พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 956 ความปราชัยของเหล่าอสูร
อสูรคุนเป๋งรู้สึกอึดอัดและไม่พอใจเป็นอย่างมากกับสถานการณ์ที่มันเผชิญอยู่ในตอนนี้
ตอนแรกที่พวกมันลงมา พวกมันมั่นใจเป็นอย่างมากว่าภารกิจที่พวกมันได้รับมอบหมายมาสองอย่างจะต้องสำเร็จลุล่วงแน่นอน ภารกิจแรกคือการฆ่าหลิงตู้ฉิง ภารกิจที่สองคือฟื้นฟูเผ่าอสูรให้กลับมารุ่งโรจน์เหมือนเดิม
แต่แล้วยิ่งนานไปสถานการณ์กลับเริ่มไม่เข้าทางพวกมัน อสูรเสือขอบเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ลงมาพร้อมกับมัน ซึ่งเดินทางไปที่อาณาจักรจันทราตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา ซึ่งมันเดาได้เลยว่าป่านนี้อสูรเสือคงน่าจะไม่ได้อยู่ในโลกเบื้องล่างอีกแล้วรวมไปถึงกองทัพของพวกมันที่เคยเอาชนะได้ทุกสมรภูมิตอนนี้กลับแตกพ่ายในทุกสมรภูมิอย่างย่อยยับ
อสูรจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนต่างล้มตาย ส่วนที่เหลือก็พากันถอยหนีเอาชีวิตรอดอย่างน่าสังเวช
และที่น่าโมโหมากไปกว่านั้นก็คือไม่ใช่แค่มนุษย์เท่านั้นที่รบกับพวกมัน แต่เผ่าอื่น ๆ กลับช่วยพวกมนุษย์ฆ่าล้างพวกมันอีกต่างหาก ซึ่งสิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ส่วนเรื่องการจะให้มันใช้ความแข็งแกร่งขอบเขตศักดิ์สิทธิ์สามัญของมันเองในการเข้าต่อสู้มันก็ทำไม่ได้ เพราะกฎในโลกเบื้องล่างกำหนดเอาไว้ว่าถ้าหากมันใช้ความแข็งแกร่งเต็มที่เมื่อไหร่มันจะโดนทัณฑ์สวรรค์ฆ่าตายในทันที ส่วนอสูรตัวอื่น ๆ ที่มาจากโลกเบื้องบนที่มีความแข็งแกร่งพอ ๆ กับผู้สำเร็จเต๋าก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะพวกมันมีจำนวนแค่ 10 ตนเท่านั้น เมื่อเผชิญกับจำนวนอันมหาศาลของมนุษย์แถมมนุษย์บางคนกลับมีความแข็งแกร่งพอ ๆ กับผู้สำเร็จเต๋าทั้ง ๆ ยังอยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นสูงสุด ความแข็งแกร่งของพวกมันจึงไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่
คุนเป๋งครุ่นคิดอยู่นาน ซึ่งในท้ายที่สุดมันก็ได้แต่ถอนหายใจและพูดขึ้นด้วยสีหน้าหม่นหมองว่า “สั่งให้พวกเราทั้งหมดถอยกลับมาที่สันเขาหมื่นอสูร แต่ในระหว่างที่ถอยกลับย้ำให้พวกเราทั้งหมดพาพวกมนุษย์กลับมาให้ได้มากที่สุด เพื่อที่ข้าจะได้สร้างมหากำแพงจากเลือดและเนื้อของพวกมนุษย์เอาไว้คอยปกป้องพวกเราจากการโดนโจมตี”
ตั้งแต่ที่พวกมันเคลื่อนสันเขาหมื่นอสูรมาที่แผ่นดินใหญ่ พวกมันก็ตัดสินใจว่าจะไม่มีวันกลับไปลอยเท้งเต้งอยู่ที่ข้างนอกอีก
ถึงแม้ว่ายุคนี้พวกมันจะขึ้นมาเป็นใหญ่ไม่สำเร็จ แต่อย่างน้อย ๆ พวกมันก็จะลงหลักปักฐานอยู่ตรงนี้รอโอกาสในยุคถัดไป
“นายท่าน ข้ามีความเห็นว่าหากพวกเรามัวแต่จับมนุษย์กลับมาด้วยมันจะเป็นการเสียเวลาเป็นอย่างมาก มันจะดีที่สุดถ้าพวกเรารีบสั่งให้คนของเราเองถอยกลับมาให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นพวกมนุษย์จะต้องไล่มาทันแน่นอน” อสูรระดับสูงตนหนึ่งเอ่ยขึ้น “เรื่องของกำแพงมนุษย์พวกเราสามารถแก้ไขได้โดยการไปจับคนจากอาณาจักรผู้กล้ามาสัก 200-300 ล้านคนมาทำเป็นกำแพงมนุษย์ก็ได้”
“ไม่ได้ อาณาจักรผู้กล้านั้นนับได้ว่าเป็นรากฐานของพวกเรา พวกเราไม่ควรที่จะทำอะไรบุ่มบ่ามลงไปแบบนั้น” คุนเป๋งเอ่ยขึ้น “หากพวกเราเอาคนมาจากอาณาจักรผู้กล้ามากเกินไป มันจะทำให้ความเชื่อที่พวกเราปลูกฝังลงไปในหัวของคนเหล่านั้นพังทลายได้ง่าย ๆ และนั่นจะส่งผลเสียต่อการเจริญเติบโตของอสูรรุนใหม่ของพวกเรา”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ บรรดาอสูรต่างพยักหน้าเข้าใจ จากนั้นพวกมันก็แยกย้ายกันไปสั่งการคนของตัวที่อยู่แนวหน้าให้ถอยกลับทันทีพลางจับตัวมนุษย์ที่อยู่ตามรายทางกลับมาให้ได้มากที่สุด
อันที่จริงพวกอสูรไม่เพียงแค่จับตัวมนุษย์เพียงอย่างเดียว แต่พวกมันจับตัวสิ่งมีชีวิตทุกแบบที่พวกมันหาเจอ ส่งผลให้อาณาเขตที่พวกมันพาดผ่านนั้นไม่หลงเหลือสิ่งมีชีวิตเลยแม้แต่ตัวเดียว
หลังจากสิ่งมีชีวิตจำนวนนับล้านถูกพากลับไปที่สันเขาหมื่นอสูร พวกอสูรก็เริ่มการสังหารหมู่ทันทีและใช้เลือดและเนื้อรวมไปถึงดวงวิญญาณของทุกสิ่งมีชีวิตที่ตายไปมาหล่อหลอมจนกลายเป็นมหากำแพงสูงเสียดฟ้าล้อมสันเขาหมื่นอสูรทุกด้าน
จากนั้นเมื่อกองทัพพันธมิตรเดินทางมาถึงสันเขาหมื่นอสูรและได้เห็นกำแพงที่สร้างขึ้นจากเลือดเนื้อและดวงวิญญาณของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ บรรดาผู้นำกองกำลังทั้งหลายต่างก็แสดงสีหน้าน่าเกลียดและรีบไปเข้าพบหลิงยี่เทียนทันที “ฝ่าบาท พวกเราจะทำยังไงต่อไปดี? หากครั้งนี้พวกเราไม่สามารถกำจัดพวกอสูรได้หมด ไม่ช้าก็เร็วพวกมันจะต้องออกอาละวาดอีกแน่นอน ซึ่งในครั้งหน้าหากพวกเราไม่อยู่ ข้าเกรงว่าคนรุ่นหลังคงรับมือกับพวกมันไม่ไหว”
หลิงยี่เทียนจ้องเขม็งไปที่สันเขาหมื่นอสูรด้วยสีหน้าตึงเครียด จากนั้นเขาตอบกลับว่า “ตอนนี้พวกเราล้อมพวกมันทุกด้านเอาไว้ก่อน และส่งคำสั่งออกไปห้ามทุกคนไม่ให้บุกเข้าไปยังสันเขาหมื่นหมื่นอสูรเด็ดขาด ทุกคนสามารถท้าพวกอสูรให้ออกมารบข้างนอกได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนเวลาที่เหลือก็ให้ทุกคนตั้งใจบ่มเพาะเพิ่มความแข็งแกร่งกันให้ได้มากที่สุดเพื่อรอเวลาที่พ่อของข้าจะกลับมา”
“ถ้างั้นเมื่อไหร่พ่อของท่านจะกลับมา?” ฉินหวง หนึ่งในผู้ที่มีสายเลือดราชันแห่งมวลมนุษย์ เอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าจนใจ
หลิงยี่เทียนส่ายหัว “ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่พ่อของข้าย้ำเอาไว้อย่างชัดเจนว่าพวกเราต้องรอเขาก่อนห้ามบุกสันเขาหมื่นอสูรโดยพลการเด็ดขาด”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินหวงและผู้นำกองกำลังอื่น ๆ ต่างก็ทำได้แต่พยักหน้ายอมรับอย่างเงียบ ๆ
นี่คือคำสั่งของหลิงตู้ฉิง ซึ่งเป็นคนที่พวกเขาไม่อาจขัดใจได้
“ถ้างั้นในระหว่างที่พวกเรากำลังรอบิดาของท่าน ข้าขอออกความเห็นว่าพวกเราควรส่งคนของเราลอบเข้าไปสืบข่าวในสันเขาหมื่นอสูรสักหน่อย ท่านคิดว่าดีไหม?” เจียงหวง หนึ่งในผู้ที่มีสายเลือดราชันแห่งมวลมนุษย์อีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นแนะนำ
หลิงยี่เทียนส่ายหัวทันทีและพูดว่า “ข้าคิดว่ามันเป็นการส่งคนของเราไปตายเปล่า ๆ จากที่พ่อของข้าบอกสันเขาหมื่นอสูรไม่ใช่ที่ที่เราจะสามารถเข้าไปและออกมาได้ง่าย ๆ”
“แต่พวกเราก็ต้องรู้ข้อมูลของพวกมันบ้างไม่ใช่เหรอไง?” ฉินหวงเอ่ยขึ้นเสริม
หลิงยี่เทียนครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียด เพราะมันเป็นจริงอย่างที่ฉินหวงว่าพวกเขาจำเป็นต้องรู้ข้อมูลของสันเขาหมื่นอสูรบ้าง ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะเอาอะไรไปสู้กับพวกอสูร?
แต่ก่อนที่หลิงยี่เทียนจะทันได้ตอบกลับอะไรกลับไป จิ๋นชานพูดขึ้นแทรกก่อนว่า “ฝ่าบาท ให้ข้าลองใช้ทักษะของข้าสืบข้อมูลของสันเขาหมื่นอสูรจะดีกว่าไหม? ด้วยทักษะของข้า ข้าคิดว่าข้าน่าจะทำได้โดยไม่มีปัญหาอะไรและน่าจะได้ข้อมูลกลับมาบ้าง”
หลิงยี่เทียนมองไปที่จิ๋นชานด้วยแววตาคาดหวัง และถามว่า “มันจะได้ผลจริง ๆ งั้นเหรอ?”
“มันน่าจะได้ผล” จิ๋นชานยิ้มและตอบกลับ “แต่ว่าการลงมือของข้าครั้งนี้ ข้าถือว่ามันคือการชดใช้สิ่งต่าง ๆ ที่ข้าติดค้างให้กับเผ่ามนุษย์ ดังนั้นหลังจากเสร็จเรื่องนี้ข้าจะกลับไปที่ภูมิภาคอี้ซางทันทีเพื่อเตรียมตัวขึ้นเป็นศาสดา”
เมื่อได้ยินคำพูดของจิ๋นชาน หลิงยี่เทียนพยักหน้าทันที “ถ้างั้นข้าขอรบกวนท่านหน่อยก็แล้วกัน!”
จิ๋นชานยิ้ม จากนั้นเขาเดินเข้าไปหาหลิงยี่เทียน และล้มลงนอนหลับข้าง ๆ หลิงยี่เทียน ทันที
คนอื่น ๆ ที่ไม่รู้ว่าจิ๋นชานมีความสามารถอะไรต่างก็มองหน้ากันด้วยความงุนงง ไม่ใช่ว่าเมื่อครู่เจ้าบอกจะเข้าไปสืบข้อมูลของสันเขาหมื่นอสูรไม่ใช่เหรอ? หรือว่าเจ้าต้องนอนเอาแรงก่อนถึงจะสามารถออกไปสืบข้อมูลได้?
แน่นอนว่าในขณะนี้จิ๋นชานกำลังใช้ห้วงนิทราแห่งราชันย์สร้างโลกเสมือนของสันเขาหมื่นอสูรขึ้นมาในความฝันของเขาเพื่อที่เขาจะได้สามารถเข้าไปดูว่าที่ด้านในสันเขาหมื่นอสูรมันเป็นยังไง ส่วนการที่เขาเดินไปนอนหลับข้าง ๆ หลิงยี่เทียนนั้นเป็นเพราะว่าในระหว่างที่หลับเ ขาจำเป็นต้องหาคนที่ไว้ใจได้คอยปกป้องร่างของเขาเอาไว้
“เอาล่ะเรื่องสืบข้อมูลตอนนี้พวกเราก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของจิ๋นชาน!” หลิงยี่เทียนเอ่ยขึ้น “ระหว่างที่รอ พวกเราทั้งหมดควรแยกย้ายกันไปบ่มเพาะเพื่อรอเวลาที่พ่อของข้ากลับมา และเมื่อไหร่ที่พวกเราจัดการกับสันเขาหมื่นอสูรเสร็จ ทุกคนจะได้รับรางวัลจากผลงานที่ได้ทำตามความเหมาะสม”
เมื่อเห็นว่าหลิงยี่เทียนตัดสินใจเช่นนี้ คนอื่น ๆ จึงได้แต่พยักหน้ารับทราบและแยกย้ายกันไปหากองกำลังของตนเพื่อเริ่มสร้างค่ายปิดล้อมสันเขาหมื่นอสูร
วันต่อมา ผู้คนของกองทัพพันธมิตรจำนวนมากต่างก็พากันตะโกนท้าทายให้พวกอสูรออกมาสู้
ในตอนแรกพวกอสูรก็ทำเป็นหูทวนลม แต่เมื่อโดนด่าและโดนดูถูกมาก ๆ เข้าพวกมันก็ทนไม่ไหวพากันยกทัพออกมาสู้รบกับกองทัพพันธมิตรจนกลายเป็นสงครามใหญ่อยู่นานหลายวัน จากนั้นก็เลิกรากันไปและท้าทายกันใหม่วนไปแบบนี้เรื่อย ๆ
ส่วนทางด้านของหลิงตู้ฉิง ในเวลานี้เขาก็กำลังดำดิ่งลงไปในเหวมรณะแห่งหนึ่ง ซึ่งเขามั่นใจว่าที่นี่มันต้องเป็นที่ตั้งของตำหนักดับเซียนแน่นอน!