พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 937 ประกาศสงคราม
เมื่อเห็นสีหน้าวิตกกังวลของมู่หลงหยาน หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “คิดไว้ไม่ผิดเลยว่าการแก้ปัญหาที่ข้าแก้ไปให้เมื่อรอบที่แล้วนั้นยังไม่พอ สำนักของท่านนี่มันมีปัญหามากเกินไปจริง ๆ พอว่างเมื่อไหร่พวกโง่ที่อยู่ในสำนักของท่านก็เอาแต่หาเรื่องขัดแย้งกันเอง งั้นเอาแบบนี้ดีกว่าเรามาเปลี่ยนวิธีกันใหม่”
“หลังจากนี้ข้าแนะนำให้ท่านกับสามีพาคนที่ยินที่ยินดีจะติดตามพวกท่านแยกตัวออกไปตั้งสำนักใหม่กันเลยก็แล้วกัน ส่วนมหาวิถีเต๋าของสำนักท่าน ข้าจะยังให้มันคงอยู่ที่นี่ จากนั้นเมื่อไหร่ที่พวกท่านต้องการสำเร็จเต๋าพ วกท่านก็ค่อยกลับมาใช้อำนาจของมหาวิถีเต๋าที่นี่ทำให้พวกท่านสำเร็จเต๋าซะ”
มู่หลงหยานยิ้มอย่างข่มขื่นและถามขึ้นว่า “ต่อให้ข้ากับสามียินดีแยกตัวออกไปจริง ๆ แต่พวกเราก็ไม่มีทรัพยากรบ่มเพาะให้กับเหล่าผู้คนที่ติดตามพวกเรามา แถมพวกเราก็ไม่รู้ว่าจะไปตั้งสำนักกันใหม่ที่ไหนอีก ปัญหานี้เจ้าจะให้พวกเราแก้ยังไง?”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ง่ายมาก พวกท่านย้ายไปที่ภูมิภาคอี้ซางได้เลย ตอนนี้ภูมิภาคอี้ซางได้ถูกข้าครอบครองเรียบร้อยแล้ว แถมชิงเฉิงก็ได้จองอาณาเขตเอาไว้ให้พวกท่านเรียบร้อย ซึ่งอาณาเขตที่นางจองเอาไว้ให้พวกท่านมีทรัพยากรมากมายที่ยังไม่ถูกแตะต้อง แต่ข้าแนะนำพวกท่านควรเปลี่ยนชื่อสำนักใหม่ไปเลย ไม่ต้องใช้ชื่อสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว”
มู่หลงหยานอุทานขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้ “ภูมิภาคอี้ซางถูกเจ้าจัดการแล้วงั้นเหรอ?”
เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าภูมิภาคอี้ซางคือดินแดนอันตรายที่ไม่ว่าจะเป็นใครหากย่างกรายเข้าไปคนผู้นั้นจะไม่ได้กลับออกมาอีกเลย เพราะเขาจะถูกพลังแห่งพุทธครอบงำจนกลายเป็นหนึ่งเดียวกับภูมิภาคอี้ซาง
แต่ตอนนี้ลูกเขยของนางสามารถจัดการและยึดครองมันได้ทั้งหมดแล้วซะอย่างนั้น!
“ในตอนนี้ข้าได้อนุญาตให้เหล่าพันธมิตรของข้าเข้าไปยึดครองอาณาเขตกันฝ่ายละ 1 อาณาเขตเรียบร้อยแล้ว” หลิงตู้ฉิงยิ้ม “จะมีก็แต่สำนักที่ดักดานเช่นสำนักของท่านที่ไม่ยอมสานสัมพันธ์กับข้าต่อพวกท่านก็เลยไม่รู้ เอาล่ะตอนนี้ท่านช่วยไปเรียกท่านพ่อตาของข้ามาที แต่อย่าให้คนอื่นรู้เรื่องภูมิภาคอี้ซางก่อนเป็นอันขาด ส่วนผู้ส่งสาสน์จากโลกเบื้องบนของสำนักท่าน ข้าวางแผนไว้ว่าข้าจะสังหารเขาทิ้งซะรวมไปถึงคนบางคนในสำนักท่านที่มีปัญหา”
มู่หลงหยานรีบพูดขึ้นด้วยสีหน้าวิตกทันที “ตู้ฉิง เจ้าต้องระวังผู้ส่งสาสน์ของสำนักข้าให้ดี ข้าสัมผัสได้ว่าเขาน่ากลัวมาก ๆ น่ากลัวมากกว่าเจียงไห่หลายเท่าเลยด้วยซ้ำ!”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ไม่ต้องกังวลหรอก อันที่จริงข้าน่ากลัวกว่าที่ท่านคิดเอาไว้เยอะ! จริง ๆ แล้วสาเหตุที่โลกเบื้องบนส่งผู้ส่งสาสน์เหล่านี้ลงมานั้นเป็นเพราะข้าจงใจล่อให้พวกเขาลงมาเอง เพื่อที่ข้าจะได้ไล่จัดการกับพวกเขาเรียงตัวเพื่อแย่งเต๋าของพวกเขามาให้คนในครอบครัวของข้าบ่มเพาะ เอาล่ะตอนนี้ท่านรีบไปบอกสามีของท่านได้แล้ว และให้เขาไปสอบถามเหล่าผู้คนที่เขาไว้ใจด้วยว่ายินดีจะติดตามเขาออกจากสำนักไหมโดยที่ยังไม่ต้องพูดถึงภูมิภาคอี้ซางเพื่อทดสอบความจริงใจของพวกเขา”
มู่หลงหยานพยักหน้า “อืม ข้าจะรีบไปตามเขาเดี๋ยวนี้!”
จากนั้นมู่หลงหยานรีบไปตามเย่ชางคงที่กำลังปิดด่านบ่มเพาะอยู่ให้ออกมา แต่เมื่อเขารู้ว่าหลิงตู้ฉิงมาที่สำนักของเขา เขาจึงรีบมาหาหลิงตู้ฉิงก่อนเป็นอันดับแรกเพราะเขาอยากจะคุยรายละเอียดกับหลิงคู้ฉิงอีกรอบให้ชัดเจนก่อนที่จะทำอะไรลงไปต่อ
เมื่อกลับมาเห็นหน้าหลิงตู้ฉิง เย่ชางคงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเพราะสถานการณ์ที่เป็นไปในสำนักตอนนี้หากคนอื่น ๆ รู้ว่าหลิงตู้ฉิงได้มาอยู่ที่สำนักแล้วปัญหาใหญ่มันจะต้องเกิดแน่นอน
หลังจากนั้นมู่หลงหยานก็อธิบายทุกอย่างให้กับเย่ชางคงได้ฟังอย่างละเอียดอีกรอบ ซึ่งรวมไปถึงเรื่องของภูมิภาคอี้ซางด้วย
เย่ชางคงเมื่อได้ยินสิ่งที่หลิงตู้ฉิงแนะนำให้เขาทำทั้งหมด เขาครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ จากนั้นพูดขึ้นด้วยสีหน้าหม่นหมองว่า “ข้ารู้สึกละอายจริง ๆ ที่บรรพบุรุษอุตส่าห์ไว้ใจในตัวข้ามอบสำนักให้ข้าดูแล แต่สุดท้ายข้ากลับทำมันไม่ได้”
“แต่มันก็ถูกอย่างที่พวกเจ้าว่า สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์นั้นมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายภายในมากเกินไป และมันก็เป็นมานานแล้วจนมันกลายเป็นปัญหาที่หากจะให้แก้อย่างสันติวิธีคงแทบจะเป็นไปไม่ได้ ตอนนี้ทางเลือกที่ดีที่สุดที่จะไม่ให้มีเหตุนองเลือดก็คงจะเป็นข้าที่ต้องแยกตัวออกไป”
หลังจากครุ่นคิดจนถี่ถ้วน ในที่สุดเย่ชางคงก็ตัดสินใจทำตามคำแนะนำของหลิงตู้ฉิงยอมแยกตัวออกไปพร้อมกับเหล่าผู้ติดตามที่ไว้ใจได้ และปล่อยวางปัญหาที่มีอยู่ในสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ข้างหลังให้เหล่าผู้คนที่อยากได้มันนักไปแก้กันเอาเอง
จากนั้นเย่ชางคงก็เริ่มดำเนินเรื่องทันทีโดยการเรียกรวมเหล่าผู้คนที่เขาไว้ใจมาสอบถามว่าจะยินยอมตามเขาออกจากสำนักไปไหม
แต่แล้วหลังจากที่เขาเริ่มดำเนินการตามแผนของเขาแค่เพียงครู่เดียว คนของตระกูลหานก็ปรากฏตัวขึ้นทันที
“เจ้าสำนัก นี่ท่านกำลังทำอะไรอยู่?” ผู้นำตระกูลหาน หานหลิงอู่เอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ
เย่ชางคงตอบกลับด้วยสีหน้าปกติว่า “มันก็ไม่มีอะไรมาก ข้าแค่ทำตามสิ่งที่พวกเจ้าต้องการ ยกสำนักให้พวกเจ้าไปดูแลกันเองไง ส่วนตอนนี้ข้าก็กำลังเรียกคนของข้ามาสอบถามว่ามีใครยินดีจะออกไปตั้งสำนักใหม่กับข้าบ้างก็แค่นั้น”
“ท่านหมายความว่าท่านต้องการแบ่งสำนักงั้นเหรอ?” หานหลิงอู่ถามกลับ “ท่านเป็นเจ้าสำนักแท้ ๆ ท่านคิดว่าการกระทำของท่านเช่นนี้มันเหมาะสมงั้นเหรอ?”
“ก็นี่มันเป็นสิ่งที่เจ้าเองก็ต้องการไม่ใช่รึไง?” เย่ชางคงตอบกลับ “ที่สำคัญเจ้าพูดว่าข้าต้องการแบ่งสำนัก ข้าว่าคำนี้มันออกจะแรงไปหน่อย สิ่งที่ข้าทำอยู่ข้าก็แค่พาเหล่าผู้คนที่ข้าไว้ใจได้จำนวนไม่มากติดตามข้าออกไปก็เท่านั้น แถมทรัพยากรต่าง ๆ ของสำนักข้าก็ไม่ได้แบ่งพวกมันออกไปแม้แต่ชิ้นเดียว ข้าตั้งใจจะทิ้งให้พวกเจ้าทั้งหมดนั่นล่ะ!”
ในเวลานี้เหล่าผู้คนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มมามุงดูกันมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่บรรดาตัวตนระดับบรรพบุรุษก็ยังออกมาดูสถานการณ์ด้วยสีหน้าตึงเครียด
นี่สำนักของพวกเขามันร้าวฉานมาจนถึงจุดนี้ได้ยังไง?
“ชางคง สิ่งที่เจ้าทำตอนนี้ไม่ใช่เรื่องดีเลย!” ชายชราผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น
เย่ชางคงส่ายหัว “บรรพบุรุษ ข้าไม่เห็นว่าสิ่งที่ข้าทำมันจะไม่ดีตรงไหน การที่ข้าทำเช่นนี้ข้ามั่นใจว่ามันดีที่สุดแล้วกับพวกเรา อย่างน้อย ๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าก็ยังสามารถรักษาวิถีเต๋าแห่งอักขระให้คงอยู่สืบไปได้ ส่วนท่านเองหากท่านเห็นด้วยกับข้า ท่านสามารถติดตามข้าออกไปเพื่อตั้งสำนักใหม่ของพวกเราเองที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสำนักแห่งนี้ได้ ซึ่งข้ารับประกันได้ว่าสำนักใหม่ของเราทุกคนจะเป็นหนึ่งเดียวกันและไม่มีความขัดแย้งเหมือนที่เกิดขึ้นที่นี่แน่นอน”
“ไอ้บ้าคนไหนที่มันทำให้เจ้าบังอาจคิดเรื่องเลวร้ายแบบนี้ขึ้นมาได้!?” คลื่นพลังวิญญาณอันแข็งแกร่งปะทุขึ้นปกคลุมทั่วสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ทันที “เจ้าคิดว่าตำแหน่งเจ้าสำนักมันจะช่วยคุ้มกะลาหัวเจ้าต่อข้าได้งั้นเหรอ? หากเจ้ายังขืนดึงดันจะแบ่งสำนักออกให้ได้แบบนี้ ข้าจะขอเป็นตัวแทนบรรพบุรุษของเจ้า จับเจ้าไปขังเอาไว้ในคุกใต้ดินเพื่อให้เจ้ารู้สำนึกกับความผิดของตัวเองสักหมื่นปี!”
เมื่อสิ้นเสียง ร่างของผู้พูดก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคนทันที
แน่นอนว่าผู้พูดไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้ส่งสาสน์ที่มาจากโลกเบื้องบน
“ข้าบอกให้พ่อตาของข้าทำเอง!” หลิงตู้ฉิงปรากฏกายขึ้นบนท้องฟ้าพร้อมกับรอยยิ้มบนในหน้า “ไม่เลวเลย ๆ เจ้าเป็นถึงร่างแยกของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทวะราชา! ดูจากความแข็งแกร่งของเจ้าแล้วเจ้าน่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทวะราชาที่อยู่แถวหน้าของสำนักด้วยสินะ? นี่ถ้าหากว่าให้เวลากับเจ้าอีกสักหน่อยเจ้าน่าจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิเทพได้แน่นอน แต่น่าเสียดายที่เจ้ากลับถูกส่งลงมาที่นี่ให้มาเจอข้า หลังจากที่ข้าทำลายร่างแยกของเจ้าไปเจ้าคงจะต้องบ่มเพาะต่อไปอีกไม่น้อยกว่าแสนปีถึงจะมีโอกาสทะลวงระดับขึ้นไปยังขอบเขตจักรพรรดิเทพอีกรอบ”
เมื่อเห็นหลิงตู้ฉิงปรากฏกายขึ้น ผู้ส่งสาสน์จากโลกเบื้องบนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์จ้องมองไปที่เขาด้วยสายตาหยิ่งผยอง ไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
“ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสนี่เอง!” ผู้ส่งสาสน์จากโลกเบื้องบนหัวเราะ “ผู้อาวุโส! ท่านลืมอะไรไปรึเปล่า ตอนนี้ท่านไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนเมื่อก่อนแล้ว การที่ท่านมายุ่งวุ่นวายเรื่องของสำนักข้าเช่นนี้ท่านไม่กลัวว่ามันจะกลายเป็นหายนะของท่านงั้นเหรอ ข้าแนะนำว่าให้ท่านถอยออกไปจะดีกว่า ไม่งั้นท่านอาจจะถูกผู้เยาว์อย่างข้าสั่งสอนได้”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า ตอนนี้เจ้ากำลังหมายความว่าถ้าหากข้าสอดมือเรื่องของสำนักเจ้า มันจะหมายความว่าข้าประกาศสงครามกับสำนักของเจ้าใช่ไหม?”
“ผู้อาวุโสจะคิดแบบนั้นก็ไม่ผิด!” ผู้ส่งสาสน์จากโลกเบื้องบนตอบกลับทันทีโดยไม่รีรอ
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ดูเหมือนว่าการที่ข้าหายไปนานมันคงจะทำให้ผู้คนต่าง ๆ ลืมไปแล้วว่าข้าเป็นคนยังไง จนในตอนนี้เด็กเมื่อวานซืนอย่างเจ้ายังกล้าข่มขู่ข้าด้วยการประกาศสงคราม เยี่ยมจริง ๆ!”
จากนั้นสีหน้าของหลิงตู้ฉิงเปลี่ยนเป็นเย็นชาและพูดขึ้นช้า ๆ แบบชัด ๆ ว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าในฐานะที่เป็นเจ้าตำหนักไร้หทัยขอประกาศว่านับจากนี้ข้าจะทำศึกเต็มรูปแบบกับสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์!”