พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 934 ความเปลี่ยนแปลงของสำนักวิญญาณโลหิต
หลังจากมอบศพยักษ์เทวะทั้งสี่ให้กับหมิงหยางเรียบร้อย หลิงตู้ฉิงก็เรียกหลิงยี่เทียนให้เข้ามาพบ และพูดว่า “นับจากนี้ศพยักษ์เทวะทั้งสี่จะคอยอยู่ช่วยเจ้าต่อกรกับเหล่าอสูร แต่ว่าร่างกายและดวงวิญญาณของหมิงหยางในตอนนี้อ่อนแอเป็นอย่างมาก ดังนั้นเจ้าจะต้องปกป้องเขาให้ดีในระหว่างที่เจ้าเรียกใช้งานเขา”
หลิงยี่เทียนพยักหน้าและพูดว่า “ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะสั่งให้คนของข้าปกป้องเขาให้ดีที่สุดแน่นอน”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะและพูดว่า “สุดท้ายนี้อีกสิ่งหนึ่งที่พ่ออยากจะเตือนเจ้าก็คือ สันเขาหมื่นอสูรนั้นไม่ธรรมดาอย่างที่เจ้าเห็น ต่อให้ในอนาคตเจ้าจะต้อนพวกอสูรไปจนมุมที่สันเขาหมื่นอสูรก็ตาม เจ้าห้ามบุกเข้าไปในสันเขาหมื่นอสูรด้วยตัวเองเด็ดขาด เมื่อวันนั้นมาถึงเจ้าจะต้องรอพ่อเท่านั้น ซึ่งพ่อจะพาเจ้าบุกเข้าไปเองและอย่าลืมว่าเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของเจ้าก็คือการบ่มเพาะจนกลายเป็นผู้สำเร็จเต๋าให้ทันยุคนี้”
หลังจากชี้แนะคนในครอบครัวของเขาจนครบทุกคน หลิงตู้ฉิงก็ออกเดินทางอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ไม่มีใครในครอบครัวของเขาเอ่ยขึ้นว่าจะตามออกไปด้วย เพราะพวกเขาต่างรู้ว่าหลิงตู้ฉิงกำลังจะออกไปทำอะไร ซึ่งพวกเขาอ่อนแอเกินกว่าจะออกไปมีส่วนร่วมด้วยได้
สถานที่แรกที่หลิงตู้ฉิงเดินทางไปโดยประตูเคลื่อนย้ายก็คือสำนักกระบี่เอกภพ
หลังจากไปถึงสำนักกระบี่เอกภพ หลิงตู้ฉิงไปหามู่หยุนชาน และถามว่า “ช่วงนี้สำนักของเจ้ามีปัญหาอะไรรึเปล่า? ว่าแต่ตอนนี้สำนักวิญญาณโลหิตได้ติดต่อกับเจ้าบ้างไหม?”
มู่หยุนชานตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านลุงตอนนี้พวกเราไม่มีปัญหาอะไร แต่ระยะหลังมานี้สำนักวิญญาณโลหิตไม่ได้ติดต่อพวกเรามาเลย แถมในบางเวลาข้ายังได้กลิ่นคาวเลือดโชยมาจากอาณาเขตวิญญาณโลหิต ซึ่งมันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนและข้าเองก็ไม่กล้าเข้าไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“อืม เรื่องสำนักวิญญาณโลหิตเอาไว้เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูเอง” หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้น
เมื่อได้รู้ว่าอาณาเขตสุสานกระบี่ปลอดภัยดี หลิงตู้ฉิงก็โล่งใจได้ไปเปราะหนึ่ง อันที่จริงสุสานเทพกระบี่ที่อยู่ในอาณาเขตเทพกระบี่นั้นมีอำนาจพอ ๆ กับตาชั่งของสำนักเงินตรา ซึ่งคนธรรมดานั้นไม่สามารถต่อกรกับมันได้อยู่แล้ว แต่หลิงตู้ฉิงก็ยังอดเป็นห่วงที่นี่ไม่ได้อยู่ดี
จากนั้นหลิงตู้ฉิงก็เดินทางข้ามไปที่อาณาเขตวิญญาณโลหิตทันที และเมื่อเขาก้าวเข้าไปด้านในกลิ่นเลือดอันเหม็นคาวก็ตีเข้าจมูกเขาอย่างรุนแรง จนมันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจด้วยความหงุดหงิด
ที่มันมีกลิ่นเลือดเหม็นคละคลุ้งถึงขนาดนี้ได้มันมาจากสาเหตุเดียวก็คือเหล่าผู้คนของสำนักวิญญาณโลหิตกำลังใช้เลือดของสิ่งมีชีวิตและมนุษย์ที่อยู่ในอาณาเขตนี้มาบ่มเพาะ!
จากนั้นหลิงตู้ฉิงจึงรีบมุ่งหน้าไปที่สำนักวิญญาณโลหิตทันที และเมื่อเขาไปถึงแล้วเขาแอบตรงเข้าไปที่ทะเลโลหิตทันทีเพื่อพบกับหมิงยู่โดยไม่ให้คนอื่นรู้ตัว
แต่แล้วเมื่อเขาไปถึงหน้าทางทะเลโลหิต เขาก็ได้พบว่าทั่วทั้งบริเวณมีม่านพลังปกคลุมอยู่ราวกับม่านพลังนี้ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อปกป้อง แต่มันถูกสร้างมาเพื่อกักขังผู้ที่อยู่ข้างใน
แต่ม่านพลังแค่นี้จะหยุดเขาได้ยังไงจริงไหม?
เมื่อผ่านม่านพลังเข้าไปแล้ว หลิงตู้ฉิงเดินตรงเข้าไปที่ริมทะเลโลหิตอย่างรวดเร็ว
หมิงยู่ เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของหลิงตู้ฉิง นางรีบปรากฏขึ้นทันทีและโผเข้ากอดเขาด้วยรอยยิ้มขมขื่น “นายท่าน ในตอนนี้ข้าไม่สามารถควบคุมอะไรในสำนักได้อีกแล้ว ด้วยอิทธิพลของผู้ส่งสาสน์จากโลกเบื้องบน เขาทำให้ทุกคนในสำนักเปลี่ยนไปจนหมด ส่วนตัวข้าเองถ้าไม่เป็นเพราะว่าข้าบ่มเพาะวิชาโลหิตอมตะ ซึ่งทำให้ข้าเป็นหนึ่งเดียวกับทะเลโลหิต ผู้ส่งสาสน์นั่นคงจะจัดการข้าไปแล้วที่ไม่เชื่อฟังเขา”
หลิงตู้ฉิงถอนหายใจ “เฮ้อ เจ้าที่เป็นเผ่าอสูรโลหิต หลังจากนี้เจ้าจะต้องย้ายไปอยู่ที่เขตแดนอุดรทมิฬร่วมกับเผ่าพันธุ์อื่น ๆ จะดีที่สุด ไม่เช่นนั้นด้วยวิถีการบ่มเพาะแบบของเจ้า หากเจ้าอยู่ที่นี่ต่อไปเจ้าจะถูกทำลายด้วยน้ำมือของมนุษย์แน่นอนโดยเฉพาะกับสิ่งที่พวกเจ้าเพิ่งทำลงไป พวกเจ้าฆ่าล้างชีวิตแทบหมดอาณาเขตเพื่อบ่มเพาะเต๋าของพวกเจ้า เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไปมนุษย์ทุกอาณาเขตจะมารุมทึ้งพวกเจ้าแน่นอน”
“ถ้างั้นตอนนี้นายท่านจะทำอะไรต่อ?” หมิงยู่เอ่ยถามขึ้น
หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง “ทำอะไรต่องั้นเหรอ? แน่นอนว่าข้าคงต้องคืนความยุติธรรมให้กับทุกชีวิตที่สำนักของเจ้าสังหารไปโดยการฆ่าคนของสำนักเจ้าให้หมด! แต่ไม่ต้องห่วง ข้าจะยังคงช่วยทำให้เจ้าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักวิญญาณโลหิตเหมือนเดิม และจะช่วยให้เจ้าสามารถไปสร้างสำนักวิญญาณโลหิตแห่งใหม่ที่เขตแดนอุดรทมิฬได้อย่างราบรื่น”
“ถ้างั้นข้าคงต้องขอรบกวนนายท่านให้ช่วยข้าด้วย” หมิงยู่ถอนหายใจ “ตอนนี้ร่างหลักของข้ากำลังจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิแล้ว และเมื่อไหร่ที่ข้าสามารถทะลวงระดับขึ้นไปได้ข้าจะสามารถออกจากทะเลโลหิตได้โดยไม่มีผลข้างเคียง ซึ่งข้าตั้งใจไว้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นข้าจะกลับไปติดตามนายท่านไม่ห่างเหมือนเดิม”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า จากนั้นเขาพุ่งตัวออกจากทะเลโลหิตและไปโผล่อีกทีที่กลางสำนักวิญญาณโลหิตพร้อมกับตะโกนว่า “สำนักวิญญาณโลหิตทุกคนจงโผล่หัวออกมาพบกับข้าเดี๋ยวนี้!”
ในทันทีที่สิ้นเสียงของหลิงตู้ฉิง อดีตเจ้าสำนักวิญญาณโลหิตเว่ยกวน และผู้อาวุโสของสำนักเล้งหยวน ซึ่งในตอนนี้ทะลวงขอบเขตขึ้นไปอยู่ขอบเขตมหาจักรพรรดิกันหมดแล้วปรากฏกายออกมาพร้อมกับเหล่าศิษย์ของสำนักทั้งหมดทันที
ในเวลานี้ร่างของเว่ยกวนนั้นไม่เหมือนมนุษย์แม้แต่น้อย เขาได้กลายเป็นเหมือนกลุ่มควันสีแดงสดแถมยังมีกลิ่นคาวเลือดตลบอบอวล ส่วนเล้งหยวนนั้นยังคงมีร่างเป็นมนุษย์ แต่ทั้งร่างของเขาถูกกลิ่นอายของเลือดปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่น และที่ปากของเขานั้นมีเลือดไหลออกมาอยู่ตลอดราวกับว่าอมเลือดเอาไว้อยู่ในปากตลอด ซึ่งมันเป็นภาพที่แปลกประหลาดอย่างมากโดยเฉพาะเวลาที่พวกเขาพูด ซึ่งมันทำให้เลือดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ
หลิงตู้ฉิงมองไปที่พวกเขาด้วยสายตาเย้ยยันและพูดว่า “ดูสภาพพวกเจ้าแต่ละคน ตอนนี้พวกเจ้าแทบไม่หลงเหลือความเป็นมนุษย์เลยด้วยซ้ำ!”
เล้งหยวนพ่นลมหายใจและพูดว่า “พวกข้าจะเป็นยังไงมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า และถึงแม้ว่าเจ้าจะสร้างประโยชน์ให้กับพวกข้ามากมาย แต่พวกข้าก็ยังไม่ลืมว่าเจ้าคือศัตรูคู่แค้นของพวกข้า ซึ่งสิ่งนี้มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ดังนั้นนับจากนี้เจ้าจงเดินไปตามทางของเจ้าซะ ส่วนพวกข้าก็จะเดินตามเส้นทางของพวกข้าเอง หากเจ้ายังรักชีวิตอยู่ก็อย่าได้มาวุ่นวายกับพวกข้าอีก!”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ดูเหมือนไม่ใช่ความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวของพวกเจ้าเท่านั้นที่เพิ่มขึ้น ความหยิ่งผยองของพวกเจ้าเองมันก็เพิ่มขึ้นไม่น้อยเหมือนกันสินะ!”
เว่ยกวนพูดขึ้นเสริมว่า “ผู้อาวุโส ตอนนี้สิ่งต่าง ๆ มันได้เปลี่ยนไปแล้ว”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะเสียงดังมากกว่าเดิม “ข้าก็นึกว่าชื่อเสียงของข้ามันพอที่จะทำให้พวกเจ้าเกรงใจกันได้บ้าง แต่มันดูเหมือนว่าคงจะไม่เลยสินะ เฮ้ ไอ้คนที่กำลังมองอยู่ข้างบนเจ้าจะซ่อนตัวไปอีกนานแค่ไหน? ถ้าเจ้ายังไม่เผยตัวออกมาข้าจะเริ่มทำการชำระล้างสำนักของเจ้าแล้วนา”
หมอกเลือดที่ลอยอยู่บนฟ้าจู่ ๆ ก็ควบแน่นเป็นร่างมนุษย์โลหิต และจากนั้นเขาก็ลงมายืนต่อหน้าหลิงตู้ฉิง และพูดว่า “ผู้อาวุโส อันที่จริงข้ารอท่านมาตั้งนานแล้ว”
หลิงตู้ฉิงมองสำรวจไปที่มนุษย์โลหิตอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาพูดว่า “ร่างแยกของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทวะราชาสินะ มิน่าล่ะทำไมเจ้าถึงได้กล้าพูดจาใหญ่โตแบบนี้ แต่เจ้าเองก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอว่าเทพโลหิตคนก่อนของพวกเจ้านั้นได้ตายลงเพราะน้ำมือของข้า? นี่เจ้าคิดยังไงถึงได้กล้ามาปรากฏตัวต่อหน้าข้าแถมยังมีความคิดที่จะจัดการกับข้าแบบนี้?”
“ผู้อาวุโส ถึงแม้ว่านี่จะเป็นแค่ร่างแยก แต่ว่าท่านเองในตอนนี้ก็เพิ่งจะเกิดใหม่ ดังนั้นท่านคิดว่าท่านในตอนนี้จะสู้กับข้าได้งั้นเหรอ? เอาเป็นว่าข้าคงต้องขอใช้โอกาสนี้ในการคิดบัญชีในสิ่งที่ท่านได้ทำลงไปกับสำนักของข้าก็แล้วกัน” น้ำเสียงของมนุษย์โลหิตเริ่มจะเปลี่ยนไปเป็นอาฆาต
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “อืม ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลดี แต่ว่าเจ้าจะจัดการกับข้ายังไงถ้าหากข้ากลายสภาพเป็นแบบนี้?”
เมื่อพูดจบ ร่างของหลิงตู้ฉิงสลายกลายเป็นหมอกเลือด และหลอมรวมเข้ากับหมอกเลือดที่อยู่บริเวณรอบ ๆ จนคนของสำนักวิญญาณโลหิตสัมผัสได้ว่าหมอกเลือดที่อยู่รอบ ๆ กายของพวกเขาทั้งหมดมันคือ หลิงตู้ฉิง!
เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของหลิงตู้ฉิงเช่นนี้ ผู้ส่งสาสน์จากโลกเบื้องบนของสำนักวิญญาณโลหิตอุทานขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกทันที “นะ…นะ…นี่มันเป็นไปได้ยังไง!?”