พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 964 โกรธจนแทบเสียสติ
ยิ่งได้ฟังเรื่องราวของอาณาจักรผู้กล้าจากปากของจิ๋นชานมากเท่าไหร่ สีหน้าของหลิงยี่เทียนก็ยิ่งน่าเกลียดมากขึ้นเท่านั้น
ชะตากรรมของอาณาจักรมนุษย์ที่ตั้งอยู่ใจกลางสันเขาหมื่นอสูรมันจะกลายเป็นอย่างไรเขาพอจะนึกภาพออก
ในเวลานี้จิ๋นชานถอนหายใจและเล่าต่อ “หลังจากที่ข้าเข้าสู่ฝันของอสูรที่เป็นสมาชิกของสภาอสูรสวรรค์ ข้าก็ได้ค้นพบว่าแท้จริงแล้วอาณาจักรผู้กล้าในอดีตนั้นคือโลกจำลองของผู้เชี่ยวชาญระดับสูงมากผู้หนึ่งซึ่งใกล้จะตาย แต่พวกอสูรใช้วิธีการบางอย่างจึงสามารถเก็บรักษาโลกจำลองนี้ได้ และจากนั้นพวกมันก็จับเหล่ามนุษย์มาล้างสมองและส่งตัวไปอยู่ในอาณาจักรที่พวกมันสร้างขึ้นมาในโลกจำลอง ซึ่งก็คืออาณาจักรผู้กล้าเพื่อให้ออกลูกออกหลานมาเป็นอาหารของพวกมัน”
“และเพื่อทำให้เหล่ามนุษย์ออกลูกออกหลานกันได้ตามปกติ พวกมันจึงต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่สิ้นหวังมากเกินไป ซึ่งก็คือพวกมันมักจะแปลงกายเป็นเทพต่าง ๆ ไปมอบเคล็ดวิชาให้กับพวกมนุษย์เพื่อให้เหล่ามนุษย์มีความหวังในการอยู่รอด แต่แล้วเมื่อมนุษย์คนไหนที่บ่มเพาะจนถึงขอบเขตราชัน พวกมันจะสร้างสถานการณ์ราวกับว่ามนุษย์ผู้นั้นได้บรรลุขึ้นไปอยู่บนสรวงสวรรค์ แต่แท้ที่จริงแล้วคือพวกมันจับมนุษย์ผู้นั้นออกมากินเป็นอาหาร แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่พวกมันอยากกินมื้อใหญ่ พวกมันจะสวมรอยว่าพวกมันเป็นสภาอสูรสวรรค์ส่งกองทัพเข้ารุกรานอาณาจักรผู้กล้าแทน และเมื่อพวกมันได้รับชัยชนะ พวกมันก็จะจับตัวมนุษย์ส่วนหนึ่งออกไป”
“ในเรื่องทั้งหมดนี้สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดก็คือ พวกมนุษย์ของอาณาจักรผู้กล้านั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยที่ผ่านไป เหล่ามนุษย์ในอาณาจักรจะพากันติดตามผู้กล้าของพวกเขาต่อสู้กับเหล่าอสูรด้วยความหวังว่าจะชนะและกำจัดพวกสภาอสูรสวรรค์ให้หมดไปได้สักวันหนึ่ง ซึ่งในความเป็นจริงพวกเขาไม่มีทางที่จะสู้ได้เลย ความพยายามของพวกเขาทั้งหมดมันเป็นเพียงเรื่องตลกในสายตาของเผ่าอสูร เรื่องราวโหดร้ายเช่นนี้มันดำเนินซ้ำไปซ้ำมาเรื่อย ๆ มาถึงล้านปีแล้วฝ่าบาท”
เมื่อจบประโยคนี้ จิ๋นชานก็เริ่มหลั่งน้ำตาและไม่สามารถพูดอะไรต่อได้อีก
หลิงยี่เทียน ในขณะนี้เขาทั้งโกรธทั้งอาฆาตทั้งเกลียดพวกเผ่าอสูรจนอยากจะฆ่าพวกมันให้หมดโลก
เขาคือราชันแห่งมวลมนุษย์ที่เอ่ยคำสาบานว่าจะปกป้องมนุษย์ทั้งมวล แต่ตอนนี้กลับมีมนุษย์นับพันล้านที่กำลังทุกข์ระทมอยู่ไม่ไกล เมื่อรู้เช่นนี้เขาจะยอมได้ยังไง?
ทางด้านของหลิงว่านถิง และคนอื่น ๆ ที่ได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกเดือดดาลจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เหมือนกัน สิ่งที่พวกเขาคิดในหัวตอนนี้มีเพียงแค่อย่างเดียวคืออยากจะบุกเข้าไปในสันเขาหมื่นอสูรตอนนี้เพื่อฆ่าพวกอสูรให้หมด และช่วยเหล่าผู้คนของอาณาจักรผู้กล้าออกมา
“ใครก็ได้ไปเรียกแม่ทัพและผู้นำกองกำลังทั้งหมดมาหาข้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะวางแผนถล่มสันเขาหมื่นอสูรและฆ่าอสูรทุกตัวที่มีอยู่บนโลกใบนี้ให้หมด!” หลิงยี่เทียนตะโกนขึ้นเสียงดัง
หลิงยี่เทียนวางแผนว่าจะบอกเรื่องนี้ให้กับทุกคนได้รู้เช่นกันเพื่อที่ทุกคนจะได้สู้ศึกนี้อย่างเต็มที่
หลิงยู่ชานรีบพูดขัดขึ้นทันที “น้องหกเจ้าอย่าเพิ่งทำอะไรบุ่มบ่าม! ตอนนี้ท่านพ่อยังไม่กลับมาพวกเราจะบุกเข้าไปแบบนี้ไม่ได้ และถ้าเจ้าเอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่น ๆ ทุกคนจะต้องบุกเข้าไปในสันเขาหมื่นอสูรแบบไร้สติแน่นอน ท่านพ่อได้เตือนเรื่องนี้กับพวกเราเอาไว้หลายรอบมากเจ้าลืมไปแล้วรึไง ถ้าการบุกสันเขาหมื่นอสูรมันง่ายจริงท่านพ่อคงไม่ห้ามพวกเราไว้ เจ้าต้องใจเย็นและรอให้ท่านพ่อกลับมาเท่านั้นตามแผนเดิม!”
หลิงยี่เทียนส่ายหัวอย่างดื้อรั้น “พี่ใหญ่ข้ารอไม่ได้อีกแล้ว! ทุก ๆ วันที่ข้ารอมันหมายถึงชีวิตของเหล่ามนุษย์ในอาณาจักรผู้กล้าที่ถูกจับกิน ท่านอย่าได้พยายามโน้มน้าวข้าอีกเลย ข้าตัดสินใจแล้วไม่ว่าจะยังไงข้าจะต้องบุกสันเขาหมื่นอสูรวันนี้ให้ได้ ข้าเชื่อว่าถ้าท่านพ่อฟังอยู่ตอนนี้เขาก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจของข้า!”
หลิงยู่ชานขมวดคิ้ว และรั้งหลิงยี่เทียนเอาไว้พร้อมกับพูดว่า “น้องหก ฟังข้าก่อน ตั้งแต่ข้ามาถึงที่นี่สัญชาตญาณของข้ามันบอกอยู่ตลอดว่าในสันเขาหมื่นอสูรนั่นมีบางสิ่งบางอย่างที่พวกเราไม่สามารถรับมือได้ซ่อนอยู่ เจ้าจงเชื่อข้าเถอะใจเย็นลงก่อน แล้วรอท่านพ่อกลับมา”
“ไม่ว่าข้างในนั้นมันจะมีอันตรายอะไรซ่อนอยู่ ข้าก็จำเป็นต้องเข้าไป!” หลิงยี่เทียนตอบกลับด้วยสีหน้ามุ่งมั่น “พี่ห้า ข้าวานท่านที โปรดช่วยไปเรียกแม่ทัพและผู้นำกองกำลังมาหาข้าที วันนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าจะต้องบุกสันเขาหมื่นอสูรให้ได้!”
หลิงฟ่างหัวพยักหน้า จากนั้นนางหยิบประตูมิติของนางออกมาทันที
แต่ก่อนที่นางจะได้ทันเปิดประตูมิติของนางเพื่อติดต่อผู้คนอื่น หลิงยู่ชานกลับเอ่ยขึ้นว่า “ท่านพ่อ ท่านคงต้องพูดด้วยตัวเองแล้ว ตอนนี้น้องหกดื้อรั้นเกินกว่าจะฟังเหตุผลอะไรทั้งนั้น!”
สีหน้าของคนอื่น ๆ ตกตะลึงในทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้ นี่พ่อของพวกเขากลับมาแล้วงั้นเหรอ?
เมื่อพูดจบสีหน้าและท่าทางของหลิงยู่ชานเปลี่ยนเป็นคนละคนทันที จากนั้นเขาพูดกับหลิงยี่เทียนว่า “ยี่เทียน ในฐานะที่เจ้าเป็นราชันแห่งมวลมนุษย์ พ่อรู้สึกผิดหวังในตัวของเจ้าอย่างร้ายแรง! อาณาจักรผู้กล้านั้นจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือก็จริง แต่เจ้าไม่สนใจชีวิตของเหล่าผู้คนที่อยู่โลกภายนอกบ้างเลยงั้นเหรอ? หากเผ่าอสูรถูกจัดการได้ง่ายจริง ๆ พวกมันจะคงอยู่มาได้ยังไงตั้งแต่บรรพกาลรึไง?”
“การที่เจ้าพาคนบุกเข้าไปในสันเขาหมื่นอสูรเช่นนี้ ผลลัพธ์ที่รอเจ้าอยู่มีเพียงอย่างเดียวคือเจ้าจะพาคนอื่นไปตายรวมถึงพี่น้องของเจ้าก็จะตายภายใต้การนำของเจ้า! จงข่มอารมณ์ของเจ้าเอาไว้ซะ จงอย่าลืมหากพวกเจ้าตายกันหมด อนาคตของเผ่ามนุษย์จะอยู่ในกำมือของเหล่าอสูรทันที และเมื่อถึงเวลานั้นจะไม่ใช่แค่อาณาจักรผู้กล้าที่ต้องทุกข์ทรมาน แต่มันจะเป็นมนุษย์ทั้งโลกที่ต้องทุกข์ทรมาน”
“หน้าที่ของเจ้าคือการปกป้องเผ่ามนุษย์ทั้งหมด ไม่ใช่ปกป้องมนุษย์แค่กลุ่ม ๆ เดียว แต่ในเมื่อนี่คือความผิดพลาดครั้งแรกของเจ้าพ่อจะไม่โทษอะไรเจ้ามากมายนัก แต่จงจำเอาไว้คราวหลังอย่าได้เสี่ยงเอาชีวิตผู้คนส่วนใหญ่ไปช่วยชีวิตคนส่วนน้อยอีก! ไม่เช่นนั้นในอนาคตหากเจ้าเผชิญกับปัญหาที่หนักกว่านี้เจ้าจะล้มเหลวโดยสมบูรณ์!”
“ตอนนี้หน้าที่ของเจ้าคือการไปตามทุกคนในครอบครัวของเราให้มารอเตรียมพร้อมช่วยเจ้ารบกับพวกอสูร ลำพังแค่พวกเจ้ากันเองไม่มีวันจัดการพวกอสูรได้แน่นอน และจากนั้นเมื่อตามคนมาครบเจ้าก็จงรอพ่อกลับไป เมื่อพ่อกลับไปถึงพ่อสัญญาว่าเจ้าจะได้ปลดปล่อยโทสะที่มีอยู่ในใจของเจ้าตอนนี้จนหมดแน่นอน”
เมื่อพูดจบ เศษเสี้ยวจิตสำนึกของหลิงตู้ฉิงก็ออกจากร่างของหลิงยู่ชานทันที
หลิงยู่ชานถอนหายใจ จากนั้นเขากวาดตามองไปที่น้อง ๆ ของเขาก่อนที่จะพูดว่า “ครั้งล่าสุดที่ท่านพ่อมาหาข้า เขาได้ทิ้งเศษเสี้ยวจิตสำนึกของเขาเอาไว้ในตัวข้าเผื่อเอาไว้สำหรับสถานการณ์เช่นนี้ เอาล่ะตอนนี้พวกเจ้าก็คงใจเย็นกันได้แล้วใช่ไหม? พวกเราจำเป็นต้องรอท่านพ่อกลับมาเท่านั้นต่อให้พวกเราจะอยากบุกเข้าไปมากแค่ไหนก็ตาม!”
หลิงยี่เทียนไม่พูดอะไรต่ออีกหลังจากโดนหลิงตู้ฉิงตำหนิไปพอสมควร และแน่นอนว่าคำตำหนิเหล่านั้นมันทำให้เขาสงบใจลงได้เยอะ
คำพูดของพ่อเขาถูกต้องทุกประการ กองทัพพันธมิตรที่เขารวบรวมได้หลายร้อยล้านคนตอนนี้นับได้ว่าเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่มนุษย์จะมีได้แล้ว ถ้าหากว่าพวกเขาบุกเข้าไปและตายกันหมดมันจะไม่มีกองกำลังไหนที่สามารถต้านทานการบุกโจมตีอีกระลอกของเผ่าอสูรได้เลย ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นมันจะเป็นหายนะของจริงสำหรับมนุษย์ทุกคนที่อยู่บนโลก
เมื่อใจเย็นลงแล้ว หลิงยี่เทียนจึงเอ่ยกับหลิงฟ่างหัว “พี่ห้า ตามคำที่ท่านพ่อได้บอกเอาไว้ข้ารบกวนท่านช่วยไปตามทุกคนในครอบครัวเราที่อยู่ในอาณาจักรจันทราที และถ้าจะให้ดีที่สุดท่านช่วยตามอาวุธของท่านพ่อมาด้วย”
หลิงฟ่างหัวพยักหน้า “อืมข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”
ความแข็งแกร่งของหลิงฟ่างหัว ในตอนนี้นางไม่จำเป็นต้องใช้ประตูเคลื่อนย้ายเพื่อเดินทางในระยะไกล ๆ อีกแล้ว แค่ประตูมิติของนางเพียงอย่างเดียวก็สามารถเดินทางไปได้ไกลกว่า 100 อาณาเขตภายในการเปิดประตูหนึ่งครั้ง ซึ่งการกลับไปที่อาณาจักรจันทราจากจุดที่หลิงยี่เทียนตั้งค่ายอยู่นั้นนางแค่ใช้ประตูมิติ 2 ครั้งก็เดินทางไปถึง
เมื่อนางกลับไปถึงคฤหาสน์สราญรมย์ นางก็ตามทุกคนในครอบครัวให้มารวมกันทันทีและเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง
จ้าวเหมิงลู่ เหลียงเฟ่ยเอ๋อ มี่ไล เย่ชิงเฉิง หลิวเฟ่ยเฟ่ย และคนอื่น ๆ เมื่อได้ยินเรื่องราวทุกอย่างพวกเขาต่างก็ตอบตกลงที่จะเข้าสู่สนามรบทันที
แต่แล้วเมื่อทุกคนเตรียมพร้อมเรียบร้อย หลิงฟ่างหัวจึงเดินมาเรียกง้าวเทวะพินาศ หวังจะพามันไปด้วยแต่มันกลับไม่สนใจนางเลยแม้แต่น้อย มันยังคงหลับต่อไปราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงของนาง
หลิงฟ่างหัวหงุดหงิดเป็นอย่างมากเมื่อเห็นเช่นนี้ แต่ก่อนที่นางจะทันได้เดินเข้าไปอุ้มมันเพื่อบังคับมันให้ไปกับนาง มี่ไลก็ส่ายหัวและกล่าวว่า “ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน พวกเราไปกันก่อน หากว่าจำเป็นเมื่อไหร่มันจะตามพวกเราไปเอง”
เมื่อพูดจบ มี่ไลก็เดินเข้าไปในประตูมิติของหลิงฟ่างหัว ตามด้วยคนอื่น ๆ ก็ทยอยเดินตามเข้าไป