พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 949 อาณาเขตโลหิตสวรรค์
ในเวลาเดียวกับที่เทียนเก๋อเปิดใช้งานอาณาเขตสวรรค์ของเขา สีหน้าของหลิงเทียน หยุนเปลี่ยนเป็นตึงเครียดทันทีและพูดว่า “พี่ใหญ่มีปัญหาแน่!”
“ปัญหา? ปัญหาอะไรพี่สาม?” หลิงยี่เทียนรีบถามขึ้น
หลิงเทียนหยุนพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังว่า “หมัดของพี่ใหญ่นั้นกำหนดเป้าหมายได้แค่ครั้งละหนึ่งเป้าเท่านั้น และอีกอย่างหมัดของพี่ใหญ่นั้นไม่ได้ต่างอะไรกับทักษะทัณฑ์ฟ้าดินของท่านพ่อที่จำเป็นต้องเห็นหรือสัมผัสได้ถึงตัวตนของเป้าหมายได้ก่อนเขาถึงจะสามารถใช้เจตจำนงหมัดของเขาในการโจมตีได้ แต่ตอนนี้อาณาเขตสวรรค์ที่เทียนเก๋อใช้มันทำให้พี่ใหญ่ไม่สามารถแบ่งแยกได้ว่าตัวตนไหนเป็นตัวจริงของเทียนเก๋อ”
ด้วยวิชาหมื่นดวงใจปีศาจที่เขาบ่มเพาะ มันจึงทำให้หลิงเทียนหยุนสามารถเห็นกฎต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน เขาจึงมองทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่งมากกว่าคนอื่น
ทุกคนเมื่อได้ยินเช่นนี้ต่างแสดงสีหน้าเคร่งเครียดทันที แต่ในทางกลับกันหลิงไช่หยุนกลับพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนเท่าไหร่ว่า “ถ้างั้นปัญหานี้มันก็ง่ายนิดเดียว พี่ใหญ่ก็แค่ต้องทำลายร่างมนุษย์โลหิตพวกนั้นให้หมดก่อน แล้วจากนั้นมันก็จะเหลือแค่ร่างจริงของเทียนเก๋อเพียงร่างเดียวแค่นี้ก็หมดปัญหาแล้วจริงไหม?”
หลิงเทียนหยุนส่ายหัว “มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก ต่อให้ร่างมนุษย์โลหิตถูกทำลายไป เทียนเก๋อก็สามารถสร้างพวกมันขึ้นมาใหม่ทดแทนได้ภายในเวลาไม่กี่อึดใจ”
“ไม่นึกเลยว่าเขาจะฉลาดขนาดนี้!” หลิงฟ่างหัวพ่นลมหายใจ
ในเวลาเดียวกัน เมื่อหลิงยู่ชานเห็นร่างของเทียนเก๋อแยกออกเป็นมนุษย์โลหิต 24 ร่าง เขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปชั่วขณะ
สัมผัสที่เขาจับได้ตอนนี้ก็คือทุกร่างมันดูเหมือนเป็นร่างจริงของเทียนเก๋อทั้งหมด
“ข้าอยากจะรู้ว่าตอนนี้เจ้าจะทำลายอาณาเขตโลหิตสวรรค์ของข้าได้ยังไง!” เทียนเก๋อตะโกนขึ้น “การที่เจ้าสามารถบังคับให้ข้าใช้มันออกมาได้ ข้ายอมรับว่าเจ้าคือคนที่มีความสามารถอย่างแท้จริง!”
หลังจากพูดจบ มนุษย์โลหิต 24 ร่างพุ่งเข้าไปโจมตีหลิงยู่ชานทันที ซึ่งหลิงยู่ชานก็รีบปล่อยหมัดออกไปถึง 10 หมัดภายในอึดใจเดียว แต่แล้วมันก็ไม่พอเพราะมันยังเหลืออีก 14 ร่างที่ยังไม่ถูกทำลาย และ 14 ร่างนั้นก็ชกหมัดใส่ตามร่างกายของเขาเต็ม ๆ จนร่างของเขาลอยกระเด็นไปไกล
จากนั้นสิ่งที่ทำให้เขาปวดหัวมากที่สุดก็คือแค่อึดใจต่อมา ร่างมนุษย์โลหิตที่เขาเพิ่งทำลายไปมันก็ฟื้นกลับขึ้นมาเหมือนเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เทียนเก๋อหัวเราะเยาะเย้ยและพูดว่า “ข้าจะบอกเจ้าเอาบุญ ทุกร่างที่เจ้าเห็นอยู่นี้นั้นมีพลังสายเลือดเดียวกับข้าทั้งหมด ซึ่งมันไม่มีวันที่เจ้าจะรู้ได้แน่นอนว่าร่างไหนเป็นร่างจริงร่างไหนเป็นร่างปลอม ไม่ว่าหมัดของเจ้าจะดีสักแค่ไหน แต่หมัดของเจ้าก็กำหนดเป้าหมายได้ทีละเป้า ซึ่งนั่นเป็นจุดอ่อนใหญ่ที่สุดของเจ้าที่ทำให้เจ้าไม่สามารถทำความเร็วของหมัดได้มากไปกว่านี้ ต่อไปข้าอยากจะเห็นเหมือนกันว่าเจ้าจะทนไม้ทนมือของข้าไปได้อีกนานแค่ไหนกัน!”
จากนั้นเทียนเก๋อก็บุกหลิงยู่ชานด้วยร่างมนุษย์โลหิตทั้ง 24 ร่างอีกรอบทันที ซึ่งผลลัพธ์ก็เป็นเหมือนเดิมคือ หลิงยู่ชานโดนอัดจนกระเด็นไปอีกรอบ
ก่อนหน้านี้หลิงยู่ชานคือผู้ที่อัดเทียนเก๋อกระเด็นไปทุกครั้ง แต่ตอนนี้สถานการณ์มันกลับตาลปัตรอย่างสิ้นเชิง
หลิงยู่ชานในขณะนี้ไม่รู้จะทำอย่างไรเช่นกัน เขานึกไม่ออกจริง ๆ ว่าจะต้องทำลายการโจมตีนี้ยังไง
หลิงฟ่างหัว เมื่อเห็นว่าพี่ชายของตัวเองถูกอัดกระเด็นกระดอนไปทั่วครั้งแล้วครั้งเล่า นางก็เริ่มทนไม่ไหวและพูดขึ้นด้วยสีหน้าเดือดดาลว่า “พี่สามข้ารู้ว่าท่านสามารถหาร่างจริงของเขาได้ ท่านช่วยไปจับตัวเขามาและแยกร่างของเขาออกเป็นชิ้น ๆ ให้ข้าที ข้าจะส่งชิ้นส่วนร่างของเขาแยกไปอยู่มิติละชิ้น! ในเมื่อเขาชอบแยกร่างนัก ข้าจะทำให้ร่างของเขาถูกแยกจริง ๆ ให้สมใจ!”
หลิงเทียนหยุนขมวดคิ้วไม่แน่ใจว่าเขาควรจะลงมือดีไหม
สถานการณ์ที่เขาเห็นอยู่ตอนนี้มันไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่กับพี่ใหญ่ของเขาเลย
ถ้าเขาลงมือไป เขาแน่ใจว่าเขาสามารถกำราบเทียนเก๋อได้อย่างง่ายดายแน่นอน เพราะร่างเต๋าของเขาแต่ละร่างนั้นมันเหนือล้ำกว่าร่างมนุษย์โลหิตของเทียนเก๋อนับร้อยเท่า
แต่ปัญหาก็คือถ้าเขาลงมือจริง ๆ แล้วพี่ใหญ่ของเขาจะเป็นยังไง? ความแค้นในใจของพี่ใหญ่จะไม่ได้รับการสะสาง แถมมันจะกลายเป็นปมที่อาจจะลบไม่ออกจนชั่วชีวิตและมันจะส่งผลเสียต่อการบ่มเพาะในอนาคตแน่นอน
ในระหว่างที่หลิงเทียนหยุนกำลังลังเล หลิงยี่เทียนรีบพูดขึ้นว่า “พี่สาม พี่ห้า พวกท่านห้ามทำอะไรบุ่มบ่ามเด็ดขาด พี่ใหญ่จะต้องคิดหาวิธีออกแน่นอน”
“น้องหกเจ้าพูดบ้าอะไรของเจ้า?” หลิงฟ่างหัวหันไปตวาดใส่หลิงยี่เทียน “เจ้าไม่เห็นรึไงว่าตอนนี้พี่ใหญ่ของพวกเรากำลังแย่ หากพวกเราปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปพี่ใหญ่ของเราได้ตายจริง ๆ แน่นอน!”
หลิงยี่เทียนส่ายหัว “พี่ห้า พี่ใหญ่ไม่มีทางเป็นอะไรแน่นอน ท่านลืมไปแล้วรึไงว่าพวกเราทุกคนต่างรู้วิชาพเนจรไร้จำกัด ถ้าหากพี่ใหญ่เกิดเพลี่ยงพล้ำขึ้นมาจริง ๆ ท่านคิดว่าเขาจะไม่ใช้วิชาพเนจรไร้จำกัดหลบการโจมตีงั้นเหรอ? และอีกอย่างพวกท่านไม่เคยได้ยินที่ท่านพ่อเคยกล่าวเอาไว้เหรอว่า พี่ใหญ่จำเป็นต้องใช้การต่อสู้เป็นตายเพื่อทะลวงขีดจำกัดของเขาเอง และนี่เป็นสถานการณ์ที่พี่ใหญ่ไม่ได้เผชิญมานานมากแล้ว ข้าเกรงว่าสถานการณ์ในตอนนี้ที่เขาเผชิญอยู่มันตรงกับความคาดหวังของเขาด้วยซ้ำ ดังนั้นมันจะดีที่สุดที่พวกท่านจะไม่แทรกแซง เพราะข้ามั่นใจว่ามันจะกลายเป็นว่าพวกเราเองที่ทำลายโอกาสของเขา”
“ท่านพ่อเคยพูดเอาไว้แบบนี้จริง ๆ เหรอ? ทำไมข้าไม่เห็นจะจำได้เลย?” หลิงฟ่างหัวเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้างุนงง
อันที่จริงทุกคนก็แสดงสีหน้างุนงงเหมือนกันเพราะพวกเขาจำไม่ได้ว่าหลิงตู้ฉิงเคยพูดเอาไว้แบบนี้ และในเมื่อหลิงตู้ฉิงไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่างหาก พวกเขาจึงไม่มีใครสามารถยืนยันคำกล่าวนี้ได้เลย
อย่างไรก็ตามความจริงที่ว่าหลิงยู่ชานสามารถใช้วิชาพเนจรไร้จำกัดได้มันก็ทำให้ทุกคนรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง
แต่ถึงแม้จะโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย พวกเขาก็ยังคงจับตาดูสถานการณ์ต่อไปโดยไม่กระพริบตา พร้อมกับเตรียมเข้าช่วยเหลือหลิงยู่ชานทันทีหากมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น
ในทางกลับกัน หลิงยู่ชานในขณะนี้ถูกความโกรธเข้าครอบงำไปเรียบร้อยแล้ว เขารู้สึกว่าเขาในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับกระสอบทรายที่อยู่เฉย ๆ ให้เทียนเก๋อซ้อมไปเรื่อย ๆ
เขารู้ว่าการกระทำตอนนี้ของเทียนเก๋อคือกำลังหยอกล้อและสร้างความอับอายให้เขาอยู่ แต่เมื่อเขาต้องเผชิญกับการโจมตีของร่างมนุษย์โลหิต 24 พร้อม ๆ กันเขาก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน
ไม่ว่าเขาจะกำหนดเป้าหมายและปล่อยหมัดออกไปได้เร็วแค่ไหน เขาก็ไม่มีวันปล่อยหมัดได้เร็วเกินกว่า 10 หมัดในหนึ่งอึดใจ ดังนั้นเขาจึงโดนเทียนเก๋ออัดจนกระเด็นไปรอบ ๆ เรื่อย ๆ
อันที่จริงในตอนแรกเขาก็อยากจะใช้วิชาพนเจรไร้จำกัดหนีไปเหมือนกัน แต่ถ้าหากเขาหนีไปตอนนี้อนาคตต่อไปเขาจะสู้หน้าใครได้ยังไง?
และที่สำคัญมากไปกว่านั้น เทียนเก๋อคือศัตรูของเขาที่เคยขโมยของของเขาไป เขาจะถอยหนีศัตรูแบบนี้ได้ยังไง?
เขาถอยหนีไม่ได้!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลิงยู่ชานจึงเริ่มสงบจิตใจและนึกถึงสิ่งที่พ่อของเขาเคยพูดเอาไว้ว่า เขาคือผู้ที่สวรรค์สร้างขึ้นอย่างแท้จริง ดังนั้นทายาทจากสวรรค์ตัวจริงอย่างเขาจะแพ้ให้กับคนเหล่านี้ที่เป็นแค่พวกแอบอ้างได้ยังไงกัน?