พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 942 ความน่ากลัวที่แท้จริง
สีเป่ยเซียะ ไม่ได้ถือสาอะไรมากกับการกระทำของ เสี่ยหนานเทียน เพราะนางรู้ดีว่าศิษย์น้องของนางคนนี้มีนิสัยเป็นยังไง
อย่างไรก็ตามมันก็ทำให้นางอดคิดไม่ได้ว่ามันจะเป็นอย่างไร หากเมื่อตอนนั้นนางตกลงยอมเป็นภรรยาของ หลิงตู้ฉิง
หลายสิ่งที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้คงจะเปลี่ยนไปใช่ไหม?
อย่างไรก็ตามตอนนั้นนางก็ได้ปฏิเสธไปแล้วและตอนนี้ หลิงตู้ฉิง ก็ล้มเลิกความคิดที่จะแต่งงานกับนางไปแล้วเช่นกัน ดังนั้นมันคงไม่มีประโยชน์อะไรที่นางจะเก็บเรื่องนี้มาคิดอีก
ในเวลาเดียวกันที่ห้องโถงใหญ่ของสำนักเบญจธาตุ เซียะซิงอี้ ติงหง และบรรดาตัวตนระดับสูงของสำนักเบญจธาตุในโลกเบื้องล่างก็กำลังปรึกษาหารือกัน
“ท่านผู้ส่งสาสน์ ท่านพอจะบอกพวกเราหน่อยได้ไหมว่า หลิงตู้ฉิง มาที่นี่ทำไม?” ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิผู้หนึ่งเอ่ยถามขึ้น
ถึงแม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะรู้ว่า หลิงตู้ฉิง เป็นใครแต่พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกเกรงกลัว หลิงตู้ฉิง เลยเพราะพวกเขามั่นใจว่าผู้ส่งสาสน์ทั้งสองคนแข็งแกร่งพอที่จะต่อกรกับหลิงตู้ฉิงได้แน่นอน โดยเฉพาะเมื่อรวมกับอาวุธเต๋าที่ปกป้องสำนักของพวกเขาอยู่ในขณะนี้
ดังนั้นพวกเขาจึงมีแค่ความสงสัยว่า หลิงตู้ฉิง มาทำอะไรที่นี่กันแน่
เซียะซิงอี้ กวาดตามองไปที่ทุกคนก่อนจะตอบกลับด้วยสีหน้าจนใจว่า “เขามาที่นี่เพราะต้องการอำนาจที่มีอยู่ในมหาวิถีเต๋าของพวกเราเพื่อบ่มเพาะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้คนอื่น ๆ ขมวดคิ้วกันทันที
หลิงตู้ฉิง ต้องการชิงพลังในมหาวิถีเต๋าของพวกเขางั้นเหรอ?
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นสูงสุด 2 คนที่อยู่ในห้องโถงต่างถามขึ้นพร้อมกันทันที “ท่านผู้ส่งสาสน์ เขาต้องการมหาวิถีเต๋าธาตุใดของพวกเรา?”
ทั้งสองคนนี้คือผู้ที่ได้รับเลือกให้กลายเป็นผู้สำเร็จเต๋าของยุคนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงรีบถามขึ้นทันทีเพราะเรื่องนี้มันเกี่ยวกับพวกเขาโดยตรงซะยิ่งกว่าคนอื่น ๆ
“เขาไม่ได้ต้องการแค่ธาตุใดธาตุหนึ่งสิ่งที่เขาต้องการ คือพลังในมหาวิถีเต๋าของพวกเราทั้ง 5 ธาตุ!” ติงหง ถอนหายใจ
คนในห้องโถง ตกตะลึงจนดวงตาเบิกโพลงกันในทันที
คนคนเดียวสำเร็จเต๋าได้แค่อย่างเดียวไม่ใช่หรือ? หลิงตู้ฉิง จะเอาเต๋าของพวกเขาไปทำบ้าอะไรตั้ง 5 ธาตุ?
ทุกคนตกตะลึงกันไปอยู่พักใหญ่ จนในที่สุดหนึ่งในผู้ได้รับการคัดเลือกว่าจะได้เป็นผู้สำเร็จเต๋าของยุคนี้ก็พูดขึ้น “ท่านผู้ส่งสาสน์ อันที่จริงพวกเราไม่จำเป็นต้องพูดถึงมหาวิถีเต๋าทั้ง 5 ธาตุด้วยซ้ำ ต่อให้เขาขอแค่ธาตุเดียวพวกเราก็ไม่มีความจำเป็นต้องให้เขาจริงไหม? เขาไม่ใช่คนของสำนักเราสักหน่อยทำไมพวกเราต้องให้เขาด้วย?”
เซียะซิงอี้ พูดขึ้นด้วยสีหน้าจนใจว่า “เขาจะแลกเปลี่ยนกับพวกเราด้วยราคาที่เหมาะสมกับสิ่งที่พวกเราจะต้องเสียไป”
“ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าพลังที่สถิตอยู่มหาวิถีเต๋าของพวกเราที่อุตส่าห์สั่งสมมานานหลายหมื่นปีแน่นอน และอีกอย่างพวกท่านทั้งสองคนก็อยู่ที่นี่แล้วทำไมพวกเราจะต้องยอมทำตามที่เขาบอกด้วย พวกเราไม่เห็นจะต้องกลัวอะไรกับเขาเลยไม่ใช่เหรอ?” ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นสูงสุดอีกคนหนึ่งพูดขึ้น พร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอายดุดันออกจากร่าง
ผู้ที่เพิ่งพูดขึ้นก็คือ ไป๋ฮุยหยวน เจ้าสำนักสาขาธาตุอัคคี
เขาคิดอยู่ในใจว่า หลิงตู้ฉิง ก็แค่ตำนานที่เพิ่งเกิดใหม่ไม่มีค่าให้สนใจอะไร
ติงหง เหลือบมองไปที่ ไป๋ฮุยหยวน และพูดว่า “พวกเราทำได้แค่ตอบตกลงเท่านั้น”
ไป๋ฮุยหยวน พูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า “อย่างเขาจะทำอะไรพวกเราได้โดยเฉพาะที่ตอนนี้เขามาเพียงแค่คนเดียวแถมอยู่ในสำนักของเรา? ถ้าเขากล้าพูดมากพวกเราก็ยินดีที่จะแสดงให้เขาเห็นว่า อำนาจของสำนักเบญจธาตุไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถต้านทานได้!”
เซียะซิงอี้ หัวเราะอย่างขมขื่นและพูดว่า “ถ้าคำพูดจาโอ้อวดเช่นนี้มันทำให้เขากลัวจนตายได้เขาก็คงน่าจะตายไปไม่ต่ำกว่าล้านรอบแล้วแน่ ๆ เอาล่ะในเมื่อเขามาคุยกับพวกเราอย่างสันติแบบนี้ แถมยังเสนอผลประโยชน์เพื่อทดแทนสิ่งที่พวกเราสูญเสียไปอีกพวกเราก็ทำได้แค่ตอบตกลง อันที่จริงที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาไม่ใช่เพราะว่าจะถามความเห็นว่าพวกเราควรตกลงหรือไม่ เหตุผลที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาก็เพราะข้าแค่ต้องการบอกกับพวกเจ้าว่าในอนาคตมันจะเกิดอะไรขึ้นก็แค่นั้น”
มู่ซ่ง เจ้าสำนักสาขาธาตุโลหะขมวดคิ้วและถามขึ้นด้วยความสงสัยอีกครั้ง “ท่านผู้ส่งสาสน์ ข้ายังคงไม่เข้าใจว่าทำไมพวกท่านถึงยอมเขาง่ายนัก มันมีอะไรเกี่ยวกับเขาที่พวกข้ายังไม่รู้งั้นเหรอ?”
เซียะซิงอี้ ถอนหายใจและพูดว่า “ในเมื่อพวกเจ้าอยากจะรู้งั้นข้าจะอธิบายให้ฟัง ในสายตาของพวกเจ้า เขาคงจะเป็นแค่เทพมรณะที่ฆ่าคนไปเยอะและเคยเป็นเจ้าเหนือหัวแห่งยุคก่อน แต่ว่าสำหรับพวกข้าที่อยู่โลกเบื้องบน เขาคือตัวตนที่ไม่มีใครกล้ายั่วยุเลยสักคน พวกเจ้าคงเคยได้อ่านข้อมูลที่บันทึกเอาไว้ตั้งแต่บรรพกาลว่าในอนาคตระดับการบ่มเพาะมันจะมีระดับใดต่อไปแล้วใช่หรือไม่?
เขาคือคนที่เคยฆ่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิเทพไปแล้วหลายคน และจำนวนของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทวะราชาที่ตายด้วยน้ำมือของเขาก็มีมากมายจนนับไม่ถ้วน ขนาดพวกข้ายังไม่มีความสามารถพอจะต่อกรกับเขาเลย แล้วพวกเจ้าที่มีความสามารถกันแค่นี้คิดจะไปสู้กับเขางั้นเหรอ?”
ติงหง มองไปที่กลุ่มผู้คนและพูดขึ้นเสริม “ไม่ต้องมาคาดหวังอะไรกับพวกข้า ต่อให้ตอนนี้เขาจะอยู่ในขอบเขตราชันแต่ข้าเกรงว่าเขาคงใช้เวลาไม่น่าจะเกิน อึดใจเดียวในการสังหารพวกข้า พวกเจ้าไม่มีทางรู้หรอกว่าเขานั้นเคยเป็นตัวตนที่น่ากลัวขนาดไหน พวกเจ้านี่มันช่างไร้เดียงสากันจริง ๆ ที่คิดว่าพวกเจ้าจะสามารถทำอะไรเขาได้”
เมื่อได้ยินคำพูดของ เซียะซิงอี้ และ ติงหง ผู้คนของสำนักเบญจธาตุก็สูดหายใจลึกไม่กล้าจะพูดอะไรต่อ
แต่แล้วเมื่อเงียบกันไปได้สักพักท้ายที่สุด ไป๋ฮุยหยวน ก็อดไม่ไหวและพูดขึ้นว่า “ท่านผู้ส่งสาสน์ท่านลืมไปแล้วงั้นเหรอว่าพวกเรายังมีอาวุธเต๋าของสำนักอยู่ หากพวกท่านใช้มันข้าไม่เชื่อว่าท่านสองคนจะสู้กับเขาไม่ไหว”
เซียะซิงอี้ ขมวดคิ้วมองไปที่ ไป๋ฮุยหยวน และถามขึ้น “นี่เจ้ากับเขาเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันเหรอไง? ทำไมเจ้าถึงเอาแต่พูดเรื่องสู้กับเขาไม่หยุด?”
ไป๋ฮุยหยวน เงียบลงไม่กล้าตอบอะไรแต่สีหน้าของเขาบ่งบอกว่าเขาอยากจะฆ่า หลิงตู้ฉิง ให้ตายเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นสีหน้าของไป๋ฮุยหยวนที่ดูไม่ดีเอาซะเลย เซียะซิงอี้ พูดขึ้นว่า “ข้าไม่สนใจว่าเจ้ากับเขาเคยมีความขัดแย้งอะไรกันมาก่อน แต่ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าได้คิดจะทำอะไรโง่ ๆ ที่เป็นการทำให้ทั้งสำนักเผชิญกับหายนะ เจ้าคิดว่ามีอาวุธเต๋าแล้วมันวิเศษนักเหรอ? เจ้าคิดว่าเขาไม่มีเหรอไง? และอีกอย่างเจ้ารู้บ้างรึเปล่าว่าเขามีทักษะที่เอาไว้ใช้ทำลายเขตแดนของอาวุธเต๋าโดยเฉพาะ? ถ้าอาวุธเต๋ามันสามารถใช้ได้ผลกับเขา ป่านนี้ผู้คนมากมายคงไม่ตายภายใต้น้ำมือของเขาหรอก!”
“ท่านผู้ส่งสาสน์ ข้าอยากทราบว่าสิ่งที่เขาจะมอบให้พวกเราเพื่อเป็นการตอบแทนมันคืออะไรงั้นเหรอ?” เสี่ยหลี เจ้าสำนักสาขาธาตุไม้เอ่ยถามขึ้น
ติงหง ตอบกลับอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “สิ่งแลกเปลี่ยนอย่างแรกก็คือเขาบอกว่าจะมอบอาณาเขตขนาดใหญ่ในภูมิภาคอี้ซางให้กับเรา”
เสี่ยหลี ขมวดคิ้วและพูดขึ้นทันที “ท่านผู้ส่งสาสน์ แต่ว่าภูมิภาคอี้ซางนั้นเป็นภูมิภาคที่ไม่ว่าจะเป็นใครหากย่างกรายเข้าไปจะไม่มีวันออกมาได้อีกเลย ดังนั้นมันจะมีประโยชน์อะไรถ้าเราได้อาณาเขตของที่นั่นมา?”
“ในเมื่อเขามอบให้พวกเรา พวกเราก็ควรจะส่งคนไปตรวจสอบดู” เซียะซิงอี้ เอ่ยขึ้น “แต่ว่าข้าไม่คิดว่ามันจะปัญหาอะไรเพราะคนระดับเขาไม่พูดล้อเล่นอะไรกับเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว ส่วนการตอบแทนอีกอย่างที่เขาจะมอบให้ก็คือเคล็ดลับการบ่มเพาะร่างเบญจธาตุ ซึ่งเหตุผลที่เขาอยากได้พลังของมหาวิถีเต๋าทั้ง 5 ธาตุของพวกเราก็เพราะเขาต้องการบ่มเพาะร่างเบญจธาตุของเขาให้สมบูรณ์”
เมื่อทุกคนได้ยินถึงประโยคนี้พวกเขาต่างตกตะลึงกันยิ่งกว่าเดิม
พวกเขาเคยทดลองมาทุกรูปแบบแล้วกับแนวคิดนี้ แต่พวกเขาก็ล้มเหลวทุกครั้งไป
แต่ตอนนี้กลับมีคนที่สามารถบ่มเพาะได้สำเร็จงั้นเหรอ?
แต่ถึงแม้ว่าการตอบแทนเช่นนี้มันจะดีก็จริงแต่ผู้ที่ได้รับคัดเลือกให้สำเร็จเต๋าในยุคนี้ทั้งสองคนจะทำยังไงต่อ เมื่อพลังของมหาวิถีเต๋าถูก หลิงตู้ฉิง เอาไปใช้จนหมดแบบนี้?
เมื่อมองเห็นสีหน้าที่ตื่นเต้นผสมกับลังเล เซียะซิงอี้ พูดขึ้นว่า “ในเรื่องของพวกเจ้าสองคนที่ได้รับเลือกให้กลายเป็นผู้สำเร็จเต๋าของยุคนี้ พวกเจ้าทั้งคู่ไม่ต้องกังวลเดี๋ยวพวกข้าจะช่วยให้พวกเจ้ากลายเป็นผู้สำเร็จเต๋าแน่นอน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ทุก ๆ คนจึงไม่มีใครเอ่ยแย้งอะไรต่ออีก
จะมีก็แค่ ไป๋ฮุยหยวน ที่ยังคงแสดงสีหน้าไม่ยินยอมจนท้ายที่สุดเขาตะโกนว่า “ต่อให้พวกท่านจะตัดสินใจกันแบบไหน ข้าก็ยังอยากจะดูให้เห็นกับตาว่าเขาจะแข็งแกร่งสักแค่ไหนกันเชียว!”
เซียะซิงอี้ และ ติงหง มองไปที่ ไป๋ฮุยหยวน ด้วยสีหน้าเหนื่อยใจอยู่สักพักจากนั้นพวกเขาพูดว่า “ในเมื่อเจ้าอยากจะตายนักงั้นก็ตามใจเจ้า แต่ก่อนที่เจ้าจะไปตายเจ้าจงสละตำแหน่งเจ้าสำนักของเจ้า ถอนตัวออกจากสำนักไปซะ และมอบหมายให้คนที่เจ้าคิดว่าเหมาะสมมารับตำแหน่งแทนเสีย จากนั้นเจ้าก็ค่อยไปท้าเขาในนามของเจ้าเอง!”
เมื่อพูดจบพวกเขาก็ไม่เหลียวมองไปที่ไป๋ฮุยหยวนอีก เสมือนว่าคนผู้นี้ได้ตายไปแล้วในสายตาพวกเขา ดังนั้นมันจึงไม่มีค่าอะไรให้ต้องสนใจ
ขนาดพวกเขายังไม่กล้าที่จะลองดีกับ หลิงตู้ฉิง แต่ไอ้คนผู้นี้กลับคิดว่าความแข็งแกร่งขอบเขตมหาจักรพรรดิของมันตอนนี้สามารถที่จะทำอะไรเทพมรณะผู้นั้นได้งั้นเหรอ? หาก หลิงตู้ฉิง ตายง่ายขนาดนั้นตำหนักไร้หทัยคงไม่ดำรงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้หรอก!