ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 246 สงครามในจวนเสนาบดี (๒)
หัวจิ้งพลางจับมือพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เสด็จประทานสมรสให้แล้วยังไงหรือ ? รอจนกว่าท่านตาจะกลับจวนก่อน แล้วข้าจะบอกกล่าวท่านตาด้วยตัวเอง หากอยู่ในจวนเสนาบดีแล้วสามารถโหวกเหวกโวยวายได้ตามใจชอบแล้วล่ะก็ หากนางตายได้ก็ดี แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะง่ายไปหน่อย”
แม้ว่าภายในใจของฮูหยินเสนาบดีจะเบิกบานเล็กน้อย ทว่านางก็มีความกังวลเป็นอย่างมาก พลางขมวดคิ้วเล็กน้อยและกลับไปนั่งบนที่นั่งดังเดิม
เมื่อผ่านไปชั่วครู่ ท่านหมอจึงมาดูอาการให้หัวจิ้งแล้วจึงรีบร้อนออกไป หัวจิ้งหยิบกระจกขึ้นมามองใบหน้าของตนเอง พลางเห็นแก้มด้านซ้ายของนางเป็นรอยแดงเมื่อถูกทายาน้ำกลับทำให้ใบหน้าดูน่าเกลียดมากยิ่งขึ้น ความโกธรแค้นต่อชางเจีย เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว โกธรจนเขวี้ยงกระจกในมือทิ้ง “หากท่านตากลับมาเมื่อใด ข้าจะเขาจัดการแน่”
ฮูหยินเสนาบดีจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางพูดออกมาว่า “จิ้งเอ๋อร์วันนี้มาที่จวนมีอะไรงั้นหรือ ?”
หัวจิ้งพลันนึกถึงจุดประสงค์ที่มาในวันนี้ได้ พลางยิ้มออกมา ทว่า เมื่อยิ้มออกมาแล้วกลับเจ็บไปที่ใบหน้า ในใจพลันกรนด่าชางยางอวี้เอ๋อร์ไปหลายคำ จึงพูดว่า ” โอ้ เรื่องเป็นเช่นนี้ วันนี้หม่อมฉันได้คุยกับสตรีทั้งหลาย กลับมีฮูหยินท่านหนึ่งบอกว่า ได้ยินว่าพี่สาวอิ๋งอิ๋งยังมิได้ออกเรือน อีกทั้งบุตรชายคนโตของนางก็ยังมิได้ออกเรือนเช่นเดียวกัน ฉะนั้นนางจึงอยากให้หม่อมฉันมาถามถึงความคิดเห็น เดิมทีหม่อมฉันต้องการมาถามความเห็นของพี่สาว ทว่าเมื่อส่งจดหมายมา พลันได้ยินมาว่า พี่สาวไปไหว้พระข้อพรที่วัดจิ้งซี หม่อมฉันคิดว่า การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ยังไงก็ต้องมาคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่ก่อนเป็นอย่างแรก หม่อมฉันเลยมาถามความเห็นของท่านยายก่อน
เมื่อฮูหยินเสนาบดีได้ยินหัวจิ้งพูดดังนั้นจึงคล้อยตาม “อื้ม อิ๋งอิ๋งก็อายุไม่น้อยแล้ว แต่ก่อนยายช่วยหาชายหนุ่มหลายตระกูลมาให้นาง ทว่านางกลับไม่ชอบเลยสักคน ข้ารู้สึกเจ็บปวดแทนนาง พลันคิดว่านางยังเล็ก หากนางไม่ชอบ ก็จะไม่บังคับ มิคิดว่า ผ่านไปชั่วครู่ อิ๋งอิ๋งนางจะอายุยี่สิบแล้ว หากแต่งได้ตระกูลที่ดี ก็นับเป็นโชคไป ”
“ภาพลักษณ์พี่สาวมิได้แย่ จะต้องมีตระกูลดีดีมาสู่ของอย่างแน่นอน. เกรงว่าพี่สาวจะไม่ชอบใจ ถึงตอนนั้นจะมาโทษเป็นความผิดของข้าได้ ” หัวจิ้งว่าพลางก้มหน้าลง สายตาเต็มไปด้วยความเย็นชา หลี่อิ๋งอิ๋งอาหลี่อิ๋งอิ๋ง ไม่ชายเลยที่เปิ่งกงจู่จะถูกใจใครสักคน แต่เจ้ากลับคิดมาแย่งของเปิ่งกงจู่ไป อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจแล้วกัน
“พูดอะไรไร้สาระ เจ้าทำแบบนี้เพื่อให้นางเจอแต่สิ่งที่ดีๆ. ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ยายจะบอกกับนางเอง เจ้าไม่ได้มาที่จวนนานแล้วอยู่กินมื้อค่ำด้วยกันก่อน อีกสักครึ่งชั่วยามท่านตาก็จะกลับมาแล้ว พวกเจ้าสองคนไม่ได้เจอกันมานานมากแล้ว” ฮูหยินเสนาบดีเอ๋ยอย่างแผ่วเบา
หัวจิ้งยิ้มแห้งๆ ท่าตา นางไม่กลัวอะไรตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ทว่าวันนี้นางรู้สึกกลัวคุณปู่เล็กน้อย แต่กลับต้องอยู่กินมื้อค่ำอยู่ที่นี่
สองยายหลานพูดคุยอยู่พักนึง เสนาบดีหลี่จึงกลับมาที่จวนพอดี เมื่อได้ยินว่าหัวจิ้งมาหา เสนาบดีจึงเดินทางมายังตำหนักจิ้งหย่า เมื่อเห็นสภาพของหัวจิ้งแล้วพลันตกตะลึง “ทำไมใบหน้าเจ้า ถึงได้เป็นเช่นนั้นได้ ?”
เมื่อหัวจิ้งได้ยินคำเช่นนั้น ก็ขบริมฝีปากด้วยน้ำตาคลอเบ้า “จิ้งเอ๋อร์ไม่ได้ออกไปข้างนอก แต่ว่าเมื่อนางมาก่อนหน้านี้ บังเอิญว่าเห็นว่าชางยางอวี้เอ๋อร์ตะโกนใส่ท่านยาย อีกทั้งนางยัง ดูหมิ่นท่านยายอีก ไม่เหมือนครั้งแรก ท่านยายแต่เดิมเป็นคนอารมณ์ดี แม้โดนตะโกนใส่ก็ยังไม่ตอบโต้ ถึงแม้ว่าชางยางอวี้เอ๋อร์จะเป็นเสด็จพ่อประทานสมรสให้ก็จริง อีกทั้งยังมีเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านตาอยู่ด้วย ถึงไม่กล้สต่อปากต่อคำ ทว่าข้ากลับคิดว่ามันเกินไป เมื่อตำหนินางไปสักสองสามประโยค ไม่คาดคิดว่าจะลงมือกับนางที่เป็นองค์หญิงได้
ขณะที่นางพูด พลางก้มศีรษะลงแล้วลดเสียงลง “เป็นความจริงที่จิ้งเอ๋อร์ไม่ควรไปตำหนินางเลย แต่ตอนนี้นางกลับหยิ่งผยอง ไม่ว่าเกรงกลัวกฎของครอบครัว หากนางไม่เชื่อฟังเกรงว่าไม่รู้ว่าจะก่อปัญหามากขนาดไหน นางมาจากคนของแคว้นเย้หลาง. หากนางพูดอะไรที่ไม่ควรพูดข้างนอกแล้ว นั้นจะเป็นการสร้างปัญหาให้กับท่านตาและตระกูล”
คำพูดเหล่านี้ถูกสอนโดยภรรยาของนายกรัฐมนตรี หั้วจิ้งแอบชื่นชมในใจ ตอนนั้นเองที่เธอเห็นความเย่อหยิ่งของชางยางอวี้เอ๋อร์ต่อหน้าท่านยายขอนาง นางจึงคิดว่าท่านยายโดนถูกรังแก แท้จริงแล้ว ล้วนแต่อยู่ในความควบคุมของท่านยาย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสนบดีพลันขมวดคิ้ว จ้องเขม็งไปที่ฮูหยินเสนาบดี ทว่านางกลับหันหน้าหนีเล็กน้อย เขาจึงเชื่อแล้วว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง แม้ว่าหัวจิ้งจะพูดเกินจริงไปบ้าง ทว่าบาดแผลบนใบหน้าล้วนเป็นของจริง อารมณ์ของชางยางอวี้เอ๋อร์นั้นเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว เมื่อหัวจิ้งเจอเช่นนี้จึงรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมต่อนาง
หลังจากถอนหายใจ เสนาบดีหลี่กล่าวว่า “เจ้าจะทำอะไรกลับนาง”
หัวจิ้งก่นด่า “โดยปกติข้าไม่กล้าทำอะไรกับนาง ทว่าให้คนพานางไปยังศาลตัดสินแล้ว ไม่มีความเคารพต่อองค์หญิงต้องได้รับโทษ ”
เสนบดีพลันขมวดคิ้วอีกทั้งยังไม่เห็นด้วยกับการกระทำของ หัวจิ้ง หากเรื่องนี้ถึงศาลแล้ว เขาจะเป็นเสนบดีได้อย่างไรหากไม่จัดการหลังบ้านตัวเองให้เรียบร้อย เขากลับเข้าใจความรู้สึกของหัวจิ้ง นางคงรู้สึกไม่เป็นธรรมอยู่บ้าง
ในใจพลันคิดว่า “ตารู้ดีว่าเจ้าถูกกระทำ แต่ไม่เหมาะสมจริงๆ ที่จะให้เรื่องไปถึงศาล ปล่อยนางกลับมาเถอะ หลังจากที่นางกลับมาแล้วจค่อยมาสะสางกัน ดีหรือไม่ ?”
หัวจิ้งส่ายหัว “ท่านตาต้องหลอกข้าแน่ สตรีที่อารมณ์ฉุนเฉียวกำลังตั้งครรภ์ ท่านตาฉันจะเต็มใจจัดการกับนางด้วยกฏของตระกูลได้หรือ”
เสนาบดีหลี่พลันขมวดคิ้วเล็กน้อย สบตากับฮูหยินที่หน้าซีดตรงหน้า และเขาพูดอย่างโหดเหี้ยมว่า “ข้าไม่รู้ว่านางเป็นใคร หากเป็นคลอดออกมาได้ก็นับเป็นโชคของนาง หากคลอดไม่ได้ นางจะโทษคนอื่นได้ยังไง เมื่อแต่งเข้ามาในจวนเสนาบดีแล้ว ก็ต้องทำตามกฏของจวนเสนาบดี”
เสนาบดีหลี่ไม่ได้ไร้ความสามารถ โดยธรรมชาติ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ในครอบครัวก็ชัดเจนเช่นกัน หลังจากเข้าไปในคฤหาสน์ ชางยางอวี้เอ๋อร์ก็สร้างความอับอายให้กับฮูหยินของเขามากมายเพียงเพราะเสนาบดีหลี่ไม่สามารถพูดอะไรได้ เนื่องจากว่าเป็นสมรสพระราชทาน การแต่งงานชางยางอวี้เอ๋อร์ ยังคงเป็นลูกสาวที่ชอบธรรมของราชครูแคว้นเย้หลาง เขายังจัดการได้ยากเล็กน้อยดังนั้นเขาจึงแกล้งทำเป็นปิดตาข้างหนึ่ง
เหตุการณ์นี้เพิ่งปรากฏออกมาเท่านั้น ไม่เหมาะสม ที่เขาจะแสร้งทำเป็นหูหนวกบ้าใบ้ได้ ภูมิหลังทางครอบครัวของฮูหยินเขาก็ไม่ได้ต่ำต้อย เขาไม่สามารถทำผิดพลาดได้ในขณะนี้ ตรงกันข้าม ผู้หญิงต่างแคว้นนั้นไม่ได้สำคัญขนาดนั้น
เมื่อได้ยินสิ่งที่เสนาบดีกล่าว หัวจิ้งก็โล่งใจ แม้ว่าเธอจะยังลังเลอยู่เล็กน้อย แต่เธอก็ยังตอบตกลง
ขณะที่เขาพูดอยู่นั้น เสียงของหลี่อิ๋งอิ๋งก็ดังมาจากนอกประตู “ท่านตากลับมาแล้วเหรอ?”
แสงเย็นวาบในดวงตาของหัวจิ้ง นางก้มหน้าลง พร้อมงับความโกรธในใจของนาง เมื่อเงยหน้าขึ้นมองไปยังผู้หญิงที่เดินเข้ามา สตรีนางนั้นสวมชุดสีชมพู ผ้าคลุมสีขาว กระโปรงปักด้วยดอกเหมยสองสามดอกด้วยด้ายสีเงิน และผมของเธอถูกหวีด้วยมวยผมซาลาเปา เธอดูสง่างาม ใบหน้าของเธอสดใสแต่ไม่มีเสน่ห์ ด้วยดอกเหมยที่วาดระหว่างคิ้วของเธอทำให้ดูเป็นสาวหวานขึ้นมา
ฮัวจิงเห็นว่าเธอแต่งตัวอย่างจงใจ และอดไม่ได้ที่จะคาดเดา หรือเพราะนางคิดว่านางสามารถคว้าหย่าซีมาได้ นางจึงแต่งตัวแบบนี้เพื่อไปพบหย่าซี ความคิดนี้ทำให้นางโกรธมากขึ้น
“พี่สาวอยู่ที่นี่เหรอ?” ยิ่งหัวจิ้งโกรธมากเท่าไหร่ รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็ยิ่งสดใส
หลี่อิ๋งอิ๋งพลันตกตะลึง ดวงตาของเธอจ้องไปที่ใบหน้าของหัวจิ้ง รับร้อนพูดว่า “เกิดอะไรขึ้นกับใบหน้าขององค์หญิงกัน ?”
หลังจากพูดเสร็จ นางก็คำนับเสนาบดีหลี่และฮูหยิน
และลุกขึ้นมานั่งข้างกายหัวจิ้ง “ข้าได้รับจดหมาย จากองค์หญิงทันทีที่กลับถึงจวน ทว่าตอนนี้ฉันเหนื่อยเล็กน้อยจากการเดินทาง ดังนั้นจึงไม่ได้ไปที่วังขององค์หญิง องค์หญิงมีปัญหาอะไรรึเพคะถึงรับร้อนมาเช่นนี้”
ฮัวจิงยิ้มเล็กน้อย ไม่เป็นไรนางไม่ได้พูดคุยกับลูกพี่ลูกน้องของนางนานมาก วันนี้เมื่อได้ยินข่าวลือ นางเลยส่งจดหมายมาบอก
“ข่าวลือเกี่ยวกับข้า?” หลี่อิ๋งอิ๋งเหลือบมองมายังหัวจิ้งด้วยความสงสัยในแววตาของเธอ “ข่าวลืออะไรของข้า?”
หัวจิ้งยิ้ม “ข้าจะบอกท่านทีหลัง”
หลังจากรับประทานอาหารเย็นกับเสนาบดีหลี่และฮูหยินเรียบร้อยแล้ว หัวจิ้งจึงขอตัว พลางบอกว่าจะไปที่สวนกับหลี่อิ๋งอิ๋งเพื่อพักผ่อน
แม้ว่าหลี่อิ๋งอิ๋งจะไม่รู้ว่าหัวจิ้งกำลังทำอะไรอยู่ แต่เธอก็ทำได้เพียงเดินตามเท่านั้น ทั้งสองคนเดินไปรอบ ๆ สวน เมื่อหัวจิ้งเห็นว่ามีคนอยู่ไม่มากนัก ดังนั้นนางจึงลดเสียงลงแล้วพูดว่า “วันนี้ข้ากำลังพูดคุยกับสตรีท่านอื่นอยู่ พลางมีคนบอกว่าเห็นพี่สาว อยู่ในสถานที่ที่ไม่ค่อยดี เปิ่งกงจู่ได้ยินดังนั้น รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ ท้ายที่สุด มันเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของพี่สาว ข้ารู้สึกกังวลใจมาก ดังนั้น ข้าจึงมาสอบถามกับพี่สาว”
หลี่อิ๋งอิ๋งพลันตกตะลึง และความตื่นตระหนกแวบวาบในดวงตาของเธอ “อะไรนะ? เห็นที่ไหน? ฮูหยินผู้นั้นมองผิดแล้ว?”
หัวจิ้งกลอกตาไปมาพลางจ้องไปที่หลี่อิ๋งอิ๋ง “ร้านซุ่ยอวี้”