ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 237 ตามล่าผู้ร้าย (๒)
สีหน้าของหย่าผินตะลึงเล็กน้อย นางก้มหน้าและตอบกลับไปว่า ” หม่อมฉัน… หม่อมฉันจะพยายามอย่างเต็มที่เพคะ ฝ่าบาททรง…………” หลังจากกล่าวเช่นนี้ นางก็ถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ ” ในพระราชวังแห่งนี้ หม่อมฉันเกรงว่าคงมีแต่จิ่นเฟยเหนียงเหนียงเท่านั้นที่ฝ่าบาททรงคะนึงอยู่ตลอดเวลา”
ฮองเฮาไม่ชอบฟังคำพูดเหล่านี้มากที่สุด นางขมวดคิ้ว และขัดจังหวะไม่ให้นางพูดต่อ
“คะนึงอย่างนั้นหรือ? จิ่นเฟยก็อยู่ในวังเย็นมาตั้งสิบกว่าปีมิใช่หรือ”
หย่าผินมิได้กล่าวกระไร และฮองเฮาก็โกรธเคืองเล็กน้อย นางจึงโบกมือ” ไปได้แล้ว หากวันว่างๆไม่มีกระไรทำ ก็ครุ่นคิดหาวิธีที่จะทำให้ฝ่าบาทอยู่ข้างๆตนเสีย นี่เป็นเรื่องสำคัญที่สุด”
หย่าผินตอบกลับ แล้วค่อยๆถอยออกไป ฮองเฮาขมวดคิ้วเล็กน้อย และนั่งอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวอย่างเสียงดังว่า “นางกำนัล เปลี่ยนน้ำชา” นางดื่มน้ำชานี้มาหลายครั้งแล้ว และรสชาติของชาได้หายไปแล้ว นางต้องการชาที่เข้มข้น รสขมเท่านั้นที่สามารถทำให้นางนึกถึงความหมายของตนที่อยู่ในพระราชวังแห่งนี้ ” นานแค่ไหนแล้วที่ฝ่าบาทมิได้เข้ามาที่ตำหนักใหญ่ในวังซีอู๋……….” ฮองเฮายิ้มอย่างขมขื่น นานเกินไปสำหรับนาง นางลืมไปหมดแล้ว
นางรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย คำพูดเหล่านั้นที่หยุนชางกล่าวกับนางในเมื่อวานนี้ ถูกจารึกอยู่ในหัวใจของนาง เหตุใดนางจึงดูเหมือนทราบทุกเรื่องที่เกี่ยวกับตนเช่นนี้ แม้แต่เรื่องของจวนหลี่ก็………ฮองเฮารู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม
“องค์หญิง องค์หญิงเพคะ โปรดรอสักครู่ ให้หม่อมฉันได้เข้าไปรายงานก่อนเถิดเพคะ” เสียงของนางกำนัลดังมาจากด้านนอก และเร่งรีบเล็กน้อย
จากนั้นก็มีเสียงของหัวจิ้งดังขึ้น “ไปให้พ้น ข้ามาพบเสด็จแม่ของตนต้องรอให้เจ้าไปรายงานด้วยหรือ?”
ฮองเฮาคิ้วขมวดเล็กน้อย ก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ก่อนหน้านี้ลูกสาวของตนนั้นดูมีมารยาทดีมาตลอด แม้ว่านางจะอารมณ์ร้อนบ้างเล็กน้อย แต่ทักษะการปักและพรสวรรค์ต่างๆของนางก็อยู่ในระดับต้นๆของพระราชวัง นี่เป็นความภาคภูมิใจของนางเช่นกัน แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่กัน นางจึงกลายเป็นเช่นนี้?
นางทำเรื่องอะไรโดยไม่คิด อีกทั้งยังทำเรื่องน่าอับอายเช่นนั้นกับชางเจียชิงซูแห่งแคว้นเย้หลาง ซึ่งทำให้ตนแทบจะไม่มีที่ยืนในพระราชวังแล้ว
ฮองเฮาคิดเช่นนี้ในใจ จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงม่านลูกปัดถูกเปิดออก ใบหน้าของหัวจิ้งปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้าฮองเฮา หัวจิ้งดูเหมือนจะผอมลงเล็กน้อย และใต้ตาของนางเป็นสีดำ มาพร้อมสีหน้าที่กังวลใจเป็นอย่างมาก
ฮองเฮารู้สึกเจ็บปวดในใจ ไม่ว่ายังไงนางก็ยังเป็นลูกสาวของตนเสมอ
“เกิดอะไรขึ้นหรือ? ถึงได้เอะอะโวยวายในวังเช่นนี้? หากว่าเสด็จพ่อของเจ้าได้ยินเข้า ก็คงโดนเสด็จพ่อต่อว่าอีก เจ้าคิดว่ายังสร้างเรื่องมาไม่พองั้นหรือ? เจ้าต้องการให้พ่อเจ้าลดตำแหน่งให้เป็นเพียงสามัญชนหรือ?” ฮองเฮากล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์
หัวจิ้งขมวดคิ้วอย่างขมขื่น และเข้าไปใกล้ฮองเฮาจึงกล่าวว่า “เสด็จแม่เพคะ ช่วยจิ้งเอ๋อร์ ด้วย ตอนนี้นางหยุนชางนางตัวดีอภิเษกสมรสกับจิ้งอ๋องแล้ว และจิ้งอ๋องดันไม่ใช่คนที่จะรังแกได้ง่ายๆ หม่อมฉันไม่สามารถอยู่ที่แคว้นหนิงได้อีกต่อไปจริงๆเพคะ เสด็จแม่ไปขอร้องเสด็จพ่อ ให้จิ้งเอ๋อร์ได้ไปที่แคว้นเย้หลางพร้อมชางเจียชิงซูเถิดเพคะ”
ฮองเฮากุมขมับ กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ ” ชางเจียชิงซู ชางเจียชิงซูงั้นหรือ! ข้าจะบอกเจ้านะ ทางที่ดีเจ้าล้มเลิกความคิดนี้เสีย เจ้าไม่มีทางได้ไปที่อภิเษกสมรสที่แคว้นเย้หลางหรอก เสด็จพ่อของเจ้าไม่เห็นด้วย ท่านตาของเจ้าก็ยิ่งไม่มีทางเห็นด้วย”
หัวจิ้งกัดริมฝีปาก ดวงตาของนางเต็มไปด้วยน้ำตา “เสด็จแม่เพคะ ตอนนี้นอกจากชางเจียชิงซูแล้ว มีใครยอมที่จะอภิเษกกับหม่อมฉันบ้างเพคะ? เสด็จแม่อยู่ในวังหลังทุกวันแน่นอนว่าไม่ทราบเรื่องกระไร ตอนนี้ลูกถูกคนในเมืองหลวงลือไปถึงไหนต่อไหนกันแล้วเพคะ พวกเขาบอกว่าลูกไร้ยางอายและไม่รักนวลสงวนตัว และทุกครั้งที่ลูกออกจากบ้านก็จะมีแต่คนตำหนิพูดถึง ลูกจะเป็นบ้าแล้วเพคะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฮองเฮาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะเย้ย แววตาของนางจ้องไปที่หัวจิ้ง “ตอนนี้เจ้ารู้แล้วหรือว่ารสชาติของการโดนชี้หน้าตำหนิเช่นนี้เป็นอย่างไร? แล้วเหตุใดตอนที่เจ้าทำเรื่องพวกนั้นเจ้าจึงไม่คิดให้ดี? หากมิใช่เพราะว่าเจ้าสร้างเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ขึ้นมา ตอนนี้ข้าจะอยู่ในพระราชวังอย่างลำบากเช่นนี้หรือ? เจ้าคิดว่ามีเพียงเจ้าคนเดียวที่ถูกตำหนิเมื่ออยู่นอกวังหรือ? แม้ว่าข้าจะเป็นพระราชินี แต่เพราะเจ้านั่นแหละ เหล่านางสนมต่างๆ แม้แต่คนในวังเมื่อต่อหน้าก็เคารพข้าอย่างมาก แต่เมื่อลับหลังก็ไม่รู้ว่าพวกนางจะเยาะเย้ยข้าเช่นไร บัดนี้เจ้ามาบอกข้าว่าเจ้าอยากไปแคว้นเย้หลาง เจ้าหนีไปโดยทิ้งทุกอย่างไว้ แล้วเจ้าจะให้ข้าทำเช่นไร?”
หัวจิ้งนั้นถูกปกป้องอย่างดีมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมานางได้ลิ้มรสความทุกข์ยากต่างๆ นานา ได้ริมรสความลำบากเมื่อถูกชางเจียชิงซูข่มเหง ได้ริมรสความกังวลหวาดกลัวเมื่อรู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ ต่อมาก็โดนหยุนชางนางตัวดีลงมือกลั่นแกล้ง ได้อยู่ในเรือนจำมานานกว่าสองเดือน สองเดือนนั้นนางมีแต่ความแค้น คิดอยากจะฆ่านางตัวดีนั้นทิ้งเสีย แต่ไม่คาดคิดว่าหลังจากออกมาแล้ว ตนยังไม่ทันได้ทำอะไร ก็แท้งต่อหน้าผู้คน คราวนี้ทุกคนทราบแล้วว่านางนั้นเป็นผู้หญิงเหลวไหล พระสวามีตัวเองไม่อยู่แต่นางกลับตั้งครรภ์ซะงั้น ทุกๆคืนนางฝันว่ามีคนจำนวนมากชี้หน้าต่อว่านาง นางกำลังจะเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ
เมื่อเข้ามาในวังกลับถูกเสด็จแม่ของตนต่อว่าเช่นนี้ นางจึงรู้สึกอัดอั้นในใจจนแทบจะบ้าคลั่งไปแล้ว นางจ้องมองไปที่เสด็จแม่ของตนอย่างเย็นชา หัวจิ้งหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้ “หึหึ ไม่อนุญาตอย่างนั้นหรือ? พวกท่านเคารพการตัดสินใจของหม่อมฉันบ้างได้หรือไม่? ก่อนหน้านี้หม่อมฉันไม่ต้องการอภิเษกสมรส แต่พวกท่านกลับบังคับให้หม่อมฉันอภิเษกสมรสกับจ้าวอิงเจี๋ย เรื่องนี้หม่อมฉันยอมแล้ว และเมื่อมาถึงวันนี้พวกท่านกลับไม่อนุญาตอีก? มีสิทธิ์อะไรหรือ?”
ฮองเฮาขมวดคิ้ว และนางรู้สึกแน่นหน้าอกเล็กน้อยเพราะคำพูดที่ดื้อรั้นเช่นนี้ของหัวจิ้ง ” มีสิทธิ์อะไรอย่างนั้นหรือ? ทุกอย่างที่เจ้ามีในวันนี้ข้าเป็นคนให้เจ้า เจ้าคิดว่ามีสิทธิ์อะไรหรือ?”
หัวจิ้งเหลือบมองฮองเฮาอย่างเย็นชา จากนั้นก็หันหลังและวิ่งออกไป
ฮองเฮารู้สึกราวกับว่ามีก้อนน้ำแข็งเข้ามาอยู่ในหัวใจของตน มันเย็นจนทำให้นางตัวสั่นอย่างห้ามไม่ได้ ดีจริงๆเยี่ยมจริงๆ นี่คือลูกสาวที่ตนสอนออกมาเอง เยี่ยมมาก!
“สั่งให้คนจับตาดูองค์หญิงหัวจิ้งให้ดี” นางทราบดีว่ามหาเสนาบดีหลี่กำลังจะทำการใหญ่ในเร็วๆนี้ และตอนนี้มาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ นางต้องไม่ปล่อยให้หัวจิ้งทำลายมัน ไม่อย่างนั้นตนก็คงไม่มีทางที่จะรักษาชีวิตนางไว้ได้แล้ว
ทันทีที่จิ้งอ๋องและหยุนชางกลับมายังจวนท่านอ๋อง พ่อบ้านก็วิ่งเข้ามาและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง พระชายาขอรับ แม่นางไป๋ขอพบขอรับ”
แม่นางไป๋? หยุนชางหันหน้าไปมองจิ้งอ๋อง
จิ้งอ๋องกระซิบ “แม่นางไป๋คือเจ้าของหอฉีเซียงในเมืองหลวง เมื่อวานข้าสั่งให้คนนำเครื่องหอมที่เจ้าใช้ไปให้แม่นางไป๋ดู ที่นางมาวันนี้ อาจมาบอกผลให้เราทราบ เจ้าไปกับข้าเถอะ”
หยุนชางพยักหน้าและไปที่ห้องโถงด้านหน้ากับจิ้งอ๋อง
มีหญิงสาวนั่งอยู่ในห้องโถงด้านหน้า เป็นหญิงสาวที่แปรงผมเป็นผมวัยกลางคน นางมิได้สวยมากนัก แต่ด้วยท่าทีที่สบายไม่เกรงกลัวใดๆ จึงทำให้หยุนชางอดมองไม่ได้ เมื่อสักครู่นี้จิ้งอ๋องแนะนำเช่นนั้น นางก็คิดว่าแม่นางไป๋นั้นเป็นหญิงวัยกลางคนอายุราวๆสี่สิบกว่า แต่ไม่คาดคิดว่านางจะยังสาวเช่นนี้
เมื่อเห็นจิ้งอ๋องและหยุนชางเดินเข้ามา แม่นางไป๋ที่กำลังจิบชาอยู่จึงค่อยๆวางแก้วชาลง ลุกขึ้นยืนและคารวะทั้งสอง กล่าวอย่างใจเย็นว่า “คารวะท่านอ๋อง พระชายาเพคะ”
หยุนชางเริ่มสงสัยมากขึ้น แม้ว่านางจะไม่ออกไปไหนบ่อยนัก แต่นางก็เคยได้ยินชื่อเสียงของหอฉีเซียง ได้ยินมาว่ากลิ่นหอมของเครื่องแป้งที่ทำจากหอนี้นั้นมีกลิ่นหอมที่พิเศษและคงอยู่ได้นาน อีกทั้งเจ้าของร้านนั้นเป็นคนที่มีคนสนับสนุน จึงได้บริหารจนหอฉีเซียงนั้นมีชื่อเสียงอย่างมาก ปฏิกิริยาที่นางเห็นจิ้งอ๋องและตนในเมื่อสักครู่นั้น ไม่มีความเยินยอ และไม่ประหม่า ท่าทีและเสียงของนางไม่เร่งรีบไม่เชื่องช้า ดูสงบและสบายอย่างมาก
แม่นางไป๋เห็นว่าจิ้งอ๋องและหยุนชางประทับตรงที่นั่งหลักแล้ว นางจึงเอามือทั้งสองประสานกันและกล่าวว่า “แม้ว่าเครื่องแป้งของพระชายาที่ส่งมาเมื่อวานนี้จะเป็นของหอฉีเซียงของหม่อมฉัน แต่ทว่า ของที่ท่านอ๋องส่งมาเมื่อวานนี้ มีกลิ่นหนึ่งซึ่งเป็นกลิ่นที่ไม่เคยมีมาก่อนในเครื่องแป้งเจ้าค่ะ นั่นก็คืออี๋เซียง แม้ว่าสิ่งนี้จะเรียกว่าอี๋เซียง แต่กลับไม่มีกลิ่นหอมเลย ฉะนั้นหากจะพบส่วนผสมนี้ด้วยการดมหากลิ่นนั้น ยากยิ่งนัก เพียงแต่ส่วนผสมสิ่งนี้ไม่ได้บดละเอียดมากนัก เมื่อเทียบกับแป้งเนื้อเนียนแล้วจะแยกแยะได้ง่ายกว่า เพราะมีส่วนผสมของอี๋เซียง เครื่องแป้งกล่องนั้นจึงหยาบเล็กน้อย และคนธรรมดาอาจไม่รู้สึกเท่าไหร่ หม่อมฉันรับรู้ได้เพียงเพราะคลุกคลีอยู่กับเครื่องแป้งมานานเจ้าค่ะ จึงสามารถแยกแยะออกมาได้”
หยุนชางพยักหน้า “แล้วอี๋เซียงนี้ทำอะไรได้บ้างหรือ?”
แม่นางไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย “หากพูดเอาจริงๆ อี๋เซียงนี้มิได้มีความพิเศษกระไรเจ้าค่ะ พูดได้ว่าแทบจะไม่มีประโยชน์กระไรเลยเจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ?” หยุนชางเงียบลง ในเมื่อพยายามทุกทางเพื่อที่จะเพิ่มอี๋เซียงนี้เข้าไปในเครื่องแป้ง แต่กลับไม่มีประโยชน์อันใด แล้วทำเช่นนี้เพื่อเหตุอันใดหรือ?”
จิ้งอ๋องพูดขึ้นทันทีว่า ” หากใช้เพียงอี๋เซียงคงไม่มีประโยชน์กระไร แล้วหากใช้ร่วมสิ่งของอย่างอื่น จะมีผลกระไรที่พิเศษหรือไม่?”
หยุนชางหรี่ตาลง เช่นนี้ก็เป็นไปได้ แม้ว่ายาเร่งกำเนิดนั้นจะหายาก แต่ก็ไม่ถือว่าพิเศษกระไร ในงานอภิเษกเมื่อวานนี้มีคนที่รู้วิชาเรื่องยาและการรักษาอยู่มาก หากว่าตัวหยุนชางมีของเช่นนี้ติดตัวมา ก็คงไม่สมเหตุสมผลที่ไม่มีใครดูออกเลย
“เรื่องนี้ หม่อมฉันไม่ทราบเจ้าค่ะ หม่อมฉันเกรงว่าอาจจะหาหมอมาตรวจจึงจะทราบเจ้าค่ะ” แม่นางไป๋กล่าวด้วยเสียงเบาๆ