการ
“ท่านพ่อ ท่านรู้รึเปล่าว่าผู้สำเร็จเต๋าผู้นี้อยู่ที่ไหน?” หลิงยู่ชานถามขึ้น
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน พ่อจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเขาต้องอยู่ใกล้ ๆ เท่านั้น พ่อถึงจะสัมผัสถึงเขาได้”
“ถ้างั้นในเมื่อพวกเราไม่รู้แบบนี้พวกเราจะไปชิงรางวัลจากสวรรค์ของเขามาได้ยังไง?” หลิงยู่ชานถามขึ้นด้วยสีหน้ากังวล
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “ในเมื่อพวกเราชิงไม่ได้ก็ปล่อยมันไปไม่ต้องไปใส่ใจ หรือไม่พวกเราก็ต้องมารอลุ้นว่าเขาจะโลภมากวางแผนชิงรางวัลสวรรค์ของผู้สำเร็จเต๋าคนอื่นรึเปล่า ถ้าหากเขาวางแผนไว้แบบเดียวกับเรา ไม่นานพวกเราก็เจอเขาเอง แต่ถ้าหากเขาตัดใจขึ้นสู่โลกเบื้องบนไป พวกเราก็คงไม่มีโอกาส”
“ถ้างั้นมันก็นับได้ว่าขึ้นอยู่กับโชคของพวกเราเหมือนกัน” หลิงยู่ชานหัวเราะ
เหตุการณ์ที่คนในครอบครัวทุกคนมารวมกันได้เช่นนี้นับได้ว่าหายากมากโดยเฉพาะช่วงเวลาหลัง ๆ ของครอบครัวหลิงตู้ฉิง ซึ่งถ้าหากว่าพวกเขาไม่ได้ข่าวว่าหลิงตู้ฉิงจะเป็นคนย่างเนื้ออสูรให้พวกเขากินด้วยตัวเองเหมือนสมัยก่อน พวกเขาคงไม่มารวมตัวกันแบบนี้
ในระหว่างที่กินกันอย่างเอร็ดอร่อย หลิงยี่เทียนพูดกับหลิงตู้ฉิงว่า “ท่านพ่อ นี่มันก็เป็นเวลานานแล้วที่ข้าให้ผู้อาวุโสฟู่เซียนไปสืบข่าวเรื่องอาณาจักรผู้กล้าและสภาอสูรสวรรค์ แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีข่าวอะไรเลย และที่สำคัญในเวลานี้พวกสันเขาหมื่นอสูรปรากฏกายขึ้นอีกแล้ว แถมครั้งนี้ข้าได้รับรายงานมาว่าพวกมันยกเอาทั้งสันเขาหมื่นอสูรมาตั้งไว้ในแผ่นดินใหญ่และรุกรานอาณาเขตรอบ ๆ อย่างบ้าคลั่ง ข้าไม่แน่ใจว่าเหตุผลที่เหล่าอสูรกระทำการอุกอาจขนาดนี้มันจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของอาณาจักรผู้กล้าและสภาอสูรสวรรค์รึเปล่า”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “ก็อาจเป็นไปได้ แต่เหตุผลอีกส่วนหนึ่งมันน่าจะเป็นเพราะผลพวงของเรื่องที่พ่อจงใจปล่อยข่าวการดำรงอยู่ของพ่อในโลกเบื้องล่าง ซึ่งมันทำให้เหล่าอสูรที่มีความแค้นกับพ่ออย่างฝังรากลึกมายาวนานต้องส่งพวกของมันลงมายังโลกเบื้องล่างเพื่อจัดการกับพ่อและถ้าให้พ่อเดา พ่อคิดว่าพวกมันน่าจะส่งอสูรลงมาเป็นจำนวนไม่น้อยแน่ ๆ จนทำให้พวกมันมั่นใจถึงขนาดกล้ารุกรานแผนดินใหญ่ได้ถึงขนาดนี้ เจ้าต้องรู้เอาไว้ว่าพวกอสูรนั้นถูกเนรเทศออกไปนานแล้ว ซึ่งนี่เป็นความอับอายของพวกมันอย่างที่สุด ดังนั้นเมื่อพวกมันคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งพอมันจึงไม่แปลกอะไรที่พวกมันอยากจะเผยตัวและกลับมามีจุดยืนที่มั่นคงบนโลกเหมือนเดิม”
“ส่วนเจ้าเองหากเจ้าต้องการจะจัดการกับสันเขาหมื่นอสูร เจ้าจะต้องคิดทุกอย่างให้รอบคอบที่สุดและดำเนินการทุกขั้นตอนด้วยความระมัดระวัง เพราะพวกมันไม่ธรรมดาอย่างที่เจ้าเข้าใจ แถมตอนนี้พ่อเองก็ยังช่วยเจ้าไม่ได้เพราะพ่อมีสิ่งสำคัญที่ต้องทำอยู่และอย่าได้คิดหวังพึ่งซวนหยวนให้มากนัก เพราะหากเขาเผชิญหน้ากับอสูรขอบเขตศักดิ์สิทธิ์สามัญ เขาก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน”
“เข้าใจแล้วท่านพ่อ” หลิงยี่เทียนพยักหน้า
ในบรรดาอาณาเขตที่ถูกเหล่าอสูรบุกอยู่ในตอนนี้มีหลายอาณาเขตที่เป็นอาณาเขตของมนุษย์ ซึ่งในฐานะที่เขาเป็นราชันย์แห่งมวลมนุษย์เขาจึงมีหน้าที่ที่จะต้องปกป้องมนุษย์ทุกคนจากหายนะ ดังนั้นหลังจากนี้เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกเขาจะต้องเป็นผู้นำเหล่ามนุษย์เพื่อออกไปทำสงครามกับเหล่าอสูร
“ท่านพ่อ ท่านให้เนื้ออสูรเสือกับข้าเพิ่มได้ไหม ข้าต้องการให้ผู้ติดตามของข้าแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิม!” หลิงยี่เทียนเอ่ยปากขอ “อ๋อจริงสิท่านพ่อ ที่ท่านให้ข้าไปตามหาผู้ที่เหมาะสมจะได้รับมรดกของสำนักสุสานศักดิ์สิทธิ์ ข้าได้ไปจัดการให้ท่านเรียบร้อยแล้ว หากท่านพร้อมเมื่อไหร่ข้าสามารถนัดให้พวกเขามาพบท่านได้เลย”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ไม่ต้องห่วงเรื่องเนื้ออสูรเสือ พ่อต้องแบ่งให้พวกเจ้าทุกคนอยู่แล้ว แต่เลือดของมันพ่อคงต้องขอเก็บเอาไว้เพื่อเอาไปปรับแต่งศพยักษ์เทวะ ยี่เทียน เจ้าไปตามบรรดาผู้คนที่เจ้าคัดเลือกมาให้พ่อได้เลย หากผู้คนที่พวกเจ้าคัดเลือกมามีสักคนที่เหมาะสมจะได้รับมรดกของสำนักสุสานศักดิ์สิทธิ์ คนผู้นั้นจะเป็นส่วนช่วยให้เจ้าสามารถต่อกรกับเหล่าอสูรได้ง่ายขึ้น”
“ถ้างั้นข้าจะรีบส่งคนไปตามพวกเขามาทันที!” หลิงยี่เทียนรีบเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งผู้ติดตามของเขาออกไปเรียกให้เหล่าผู้คนที่เขาคัดเลือกไว้ให้มาที่นี่ทันที
หลังจากนั้นไม่นาน คนกลุ่มหนึ่งก็เดินทางมาถึงคฤหาสน์สราญรมย์ ซึ่งทุกคนในกลุ่มที่มานั้นมีกลิ่นอายที่บ่งบอกว่าเขาบ่มเพาะอยู่กับศพมาเป็นเวลานาน
หลิงตู้ฉิงกวาดตามองไปยังกลุ่มคนที่หลิงยี่เทียนจัดหามาอยู่สักพัก จากนั้นเขาพูดขึ้นว่า “ข้าสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพวกเจ้าทุกคนล้วนบ่มเพาะทางด้านของศพมาเป็นเวลานาน เอาล่ะตอนนี้ข้ามีสมบัติอยู่ 4 ชิ้นที่อยากจะให้พวกเจ้าทำความเข้าใจดูเพื่อเป็นการทดสอบความเหมาะสมของพวกเจ้าขั้นสุดท้าย”
จากนั้นหลิงตู้ฉิงนำศพยักษ์เทวะทั้งสี่ออกมาจากแหวนมิติพร้อมกับย่อขนาดพวกมันให้เหลือแค่ขนาดมนุษย์ปกติ และสั่งให้พวกมันระงับอำนาจเต๋าที่สถิตอยู่ในร่างเพื่อที่จะได้ไม่เป็นการทำร้ายเหล่าผู้เข้าคัดเลือก และต่อมาหลิงตู้ฉิงจึงสั่งให้ผู้เข้าคัดเลือกทุกคนลองสื่อสารกับศพยักษ์เทวะทั้งสี่ดู
แน่นอนว่านี่เป็นการสื่อสารเพียงอย่างเดียว พวกเขาไม่มีทางควบคุมศพยักษ์เทวะได้แน่นอน
หลังจากผู้เข้าคัดเลือกทั้ง 8 คนสื้อสารกับศพยักษ์เทวะเสร็จจนหมด หลิงตู้ฉิงชี้ไปที่ชายร่างผอมที่ดูอ่อนแอที่สุดในกลุ่มและพูดว่า “เจ้าอยู่ ส่วนคนอื่น ๆ ออกไปให้หมด!”
ถึงแม้ว่าร่างกายของชายผู้นี้จะอ่อนแอแถมเขายังมีกลิ่นอายศพน้อยที่สุด แต่หลังจากที่หลิงตู้ฉิงศึกษาเขาอย่างละเอียดในระหว่างที่เขาสื่อสารกับศพยักษ์เทวะ หลิงตู้ฉิงก็ได้รู้ว่าชายผู้นี้ชอบศึกษาการควบคุมศพเป็นอย่างมาก แถมศพสำหรับเขานั้นนับได้ว่าเป็นคู่หู แตกต่างจากคนอื่นที่คิดว่าศพเป็นแค่เพียงเครื่องมือ
หากเป็นตามปกติแนวความคิดนี้มันก็ไม่มีปัญหาอะไรเท่าไหร่กับการที่คิดว่าศพเป็นเพียงแค่เครื่องมือ แต่กับศพยักษ์เทวะทั้งสี่นี้มันย่อมแตกต่างไปเพราะหลิงตู้ฉิงปรับแต่งให้ในอนาคตพวกมันจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ซึ่งถ้าหากผู้ใช้พวกมันมองเห็นมันเป็นแค่เครื่องมือและนำพวกมันไปใช้ทำในสิ่งที่เลวร้ายมาก ๆ วันใดที่พวกมันมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง วันนั้นจะเป็นวันที่สำนักสุสานศักดิ์สิทธิ์ในโลกเบื้องล่างล่มสลาย
ดังนั้นชายร่างผอมผู้นี้ที่มีความคิดว่าศพเป็นคู่หูจึงเหมาะสมที่จะควบคุมศพยักษ์เทวะทั้งสี่นี้ และได้รับมรดกสำนักสุสานศักดิ์สิทธิ์มากที่สุด
หลิงตู้ฉิงมองไปที่ชายร่างผอมและถามขึ้นว่า “เจ้าชื่ออะไร?”
ชายร่างผอมตอบกลับด้วยสีหน้าประหม่าว่า “ฝะ ฝ่าบาท…กระหม่อมมีนามว่า หมิงหยาง…”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “นับจากนี้เป็นต้นไปถ้าเจ้ายินยอม ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์ในนามและข้าจะถ่ายทอดมรดกสำนักสุสานศักดิ์สิทธิ์ให้เจ้าทั้งหมดรวมไปถึงศพยักษ์เทวะทั้งสี่นี้ข้าก็จะมอบให้เจ้าเช่นกัน แต่มีข้อแลกเปลี่ยนซึ่งก็คือเจ้าต้องอยู่แต่ในอาณาจักรจันทราเพื่อรอรับคำสั่งลูกชายของข้า ยี่เทียน แค่เพียงอย่างเดียวจนถึงตอนที่ลูกของข้าขึ้นไปสู่โลกเบื้องบน เจ้าถึงจะสามารถแยกตัวไปตั้งสำนักของเจ้าเองได้ เจ้าตกลงรึเปล่า?”
“ศิษย์คารวะท่านอาจารย์!” หมิงหยางรีบคุกเข่าลงคารวะทันทีด้วยสีหน้าตื่นเต้น
ในยุคนี้แทบไม่มีใครไม่รู้จักอาณาจักรจันทรา และถ้าหากใครรู้จักอาณาจักรจันทรา เขาก็ต้องรู้จักหลิงตู้ฉิง
ต่อให้ใครหลายคนจะไม่รู้ว่าในอดีตหลิงตู้ฉิงโหดเหี้ยมขนาดไหน แต่เมื่อดูจากความแข็งแกร่งของเหล่านักศึกษาของเขาที่เคยอยู่ในศาลาศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งปัจจุบันนี้กลายเป็นตำนานกันหมดแล้ว มันก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าหลิงตู้ฉิงนั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน
ดังนั้นการที่หมิงหยางได้เป็นถึงศิษย์ในนามของหลิงตู้ฉิง มันจึงทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก และยิ่งไปกว่านั้นเขาจะได้รับทั้งมรดกสำนักสุสานศักดิ์สิทธิ์และศพยักษ์เทวะสุดแกร่งอีกต่างหาก
“ให้ข้าเตือนเอาไว้ก่อน มันเป็นไปได้ที่ในอนาคตศพยักษ์เทวะทั้งสี่นี้จะกลับมามีชีวิตเหมือนเดิม ดังนั้นเจ้าจะต้องดูแลพวกมันให้ดีไม่เช่นนั้นหายนะจะเกิดขึ้นกับตัวเจ้า” หลิงตู้ฉิงพูดกับหมิงหยาง “และที่สำคัญในอนาคตเจ้าจะต้องพึ่งพวกมันเพื่อทำให้เจ้ากลายเป็นผู้สำเร็จเต๋า”
“ขอบคุณท่านอาจารย์ที่ชี้แนะศิษย์!” หมิงหยางรีบตอบรับทันที
หลังจากนั้นหลิงตู้ฉิงถ่ายทอดทุกสิ่งที่เกี่ยวกับสำนักสุสานศักดิ์สิทธิ์ให้กับหมิงหยางทั้งหมด ซึ่งมันกินเวลาไปถึง 3 ปีเต็ม จนท้ายที่สุดหมิงหยางก็สามารถควบคุมศพยักษ์เทวะทั้งสี่ได้อย่างสมบูรณ์
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นเขาพูดว่า “ข้าได้ถ่ายทอดทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าควรจะรู้ไปหมดแล้ว ต่อไปมันก็เหลือแต่ตัวเจ้าที่ต้องพยายามตั้งใจบ่มเพาะด้วยตัวเองและสุดท้ายนี้ข้าเตือนเจ้าอีกอย่าง ไม่ว่าเจ้าจะมีตัวช่วยที่ดีสักเพียงไหนมันก็ไม่มีทางดีไปกว่าตัวเจ้าที่สามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง”
หมิงหยางคุกเข่าคารวะร่ำลาก่อนที่จะเดินออกไปจากคฤหาสน์สราญรมย์ด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข ในตอนนี้เขาได้เข้าใจแล้วว่าทำไมผู้คนทั้งหลายถึงอยากมีโอกาสได้เข้าไปในคฤหาสน์สราญรมย์กันนัก!