พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 939 ตั้งสำนักใหม่
หลังจากสังหารจักรพรรดิอักขระเรียบร้อยแล้ว หลิงตู้ฉิงก็ทำเหมือนเดิมคือเก็บพลังวิญญาณบริสุทธิ์และเต๋าที่สถิตในร่างแยกของจักรพรรดิอักขระเอาไว้ให้กับคนในครอบครัวของเขา
ส่วนทางด้านของผู้คนสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างก็ยืนนิ่งอ้าปากค้างเพราะความตกตะลึง
พวกเขานั้นเคยพบกับเย่เจียงไห่แล้ว และรู้ว่าเย่เจียงไห่แข็งแกร่งแค่ไหน แต่จักรพรรดิอักขระผู้นี้นั้นแข็งแกร่งกว่าเย่เจียงไห่ซะอีก แต่เขากลับถูกหลิงตู้ฉิงสังหารลงอย่างง่ายดาย
เมื่ออยู่ต่อหน้าเทพมรณะผู้นี้ ไม่มีใครเลยที่สามารถต่อกรได้งั้นเหรอ? และยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังได้ยินอย่างชัดเจนว่าจักรพรรดิอักขระเรียก หลิงตู้ฉิง ว่าผู้อาวุโสอีกต่างหาก
แต่แล้วเมื่อพวกเขาคิดถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ทำลงไปก่อนหน้านี้ พวกเขาก็เริ่มแสดงอาการตื่นตระหนก
หลิงตู้ฉิงมองไปที่ผู้คนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังแสดงสีหน้าหวาดกลัว จากนั้นเขาใช้เจตจำนงของตนเองฉายภาพร่างของใครหลายคนที่เป็นสมาชิกของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์และพูดว่า “พวกเจ้าทั้งหมดที่ข้าหมายหัวไว้ พวกเจ้าจะลงมือฆ่าตัวตายไปเองหรือจะให้ข้าทำแทน? โอ้ คิดหนีต่อหน้าข้างั้นเหรอ? ทัณฑ์ฟ้าดิน!”
ในทันทีที่เห็นหน้าของตัวเองถูกหลิงตู้ฉิงฉายขึ้น คนเหล่านั้นรีบหันหลังและบินหนีกันในทันทีด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่พวกเขาจะสามารถเร็วได้
ในกลุ่มคนที่หลบหนี มีหลายคนที่เปนผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิแถมส่วนใหญ่ยังเป็นคนของตระกูลหาน
คนเหล่านี้ที่หลิงตู้ฉิงสังหารไปคือกลุ่มคนที่เดินทางไปที่ตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนเพื่อข่มขู่ขอสมบัติจากมู่เฉียนหลิง
ในตอนนี้เมื่อคนหนุนหลังของพวกเขาตายไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงเหลือแค่ทางเลือกเดียวคือหนีไปให้ไกลที่สุดเพื่อรักษาชีวิต ซึ่งน่าเสียดายที่พวกเขาทั้งหมดไม่มีใครหนีไปได้ไกลเกินกว่ากำแพงของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์เลยสักคน
“ถึงแม้ว่าเย่เจียงไห่จะเกิดที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ แต่หลังจากที่ความทรงจำของเขากลับคืนมามันก็ถือว่าเขาไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเจ้าอีกต่อไป และถึงแม้ว่าเขาจะขึ้นไปสู่โลกเบื้องบนแล้ว ตำหนักของเขาในเวลานี้ก็ยังอยู่ในการปกครองของหลานสาวข้า ถ้าหากพวกเจ้าอยากจะตายกันอีกพวกเจ้าสามารถส่งคนไปก่อกวนนางได้อีกรอบ แต่ข้าบอกเอาไว้เลยว่ารอบหน้าข้าจะฆ่าพวกเจ้าให้ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว ไม่เหมือนกับรอบนี้ที่ข้าเห็นแก่ภรรยาของข้า ชิงเฉิง ข้าจึงฆ่าแค่เฉพาะไอ้พวกโง่ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น”
ไม่มีใครสักคนกล้าพูดอะไรกับหลิงตู้ฉิงในเวลานี้ เพราะพวกเขาได้เห็นแล้วว่าเทพมรณะผู้นี้ทรงอำนาจขนาดไหน พวกเขากลัวว่าถ้าหากตนเองพูดอะไรออกไปแม้แต่ครึ่งคำ มันอาจทำให้เทพมรณะผู้นี้โมโหจนฆ่าล้างสำนักของพวกเขาก็ได้
เย่ชางคงส่ายหัวและพูดว่า “นับจากนี้ข้าขอถอนตัวออกจากสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดที่ต้องการตามข้าไปเริ่มใหม่พวกเจ้าสามารถตามข้าไปที่อาณาจักรจันทราได้เลย ส่วนใครก็ตามที่อยู่ที่นี่พวกเจ้าก็เอาสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ไปเลย นับจากนี้ข้าไม่ขอสนใจเรื่องราวใด ๆ ของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป”
หลังจากเย่ชางคงพูดจบบรรดาศิษย์หลายคนก็เดินตามเย่ชางคงจากไป ซึ่งศิษย์เหล่านี้ส่วนใหญ่คือศิษย์ที่เพิ่งเข้าร่วมสำนัก
เจ้าสำนักของพวกเขามีคนหนุนหลังเป็นถึงเทพมรณะผู้โด่งดังแถมยังมีลูกชายเป็นผู้สำเร็จเต๋าอีก คนเช่นนี้น่าติดตามที่สุดแล้วไม่ใช่เหรอไง?
ส่วนบรรดาตัวตนระดับผู้อาวุโสหรือบรรพบุรุษ พวกเขาครุ่นคิดกันอยู่พักหนึ่ง จากนั้นพวกเขาบางส่วนก็เดินตามหลังเย่ชางคงไปเช่นกัน
หลายคนที่เห็นความขัดแย้งภายในของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ยังคงเป็นแบบเดิมอยู่ก็รู้สึกเบื่อหน่ายเหมือนกัน
หลายปีมากแล้วที่ทั้งสามตระกูลต่างแก่งแย่งชิงดีกันไม่รู้จักจบจักสิ้น ซี่งพวกเขาเองก็ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจหนีไปเริ่มใหม่ซะจะดีกว่า
ท้ายที่สุดคนหนึ่งในสิบของสำนัก ซึ่งเป็นจำนวนราวเกือบ 2,000 คนก็ติดตามเย่ชางคงไปที่อาณาจักรจันทราโดยใช้ประตูเคลื่อนย้าย
เมื่อเย่ชางคงเดินทางไปถึงอาณาจักรจันทรา เขาก็ไม่รีรอพากลุ่มคนของเขาเดินทางไปที่ภูมิภาคอี้ซางทันทีโดยใช้ประตูเคลื่อนย้ายเช่นกัน
จากนั้นเมื่อพวกเขาทั้งหมดเดินทางถึงภูมิภาคอี้ซางและไปถึงอาณาเขตที่เย่ชิงเฉิงเลือกเอาไว้ พวกเขาต่างก็ตื่นเต้นกับภาพที่เห็นตรงหน้า เพราะอาณาเขตแห่งนี้มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่น้อยมากและทรัพยากรต่าง ๆ ของที่นี่ก็อุดมสมบูรณ์แบบที่พวกเขาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
เมื่อมองไปที่ทรัพยากรมากมายที่ยังไม่เคยถูกแตกต้องเลย เซียงกวนก็ถอนหายใจและพูดขึ้นว่า “ด้วยทรัพยากรมากมายขนาดนี้ พวกเราคงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการพัฒนาสำนักของเราแม้แต่น้อย”
เย่ชางคงพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “นับจากนี้ไปสำนักของพวกเราถือว่าไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์อีก พวกเราจะตั้งสำนักใหม่ร่วมกันและสืบทอดสรรพวิชาเกี่ยวกับการใช้อักขระของพวกเราสืบไป สำนักใหม่ที่จะตั้งขึ้นนี้ข้าขอตั้งชื่อว่า สำนักอักขระสวรรค์!”
จากนั้นเย่ชางคงจึงสั่งให้คนของเขาหาทำเลเหมาะ ๆ ในการตั้งสำนักใหม่ทันที
อีกด้านหนึ่ง เมื่อหลิงตู้ฉิงเห็นว่าเย่ชางคงพาคนของเขาจากไปแล้ว หลิงตู้ฉิงจึงหันกลับมาจ้องเขม็งไปที่เหล่าผู้คนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ที่เหลือ และพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “หลังจากนี้พวกเจ้าอย่าได้มายั่วยุข้าอีกก็แล้วกัน!”
หลังจากพูดจบเขาบินจากไปทันที
เมื่อหลิงตู้ฉิงจากไปแล้ว บรรดาผู้คนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ต่างมองหน้ากันด้วยสีหน้าซับซ้อนโดยเฉพาะหานหลิงอู่ที่กระหายอยากได้สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์มาครอบครองอยู่เป็นทุนเดิม
ตอนนี้สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ได้ตกมาอยู่ในมือของเขาแล้ว แต่เขากลับรู้สึกว่างเปล่าเป็นอย่างมากและไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อดี
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อชีวิตของพวกเขาเองก็ต้องดำเนินต่อไป หลังจากที่พวกเขาเริ่มทำใจได้แล้วพวกเขาจึงเลือกเจ้าสำนักคนใหม่ทันที
ถึงแม้ว่าเย่ชางคงจะพาคนจากไปส่วนหนึ่ง แต่ขั้วอำนาจของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงเป็นแบบเดิมคือ ตระกูลเย่ ตระกูลหานและตระกูลหยู ที่พร้อมจะแว้งกัดกันเหมือนเดิม
ท้ายที่สุดหลังจากเถียงกันอยู่พักใหญ่ หานหลิงอู่ก็ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าสำนักคนต่อไปเพราะก่อนหน้านี้จักรพรรดิอักขระได้วางแผนการเตรียมให้เขาขึ้นเป็นเจ้าสำนักอยู่แล้ว ซึ่งถึงแม้ว่าจักรพรรดิอักขระจะตายไปแล้ว แต่ตัวช่วยต่าง ๆ ที่เขาเตรียมไว้ยังคงอยู่
แต่แล้วเมื่อหานหลิงอู่ได้รับเลือกเป็นเจ้าสำนัก เรื่องปวดหัวก็ประดังประเดเข้ามาหาเขาอีกรอบ เพราะในเวลานี้อาณาเขตที่อยู่รายล้อมอาณาเขตอักขระศักดิ์สิทธิ์ของเขานั้นตกอยู่ภายใต้การควบคุมของอาณาจักรจันทราทั้งหมด
หากพวกเขายังคงแสดงท่าทีหมางเมินกับอาณาจักรจันทราแบบนี้ต่อไป เมื่อไม่มีผู้ส่งสาสน์คอยหนุนหลังแล้วอนาคตพวกเขาจะอยู่ลำบากอย่างแน่นอน
หานหลิงอู่คิดอยู่สักพัก จากนั้นเขาพูดว่า “พวกเราจำเป็นต้องเชื่อมความสัมพันธ์กับอาณาจักรจันทราใหม่อีกรอบ ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่มีสัมพันธ์อะไรกับเย่ชิงเฉิงแล้ว แต่พวกเราก็ยังคงเป็นมนุษย์ ในฐานะที่หลิงยี่เทียนเป็นราชันย์แห่งมวลมนุษย์เขาคงไม่ปฏิเสธพวกเราอย่างแน่นอน”
ถึงแม้ว่าหานหลิงอู่จะพูดเช่นนี้ แต่ในใจของพวกเขาทุกคนรู้ดีว่านับจากนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขากับอาณาจักรจันทราจะไม่มีวันเหมือนเดิม
อาณาจักรจันทราคงจะไม่ปฏิเสธการขอเป็นพันธมิตรของพวกเขา แต่เรื่องของการได้รับผลประโยชน์แบบในอดีตนั้นพวกเขาลืมไปได้เลยว่าจะได้แบบนั้นอีก
หลังจากนั้นหานหลิงอู่จึงส่งคณะทูตของเขาไปที่อาณาจักรจันทราเพื่อขอเชื่อมความสัมพันธ์ใหม่อีกครั้ง
ทางด้านของหลิงตู้ฉิง ในเวลานี้สถานที่ต่อไปที่เขากำลังจะไปก็คือสำนักเบญจธาตุ
หลังจากใช้ความเร็วแบบเต็มที่ แค่เพียง 2 เดือน หลิงตู้ฉิงก็เดินทางถึงสำนักเบญจธาตุ
หลิงตู้ฉิงมองไปที่ความใหญ่โตมโหฬารของสำนักเบญจธาตุ ซึ่งบ่งบอกว่าพวกเขานั้นเป็นสำนักที่ติดอันดับหนึ่งในสามที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแน่นอน
แต่การที่พวกเขาแข็งแกร่งขนาดนี้มันก็สมเหตุสมผล เพราะมันไม่มีสำนักในโลกที่เหมือนสำนักเบญจธาตุอีกแล้วที่สำนักเดียวมีมหาวิถีเต๋าถึง 5 แบบรวมอยู่ในสำนักเดียวกัน
เมื่อย่างก้าวเข้าไปภายในอาณาเขตของสำนักเบญจธาตุ หลิงตู้ฉิงพยักหน้าด้วยสีหน้าชื่นชมเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงความอุดมสมบูรณ์ของเต๋าทั้ง 5 ธาตุที่สถิตอยู่ที่นี่
แต่แล้วไม่นานหลังจากที่หลิงตู้ฉิงเข้ามาในอาณาเขตของสำนักเบญจธาตุ ผู้ส่งสาสน์จากโลกเบื้องบน 2 คนของสำนักเบญจธาตุก็รีบบินมาหาเขาด้วยสีหน้าจนใจพร้อมกับพูดว่า “พวกเราผู้เยาว์ขอคารวะผู้อาวุโส!”