พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 97 เมืองหลวง[รีไรท์]
บทที่ 97 เมืองหลวง[รีไรท์]
“นายท่านหลังจากเข้าเมืองแล้วจะให้ข้านำพวกเราไปที่ไหน?” เสี่ยวเยว่เฟิงถาม
หลิงตู้ฉิงคิดอยู่สักพักจึงพูดว่า “อันดับแรกพวกเราไปหาโรงแรมพักกันก่อนแล้วจากนั้นค่อยไปดูว่ามีคฤหาสน์ไหนที่น่าสนใจ จากนั้นพวกเราค่อยซื้อมันเพื่อพักอาศัยในช่วงเวลาที่เราอยู่ที่นี่”
“หรือว่าพวกเราไปที่คฤหาสน์ตระกูลข้ากันดีไหม?” จ้าวเหมิงลู่เสนอความเห็นด้วยอารมณ์ตื่นเต้นเล็กน้อย เนื่องจากพ่อแม่ของนางยังไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับหลิงตู้ฉิงและนาง หากนางพาพวกเขาทั้งหมดไปที่ตระกูลของนาง นางเองก็เดาไม่ออกเหมือนกันว่าพ่อแม่ของนางจะว่ายังไง
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “เรามีคนมากเกินไปเราจำเป็นต้องซื้อคฤหาสน์หรือไม่ก็เรือนขนาดใหญ่เป็นของเราเอง ข้าไม่ต้องการอาศัยเรือนหรือคฤหาสน์ของผู้อื่นอยู่”
เมื่อรถม้าของพวกเขาจะใกล้จะถึงเมืองหลวง เสี่ยวเยว่เฟิงได้บังคับรถม้าลงไปที่พื้น และวิ่งด้วยล้อรถเข้าไปในเมืองแทน
อย่างไรก็ตามเมื่อพวกชาวบ้านที่อยู่สองข้างทางเห็นภาพที่รถม้าที่ไม่มีม้าลากแต่สามารถเคลื่อนที่ไปบนพื้นได้ด้วยตัวมันเอง พวกเขาต่างจ้องมองมันอย่างแข็งค้างด้วยอาการตกตะลึง
เมื่อใกล้เข้าไปถึงประตูเมือง พวกเด็ก ๆ ต่างมองลอดหน้าต่างรถออกมาดูบรรยากาศภายนอกอย่างมีความสุข พวกเขาเห็นคำสองคำแขวนอยู่เหนือซุ้มประตูเมือง ‘จันทรา’
“หืม!? รถม้าคันนั้นน่าสนใจทีเดียว รถนั่นมันไม่ต้องใช้ม้าหรือสัตว์วิเศษใด ๆ ในการลากรถเลย วิเศษจริง ๆ ที่มันเคลื่อนที่ได้ด้วยตัวเอง หลี่เอ๋อ เจ้าไปถามราคารถนั้นมาให้ข้าทีสิ บอกกับพวกเขาว่าข้าต้องการมัน” ชายหนุ่มที่อยู่ในชุดหรูหรา ซึ่งกำลังนั่งกินอาหารอยู่ในร้านอาหารหรูที่ชั้นสองของร้านได้ชี้ไปยังรถม้าของพวกหลิงตู้ฉิงที่อยู่บนถนน
หลี่เอ๋อที่นั่งอยู่ด้านข้างเจ้านายของเขา เมื่อได้รับคำสั่งมา เขาจึงรีบพากลุ่มผู้เชี่ยวชาญวิ่งลงไปยังถนน และล้อมปิดกั้นเส้นทางของรถม้าของหลิงตู้ฉิงไว้
เสี่ยวเยว่เฟิงที่ในขณะนี้โดนล้อม นางมองไปยังกลุ่มคนที่ขวางอยู่ด้านหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย นางกำลังรอดูว่าคนพวกนี้ต้องการอะไร
“เฮ้! นายน้อยของข้าถูกใจรถม้าคันนี้ เจ้าจะขายเท่าไหร่?” หลี่เอ๋อพูด
“หลีกทางไป” เสี่ยวเยว่เฟิงพูดอย่างเฉยเมย
หลี่เอ๋อหัวเราะ “เจ้านี่ยังไม่เข้าใจ นายน้อยของข้าอุตส่าห์ไว้หน้าเจ้าโดยการยินดีจ่ายเงินซื้อรถม้าคันนี้เชียวนะ พวกเจ้ายอมขายมาซะดี ๆ จะดีกว่าอย่ามีปัญหาให้มันมากนัก”
เสี่ยวเยว่เฟิงกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าไม่สนใจว่านายน้อยของเจ้าจะจ่ายได้เท่าไหร่ แต่ข้าขอเตือนไว้ก่อนหากพวกเจ้ายังขวางทางข้าอยู่แบบนี้ พวกเจ้าได้เจ็บตัวแน่”
เมื่อเสี่ยวเยว่เฟิงพูดจบ นางก็เริ่มจะบังคับรถออกไป แต่หลี่เอ๋อและบรรดาคนของเขาต่างยังไม่ยอมเปิดทางให้
หลี่เอ๋อตะโกนขึ้นอีกครั้ง “นายน้อยของเราเป็นลูกชายของเจ้าเมืองหมอกเมฆา นายน้อยของข้าสามารถจ่ายเหรียญทองเท่าไหร่ก็ได้เพื่อตอบสนองคำขอของเจ้า ข้าแนะนำให้เจ้าเชื่อฟังและขายรถม้าให้นายน้อยของข้าเสียดี ๆ มิฉะนั้นข้าบอกได้เลยว่าพวกเจ้าจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน”
เมื่อได้ยินเสียงที่หลี่เอ๋อตะโกนอยู่ด้านนอก จ้าวเหมิงลู่จึงอธิบายให้หลิงตู้ฉิงฟัง “เจ้าเมืองหมอกเมฆาคนนี้ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ระดับค่อนข้างสูงเลยทีเดียว เขาอยู่ในขอบเขตรวมแสงดารา รายได้ของตระกูลเขานั้นส่วนใหญ่จะมาจากหอการค้าหมอกเมฆา ซึ่งเขาเป็นผู้บริหารมันด้วยตนเอง ท่านว่าข้าควรจะออกไปไล่พวกเขาดีไหม พวกเขาจะได้เลิกตอแยเราสักที”
“ไม่จําเป็น!” หลิงตู้ฉิงตะโกนสั่งเสี่ยวเยว่เฟิงที่อยู่ข้างนอกทันที “เจ้าจะเสียเวลากับพวกนี้ทำไม? รีบไปสักที ลูก ๆ ของข้าเดินทางมาทั้งคืนพวกเขาต้องการหาที่พักผ่อนเดี๋ยวนี้”
เสี่ยวเยว่เฟิงสะดุ้งเมื่อนางได้ยิน นางโบกมือเหวี่ยงหลี่เอ๋อและคนอื่น ๆ ที่ขวางทางอยู่กระเด็นออกจากเส้นทางทั้งหมด จากนั้นนางจึงเริ่มขับรถม้าออกไป
หลี่เอ๋อและคนอื่น ๆ ที่โดนพลังวิญญาณของเสี่ยวเยว่เฟิงปัดจนกระเด็นกระดอน ต่างก็พากันลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ตอนนี้สีหน้าของพวกเขาบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บแค้น
หลี่เอ๋อตะโกนไล่หลังรถม้าที่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวจากไป “พวกเจ้ากล้าปฎิเสธนายน้อยของข้างั้นเหรอ รอก่อนเถอะ ข้าจะทำให้พวกเจ้าเสียใจ!”
เมื่อพูดจบหลี่เอ๋อกับพวก จึงได้รีบวิ่งกลับไปรายงานเจ้านายของเขาที่อยู่บนชั้นสองของร้านอาหาร
อันที่จริงหยุนตงไห่ไม่จำเป็นต้องฟังรายงานด้วยซ้ำเพราะเขาทั้งได้เห็นและได้ยินหมดแล้ว เขาขมวดคิ้วและพูดอย่างไม่พอใจ “พวกมันช่างหยิ่งยโสดีจริง ๆ ข้าล่ะอยากรู้จริง ๆ ว่าพวกมันเป็นเทพเจ้ามาจากไหน ถึงได้กล้าปฎิเสธข้าหยุนตงไห่!”
ภายในรถม้า จ้าวเหมิงลู่มองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยความประหลาดใจและถามว่า “นี่ท่านมีความแค้นอะไรกับตระกูลหยุนงั้นหรือ?”
มี่ไลเมื่อได้ยินเช่นนั้นนางจึงอธิบายจากด้านข้าง “นายหญิง ข้าขออธิบายให้ท่านฟัง ในตอนที่นายท่านกับข้าเจอกันครั้งแรก นายท่านไม่สามารถซื้อของอะไรจากหอการค้าอื่นได้เลยเนื่องจากตระกูลเจิ้นได้ส่งคำขอไปให้กับหอการค้าทุกแห่งที่อยู่ในเมืองฟินิกซ์ให้ทำการปฏิเสธการซื้อขายกับนายท่าน และเมื่อนายท่านไม่สามารถซื้ออะไรจากหอการค้าอื่น ๆ ได้ เขาจึงมาซื้อของที่หอการค้าตระกูลมี่ของข้า”
“และเมื่อตระกูลข้ายอมทำการค้ากับนายท่าน ตระกูลเจิ้นจึงสั่งให้บรรดาหอการค้าทุกแห่งรวมหัวกันกดดันทางการค้ากับหอการค้ามี่ตั้วตั้วของตระกูลข้า ซึ่งหอการค้าหมอกเมฆาของตระกูลหยุนนั้นมีบทบาทในเรื่องนี้มากที่สุด”
เมื่อได้ยินเรื่องราวจนจบ จ้าวเหมิงลู่ก็ได้เข้าใจว่าทำไมหลิงตู้ฉิงถึงแสดงท่าทางเป็นปรปักษ์ทันทีที่เขาได้ยินชื่อหอการค้าหมอกเมฆา
จ้าวเหมิงลู่มองไปที่มี่ไลและพูดว่า “ความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างเจ้าเมืองหมอกเมฆากับเจิ้นฟูเห่านั้นนับได้ว่าแน่นแฟ้นกันมาก ไม่แปลกที่พวกเขาจะร่วมมือกันเพื่อกำจัดสามีข้า แต่ต่อไปนี้เป็นต้นไปด้วยความร่วมมือกันของตระกูลจ้าวของข้าและตระกูลของมี่ของเจ้า พวกเราไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องกลัวพวกเขา เมื่อข้ากลับไปที่ตระกูลข้าจะรายงานเรื่องนี้กับท่านปู่ให้เอาคืนพวกเขาให้สาสม”
หลิงตู้ฉิงที่นั่งฟังอยู่เขาส่ายหัวกล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องไปยุ่งอะไรกับพวกน่ารำคาญพวกนี้หรอก มันเสียเวลาเปล่า ๆ หากตระกูลหยุนไม่มาตอแยอะไรข้า เราก็ปล่อยให้พวกมันอยู่ของพวกมันไป แต่ถ้าพวกมันกล้ามาสร้างเรื่องยุ่งยากให้ข้าเมื่อไหร่ ข้าจะเป็นคนสั่งสอนพวกมันเอง”
ในระหว่างที่รถม้ากำลังเคลื่อนไปข้างหน้าเรื่อย ๆ จู่ ๆ พวกของหยุนตงไห่ได้พากันกระโดดมาขวางทางรถม้าไว้อีกครั้ง
หยุนตงไห่ที่ในเวลานี้ยืนขวางหน้ารถม้าอยู่ เขามองไปยังเสี่ยวเย่วเฟิงและตะโกนขึ้น “ให้นายของเจ้าออกมาพูดกับข้า!”
“เจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะพบนายท่านของข้า” เสี่ยวเย่วเฟิงตอบอย่างเฉยเมย
หยุนตงไห่หัวเราะออกมา “นายท่านของเจ้าเป็นเทพมาจากสวรรค์หรือยังไง ข้าถึงจะพบเขาไม่ได้?”
“เจ้ากำลังทำให้ข้าเสียเวลาอยู่ ถ้าเจ้ามีอะไรจะพูดก็รีบพูดไม่งั้นก็ออกไปจากถนน ตอนนี้ข้ากำลังรีบ” เสี่ยวเย่วเฟิงกล่าว
คิ้วของหยุนตงไห่กระตุกและพูดว่า “ข้าชอบรถม้าของพวกเจ้า บอกราคาของมันมาไม่ว่าเท่าไหร่ข้าก็จะซื้อ!”
“ข้าบอกไปแล้วว่าเจ้าไม่สามารถจ่ายได้และนายท่านของข้าเองก็ไม่ยอมขายมัน หยุดเสียเวลากับเรื่องไร้สาระนี้ได้แล้ว หลีกไป ไม่งั้นข้าจะทำให้เจ้าเสียใจที่มารบกวนนายของข้า!” เสี่ยวเย่วเฟิงพูดอย่างเย็นชา
หยุนตงไห่เริ่มหมดความอดทน เขาพูดอย่างเย็นชา “ไอ้ข้าก็อุตส่าห์ใจดีพอที่จะซื้อมัน แต่พวกเจ้ายังโง่งมไม่รู้อะไรดีสำหรับตัวพวกเจ้าเอง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่าหาว่าข้าไม่ให้เกียรติพวกเจ้าแล้วกัน!”
ตอนนี้เสี่ยวเยว่เฟิงเองก็เริ่มจะทนไม่ไหว นางพูดขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอย่างเย็นชา “ข้าจะเตือนเจ้าอีกครั้งอย่าขวางทางข้า มิฉะนั้นเจ้าจะต้องเสียใจ!”
ขณะที่นางพูด นางเริ่มโคจรพลังวิญญาณของนางและรถม้าก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง
“ข้าหมดความอดทนแล้ว!” หยุนตงไห่พูดอย่างเย็นชา “ถ้าเจ้าไม่ยอมขาย ข้าก็จะแย่งมันมา! ไป! ไปเอารถของมันมาให้ข้า!” เมื่อได้ยินคำสั่ง บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่หยุนตงไห่ พามาก็กรูกันไปที่รถม้าทันที
สายตาของเสี่ยวเยว่เฟิงจ้องเขม็งขณะที่นางโบกมือส่งผู้เชี่ยวชาญที่บุกเข้ามากระเด็นกระดอนออกไปคนละทิศคนละทาง จากนั้นนางจึงก่อรูปพลังวิญญาณของนางให้กลายเป็นรูปร่างมือขนาดยักษ์ไปจับหยุนตงไห่ไว้และพูดอย่างเย็นชา “ในเมื่อข้าเตือนเจ้าหลายรอบแล้ว แต่เจ้ายังไม่ฟังคำของข้า ข้าคงต้องสั่งสอนให้เจ้ารู้สำนึกบ้างสักหน่อย”
แม้ว่าหยุนตงไห่จะถูกเสี่ยวเยว่เฟิงจับตัวไว้ เขายังใช้น้ำเสียงพูดตอบอย่างไม่เกรงกลัว “น้ำหน้าอย่างเจ้าเหรอจะกล้าทำอะไรข้า พ่อของข้าคือเจ้าเมืองหมอกเมฆา เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดารา หากเจ้ากล้าทำอะไรข้า ข้ารับรองได้พ่อข้าจะต้องเอาเลือดพวกเจ้ามาล้างเท้าแน่นอน!”
“ขอบเขตรวมแสงดารา?” เสี่ยวเยว่เฟิงยิ้มเยาะ เมื่อได้ยินเช่นนั้นนางจึงออกแรงเขวี้ยงร่างของหยุนตงไห่ลอยขึ้นไปในอากาศอย่างรวดเร็ว “ถ้าอย่างนั้นเรามาดูกันดีกว่าว่าแถวนี้มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราที่ไหนจะสามารถช่วยเจ้าได้ ถ้าไม่มีเจ้าก็ตาย!”
หลังจากพูดเสร็จนางก็บังคับรถม้าให้ค่อย ๆ เคลื่อนไปข้างหน้า บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่หยุนตงไห่พามาทั้งหมดยังคงนอนร้องโอดโอย ไม่มีใครสักคนที่กล้าลุกขึ้นมาหยุดพวกเขา
ส่วนบรรดาชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ต่างคนต่างจ้องมองไปยังรถม้าที่ค่อย ๆ เคลื่อนจากไป พวกเขาได้แต่สงสัยว่ากลุ่มคนในรถม้านี้มาจากตระกูลไหน? ทำไมคนกลุ่มนี้ที่ดูเหมือนเพิ่งจะมาถึงเมืองหลวงถึงได้กล้าที่จะต่อกรกับบุตรชายของเจ้าเมืองหมอกเมฆา
หยุนตงไห่ ตอนนี้ลอยขึ้นไปสูงกว่า 30 เมตรแล้ว หากไม่มีใครช่วยเขาจากการตกลงมาจากท้องฟ้าในความสูงระดับนี้ เขาต้องตายอย่างแน่นอน
ในเวลานี้หยุนตงไห่กำลังกลัวราวกับวิญญาณกำลังจะหลุดออกจากร่าง ตอนนี้เขาทำได้แค่หวังว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราจะปรากฏตัวขึ้นใกล้ ๆ ไม่เช่นนั้นเขาต้องตายอย่างแน่นอน
และในพริบตาที่หยุนตงไห่เริ่มจะหมดหวัง ในที่สุดโชคของเขาก็ดีพอเมื่อมีร่างหนึ่งได้ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและช่วยเขาไว้ หยุนตงไห่เห็นคนที่ช่วยเขาเป็นอาจารย์ของสถาบันราชวงศ์คนหนึ่ง ชื่อของอาจารย์ผู้นี้คือ ฟางเหล่ยถง
หยุนตงไห่ขอบคุณฟางเหล่ยถงอย่างเร่งรีบ “ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้าอาจารย์ฟาง!”
ฟางเหล่ยถงถามด้วยความประหลาดใจ “ หยุนตงไห่? เกิดอะไรขึ้น? เจ้ามาลอยเล่นอะไรสูงขนาดนี้ ถ้าข้าไม่บังเอิญเห็นล่ะก็ เจ้าได้ตายไปแล้วแน่ ๆ”
หยุนตงไห่รีบพูดว่า “อาจารย์ฟาง เรื่องมันเป็นเช่นนี้ เมื่อครู่ข้าสะดุดตารถม้าคันหนึ่งและต้องการซื้อมัน แต่ท้ายที่สุดกลุ่มคนบนรถม้านั้น นั้นไม่เพียงแต่จะฏิเสธข้า แต่พวกเขากลับต้องการที่จะฆ่าข้าอีกต่างหาก!”
ฟางเหล่ยถงถามอย่างสงสัย “ใครกันที่ต้องการฆ่าเจ้า ใครๆก็รู้ว่าเจ้าเองก็เป็นลูกของเจ้าเมืองหมอกเมฆา จะมีใครสักกี่คนที่กล้าฆ่าเจ้ากลางวันแสก ๆ แบบนี้กัน?”
หยุนตงไห่พูดอย่างโกรธเกรี้ยว “ข้าไม่สนว่ามันเป็นใคร แต่ในเมื่อพวกมันกล้าที่จะฆ่าข้า ข้าจะต้องตอบแทนพวกมันให้สาสม!”
ฟางเหล่ยถงแม้จะอยากรู้อยากเห็น แต่เมื่อฟังจากเรื่องเล่าสั้น ๆ ของหยุนตงไห่เขาก็พอจะเดาออกว่าที่มาของฝั่งตรงข้ามนั้นอาจจะไม่ธรรมดาแน่นอน
ฟางเหล่ยถงเมื่อคิดได้ว่าเขาไม่ควรเอาตัวเองไปยุ่งเกี่ยว จึงแบกหยุนตงไห่ลงไปยังพื้นและพูดว่า “เจ้าอยากทำอะไรก็ตามใจเจ้าเถอะ ข้าขอตัวก่อนล่ะ”
หลังจากที่ฟางเหล่ยถงพูดจบ เขาก็หันตัวกลับและจากไป
ส่วนบรรดาพวกผู้เชี่ยวชาญของตระกูลหยุนที่เห็นว่าหยุนตงไห่ลงมาถึงพื้นแล้ว พวกเขาจึงรีบวิ่งเข้ามาหาหยุนตงไห่
หยุนตงไห่ในเวลานี้เขามองไปยังทิศทางที่รถม้าจากไปด้วยความเครียดแค้นและพูดขึ้น “พวกเจ้ารีบไปพาผู้เชี่ยวชาญจากตระกูลของเรามาให้หมด! วันนี้ข้าจะต้องฆ่าพวกมันทั้งหมดให้ได้!”
เมื่อพูดจบหยุนตงไห่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนมากดังกึกก้องดังใกล้เข้ามาด้านหลังเขา เมื่อเขาหันหลังไป เขาจึงเห็นกองทหารจำนวนร้อยกว่านายกำลังวิ่งตรงเข้ามาอย่างเป็นระเบียบ