ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 236 ตามล่าผู้ร้าย (๑)
ไม่เคยมีสาวใช้อื่นในจวนเลย…
สีหน้าของหยุนชางและเฉี่ยนอินค่อนข้างแย่ หากว่าในจวนท่านอ๋องไม่มีสาวใช้ แล้วสาวใช้เมื่อวานนี้มาจากไหน แล้วเข้ามาในห้องหอโดยไม่ผิดสังเกตได้อย่างไร?
“หัวหน้า โปรดนำคนที่เดิมทีรับผิดชอบเตรียมนำอาหารมาที่ห้องหอมาพบข้าหน่อย” หยุนชางกล่าวด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม หรือว่ายาเร่งกำเนิดนั้นถูกวางลงในอาหารที่นางกิน? แต่ว่าหมอตำแยกล่าวอย่างชัดเจนว่ากลิ่นบนร่างกายของนางแปลกไปเล็กน้อย อีกทั้งหากว่ามีใครลงมือในอาหารเหล่านั้น ตอนนี้อาหารได้กินไปแล้ว ภาชนะต่างๆก็คงล้างทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว เกรงว่าคงจะไม่สามารถหาต้นตอได้
หัวหน้าตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่สั่งการลงไป
ไม่นานหลังจากผู้ส่งสารจากไป จิ้งอ๋องก็กลับมา หยุนชางเห็นว่าเขาสวมชุดจิ้นจวงไว้ ชุดนั้นทำให้รูปร่างของเขามีสง่า มีเหงื่ออยู่บนหน้าผากของเขาเล็กน้อย ทันใดนั้นนางก็รู้สึกเหมือนใจเต้นเล็กน้อย
ทันทีที่จิ้งอ๋องเข้าห้องมา ก็พบว่าคนที่อยู่ให้ห้องนั้นสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก จิ้งอ๋องมองไปที่หยุนชางแล้วเห็นว่าสีหน้าของนางขาวซีดเล็กน้อย ยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน และเหมือนว่านางไม่มีท่าทีจะเอ่ยปากอธิบายใดๆ จากนั้นจิ้งอ๋องก็มองไปที่พ่อบ้าน
พ่อบ้านจึงรีบกล่าวเรื่องนี้ต่อจิ้งอ๋องอีกครั้ง จิ้งอ๋องขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าของเขาค่อยๆ เย็นชาลง “เฆี่ยนสายลับในจวนนี้คนละยี่สิบที”
พ่อบ้านตอบรับ
แต่หยุนชางกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย “เรื่องนี้เรายังไม่ได้ตรวจสอบชัดเจน ดังนั้นหากจะลงโทษ………”
นางยังพูดไม่จบ จิ้งอ๋องก็ส่ายหน้า ” ไม่ว่าด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม หากพวกเขาปล่อยให้คนแปลกหน้าเข้ามาในห้องหอได้ นั่นหมายความว่าพวกเขาประมาท หากสาวใช้คนนั้นใส่ของบางอย่างลงในอาหาร ผลที่ตามจะร้ายแรงเช่นไหน? เรื่องอื่นๆนั้นสามารถให้อภัยได้ แต่เรื่องนี้ต้องไม่ยกโทษง่ายๆอย่างแน่นอน”
หยุนชางกำลังจะเอ่ยปากแต่สุดท้ายก็เงียบลง ด้วยเหตุประการแรก นี่เป็นเรื่องของเขา และคนเหล่านั้นก็เป็นคนของเขาเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงมีสิทธิ์ที่จะลงโทษ ประการที่สอง เรื่องนี้ค่อนข้างรุนแรง หากว่าเสด็จแม่เป็นกระไรขึ้นมาจริงๆละก็ นางจินตนาการภาพนั้นไม่ออกจริงๆ
หลังจากที่จิ้งอ๋องออกคำสั่งไป ท่านก็ไม่ได้ลังเลคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ ” ข้าขอตัวไปทรงน้ำก่อน” จากนั้นก็เดินเข้าไปที่ห้องชั้นใน
พ่อบ้านไปออกคำสั่งลงโทษ หยุนชางกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แต่จู่ๆ ก็มีคนมาดึงแขนเสื้อนาง หยุนชางหันไปมองเฉี่ยนอิน แล้วพบว่านางมองไปที่ห้องชั้นในอย่างลับๆ ล่อๆ “พระชายาเจ้าคะ ท่านอ๋องเสด็จทรงน้ำ ท่านก็ควรไปปรนนิบัติมิใช่หรือเจ้าคะ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของหยุนชางก็ตะลึงเล็กน้อย ชาติที่แล้วนางก็เคยแต่งงานมาก่อน ดังนั้นนางจึงทราบดีว่าควรเข้าไปปรนนิบัติ เพียงแต่ว่า นางลังเลเล็กน้อย การอภิเษกสมรสระหว่างนางกับจิ้งอ๋องนั้น…
เฉี่ยนอินกังวลขึ้นมาเมื่อเห็นว่าหยุนชางเหม่อลอย จึงกระทืบเท้าเบาๆ “พระชายาเจ้าคะ แม้ว่าท่านจะเป็นองค์หญิง แต่ตอนนี้ท่านเป็นพระชายาของท่านอ๋องนะเจ้าคะ หากมีเพียงหม่อมฉันและพี่ฉินยีทราบเรื่องนี้ย่อมไม่เป็นกระไร แต่หากคนอื่นทราบเรื่องนี้ขึ้นมา หม่อมฉันเกรงว่ามันคงจะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงพระชายาเจ้าค่ะ”
เมื่อหยุนชางเห็นท่าทางกังวลใจเช่นนี้ของนาง ก็อดยิ้มไม่ได้ แม้ว่านางจะไม่ได้ตอบกระไร แต่นางก็หันหลังและเดินไปที่ห้องด้านใน ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเข้าไปในห้องทรง
จิ้งอ๋องหันหลังให้หยุนชางและกำลังสวมเสื้อผ้า เสื้อชั้นในยังมิได้สวมเสร็จสิ้น ไหล่สีข้าวสาลีของเขาก็เผยออกมาให้เห็น หยุนชางตกตะลึงไปชั่วขณะ ตนไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นภาพเช่นนี้ แม้ว่าก่อนหน้านี้ที่จิ้งอ๋องได้รับบาดเจ็บ นางได้เห็นเรือนร่างส่วนบนของจิ้งอ๋องแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่า จิ้งอ๋องนั้นช่างเป็นชายยอดชายเสียจริง
เมื่อสัมผัสได้ว่ามีคนเข้ามา จิ้งอ๋องจึงหันกลับไปและเห็นหยุนชาง เขาตกตะลึงเล็กน้อยหันหน้ากลับไปแล้วสวมเสื้อผ้าอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นจึงเดินไปที่หิ้งที่วางอ่าง หยิบผ้าเช็ดแล้วทำให้เปียก จากนั้นก็เช็ดหน้า “มีเรื่องกระไรหรือไม่?”
หยุนชางกัดริมฝีปากและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงถามว่า “เสด็จอาอนุญาตให้สายลับของหยุนชางเข้ามาส่งข่าวให้หยุนชางในจวนได้หรือไม่เพคะ?”
จิ้งอ๋องบิดผ้าจนแห้ง หันไปมองหยุนชาง และครุ่นคิดเป็นเวลานาน ” ร่างกายของเจ้าดีขึ้นหรือยัง?”
“ดีขึ้นแล้วเพคะ” หยุนชางพยักหน้าซ้ำๆ “นอกจากนี้ ไม่ว่าจะป่วยหรือบาดเจ็บ ขยับตัวบ้างเล็กน้อยก็ถือเป็นเรื่องดีเพคะ”
จิ้งอ๋องครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงจะพยักหน้า “ตกลง แต่ในขณะที่เจ้ายังไม่หายดี พบได้อย่างมากที่สุดครึ่งชั่วโมงต่อวัน”
ดวงตาของหยุนชางกว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย เดิมทีนางได้ยินจิ้งอ๋องตอบว่า “ตกลง” จึงคิดว่าจิ้งอ๋องเห็นด้วยแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าจะมีเงื่อนไขแนบมาด้วย
หยุนชางถอดหายใจเบาๆ ยอมรับอย่างเงียบๆด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ช่างมันเถอะ ครึ่งชั่วโมงก็ยังดีกว่าไม่มี
เมื่อจิ้งอ๋องทำธุระเสร็จสิ้น หยุนชางก็ตามจิ้งอ๋องออกมา พ่อบ้านเห็นทั้งสองคนเดินออกมาพร้อมกัน จึงรีบเข้าไป “เรียนพระชายาขอรับ คนใช้ที่นำอาหารมาส่งพระชายาเมื่อวานนี้ได้หายตัวไปแล้วขอรับ”
“หายตัวไปแล้วอย่างนั้นหรือ?” หยุนชางและจิ้งอ๋องถามขึ้นมาพร้อมกัน หยุนชางถอนหายใจ นางรู้ว่าผลจะเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เช้าแล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายมีความสามารถที่จะส่งคนมาที่จวนจิ้งอ๋อง ฉะนั้นคงไม่ยากหากคิดจะกำจัดพยานบุคคล
“ตรวจสอบ” จิ้งอ๋องกล่าวอย่างเย็นชา สีหน้าของเขาแย่ลงอย่างมาก
พ่อบ้านเช็ดเหงื่อและรีบตอบกลับพร้อมถอยออกไป
“ลองไปเยี่ยมที่พระราชวังกันก่อนเถอะ เมื่อวานนี่เจ้ากังวลเรื่องนี้ทั้งคืนแล้ว” จิ้งอ๋องหันกลับมาพูดกับหยุนชาง
นี่เป็นเพียงประโยคธรรมดา แต่หยุนชางกลับหน้าแดงขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ นางพยักหน้า “ก็ดีเช่นกันเพคะ จะได้ถือโอกาสเข้าวังถวายพระพรต่อเสด็จพ่อและเสด็จแม่พอดีเพคะ”
จิ้งอ๋องเตรียมเกวียนม้าและทั้งสองเข้าไปในพระราชวังพร้อมกัน
………
จิ่นเฟยฟื้นแล้วจริงๆ แม้ว่าสีหน้าของนางจะยังซีดเล็กน้อย แต่ก็ดูมีกำลังมากขึ้น หมอตำแยที่จิ้งอ๋องเชิญมาเมื่อวานนี้กำลังดูแลท่านอยู่ หยุนชางมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นจักรพรรดิหนิง จึงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเดินไปนั่งที่ข้างพระแท่นบรรทม
“เสด็จแม่รู้สึกอย่างไรบ้างหรือเพคะ? สบายดีหรือไม่เพคะ?” หยุนชางถามด้วยเสียงเบา
จิ่นเฟยพยักหน้าพร้อมยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วดึงมือหยุนชางมาพร้อมถามอย่างนุ่มนวล “ไม่เป็นกระไรหรอก เมื่อวานนี้หยุนชางคงตกใจมากใช่หรือไม่?”
เมื่อหยุนชางได้ยินจิ่นเฟยกล่าวเช่นนี้ นางก็รู้สึกตาร้อนอยากร้องไห้ขึ้นมา แต่ก็กลัวว่าจิ่นเฟยจะเป็นกังวล ฉะนั้นจึงพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองไว้ ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ไม่เพคะ เมื่อวานนี้เป็นความผิดชางเอ๋อร์เพคะ ชางเอ๋อร์ต้องอุบายจึงเป็นเหตุทำให้เสด็จแม่ต้องทุกข์ทรมาน”
จิ่นเฟยทราบว่านางกำลังโทษตัวเอง จึงได้ตบที่มือของนางเบาๆ แล้วพูดว่า “เจ้าเด็กโง่ ตอนนี้แม่เป็นหนามยอกอกของใครหลายคนในวังนี้ เป็นเป้าที่ทุกคนจ้องจะกำจัดทิ้ง ฉะนั้นเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับชางเอ๋อร์หรอก”
จิ่นเฟยเงยหน้ามองไปที่จิ้งอ๋องที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก พูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ชางเอ๋อร์ได้ทำให้จิ้งอ๋องลำบากหรือไม่?”
“ชางเอ๋อร์เก่งมากขอรับ” จิ้งอ๋องพูดเบา ๆ แม้ว่าเสียงนั้นดูอ่อนโยน แต่ก็เป็นคำพูดที่กระชับอย่างมาก
แม้ว่าคำพูดนั้นกระชับ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้จิ่นเฟยวางใจได้ จิ่นเฟยมองไปที่ทั้งสองคนด้วยรอยยิ้มและพยักหน้าเบาๆ ฉะนั้นก็ย่อมดี”
“เสด็จแม่อยากกลับไปพักฟื้นที่วังเฟิ่งไหลหรือไม่เพคะ?” หยุนชางถามเบา ๆ
จิ่นเฟยพยักหน้า รอยยิ้มของนางขมขื่นเล็กน้อย “ตอนนี้ดูเหมือนว่าพระราชวังนี้จะไม่เหมาะกับข้าเท่าไหร่นัก วังเฟิ่งไหลดีกว่า ไม่มีความกังวลมากเช่นนี้ รออีกสักสองวัน ให้ทารกในครรภ์นั้นคงที่ยิ่งขึ้น แล้วข้าจะกลับไปที่วังเฟิ่งไหล”
“ดีเช่นกันเพคะ” หยุนชางกล่าวเบาๆ เมื่อจิ่นเฟยกลับไปที่วังเฟิ่งไหล นางจะถือโอกาสช่วงนี้กำจัดคนในพระราชวังที่มีภัยคุกคามต่อเสด็จแม่ออกไปทีละคน
สองแม่ลูกพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง จิ่นเฟยก็รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย หยุนชางจึงไม่อยู่รบกวน นางขอให้ฉินยีดูแลเสด็จแม่ให้ดี จากนั้นนางก็ออกจากวังซีอู๋ไป
ในห้องโถงใหญ่ของวังซีอู๋ ฮองเฮากำลังฟังสารจากนางกำนัล จากนั้นนางก็โยนแก้วชาลงบนพื้นอย่างแรง ” เยี่ยมมาก! นางไม่คิดเลยหรือไงว่าใครเป็นคนเลี้ยงดูนางจนโต ตอนนี้ได้พบกับแม่แท้ๆของตนแล้ว นางก็ไม่สนใจกระไรอีกต่อไป มาถึงที่วังซีอู๋ก็มิได้มาถวายบังคมแต่อย่างใด ไม่มีความเคารพผู้อาวุโสเอาซะเลย”
ในตำหนักนั้นมีผู้หญิงอีกคนในชุดพระราชวังสีเขียวนั่งอยู่ นางปล่อยให้ชาในแก้วชากระเซ็นบนกระโปรง แล้วก็หยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปากเบา ๆ ถอนหายใจและกล่าวว่า “เมื่อวานนี้จิ่นเฟยเหนียงเหนียงเพิ่งเกิดเรื่องเช่นนั้นไป ดังนั้นองค์หญิงกังวลก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”
ฮองเฮาตอบเสียง หึ กลับไปอย่างเย็นชา แต่ไม่พูดอะไร ในตำหนักนั้นเงียบสงัด หญิงชุดเขียวไอแล้วพูดว่า “ตอนนี้ฝ่าบาททรงโปรดปรานจิ่นเฟยเหนียงเหนียงเป็นอย่างมาก นางได้กลายเป็นยอดดวงใจของฝ่าบาทไปแล้ว………”
ฮองเฮาจ้องไปที่หญิงชุดเขียว ขมวดคิ้วเล็กน้อย “หย่าผิน ฝ่าบาทไม่ได้ไปที่ตำหนักเจ้ามานานหรือยัง?”
ท่าทางของหย่าผินแข็งทื่อเล็กน้อย ในรอยยิ้มของนางมีความเศร้าเผยออกมาเล็กน้อย “ตอนนี้ได้เกิดเรื่องขึ้นกับจิ่นเฟยเหนียงเหนียง ฝ่าบาทไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นๆหรอก มี อันที่จริงตั้งแต่เดือนที่แล้วที่ฝ่าบาททราบข่าวว่าจิ่นเฟยเหนียงเหนียงจะเสด็จกลับมาที่พระราชวัง พระองค์ก็ทรงไม่ค่อยเข้ามาที่วังหลังเพคะ หม่อมฉัน…ไม่ได้พบฝ่าบาทมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วเพคะ”
เมื่อฮองเฮาได้ยินเช่นนี้ จึงรู้สึกโกรธเคืองเป็นอย่างมาก ฉะนั้นจึงหลับตาลง และเก็บซ่อนอารมณ์เหล่านั้นไว้ในดวงตาของตน หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ลืมตาขึ้น “เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ใช่วิธีที่ดีนัก เจ้าต้องคิดหาวิธี ให้ฝ่าบาทค้างที่ตำหนักเจ้าให้ได้”