ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 252 ความวุ่นวายในเมืองหลวง (๒)
หยุนชางพยักหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “อย่าได้กังวลไป อัครมหาเสนาบดีหลี่ก่อการกบฏ แต่ฝ่าบาทปลอดภัยดี ท่านอยู่ในวังมานานขนาดนี้แล้ว รู้หรือไม่ว่ามีสนมคนใดที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดฮองเฮาและสนมผู้ใดที่เป็นศัตรูของฮองเฮา?”
“หม่อมฉันไร้ความสามารถแต่ความสัมพันธ์ในวังหลังนั้นหม่อมฉันค่อนข้างมั่นใจและเคยยืนยันมาแล้ว”
“อืม เป็นเช่นนี้ช่างดีนัก ดูเหมือนว่าฮองเฮาจะปิดบังพวกท่าน เช่นนั้นท่านก็ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเถอะ เพียงแต่ให้คอยหมั่นไปเยี่ยมเยียนคนอื่นๆ เท่านั้น ท่านพูดกับฮองเฮาว่าฝ่าบาทเสด็จไปอยู่เป็นเพื่อนจิ่นเฟยเพื่อรอประสูติที่วังเฟิ่งไหลมาระยะหนึ่งแล้ว เมื่อฝ่าบาทเสด็จกลับมาในวังก็คงจะมีเด็กน้อยมาเพิ่ม ตอนนั้นฝ่าบาทก็คงจะจัดงานเฉลิมฉลองขึ้นอย่างแน่นอน ไม่มีเรื่องน่ายินดีในวังมานานแล้วจึงอยากเรียกเหล่านางสนมที่รำเก่งมาร่ายรำให้ฝ่าบาทดู ท่านผูกมิตรกับฮองเฮามานานขนาดนี้แล้ว คงไม่ต้องให้ข้าสอนว่าจะต้องพูดอย่างไร จากนั้นเมื่อฮองเฮาทรงอนุญาตแล้ว ท่านก็ใช้ข้ออ้างเรื่องซ้อมรำไปที่ตำหนักอื่นๆ และบอกกับพวกนางเช่นนี้…” หยุนชางโน้มตัวกระซิบข้างหูของหย่าผินและกำชับอย่างระมัดระวัง
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยืดตัวตรงขึ้นอีกครั้ง “เหล่านางสนมในวังหลังเหล่านี้ดูเหมือนว่างงานในยามปกติ แต่พวกเขาก็รู้ดีที่สุดว่าจะเลือกสิ่งที่ดีสำหรับตนเองอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นพวกนางต่างก็ไม่มีใครไม่ใช่คนเจ้าแผนการ เพียงแต่ท่านต้องพิจารณาก่อนว่าควรจะพูดเรื่องนี้อย่างไร” นางพูดพลางหยิบป้ายจากเอวส่งให้หย่าผิน “นี่เป็นตราพระชายาของหม่อมฉัน หากมีนางสนมคนใดที่ไม่เชื่อ ท่านก็จงแสดงให้นางดู อีกไม่นานข้าจะให้คนส่งจดหมายมาหาท่าน”
หย่าผินรับมาด้วยมือที่สั่นเทา แล้วจึงตอบรับ “ยามนี้เวรยามในวังเข้มงวดยิ่งนัก องค์หญิงโปรดระวังตัวด้วย”
หยุนชางพยักหน้า “เข้าใจแล้ว เดี๋ยวข้าจะไปที่ตำหนักของเมิ่งเจี๋ยยวี๋สักครู่ ที่นั่นท่านไม่จำเป็นต้องไปหรอก” หยุนชางกระซิบ ฉินเมิ่งเป็นคนฉลาด แต่นางเป็นนกสองหัว นางจึงต้องไปเกลี้ยกล่อมด้วยตนเอง มิฉะนั้นหากเรื่องนี้ถูกรู้ไปถึงหูของฮองเฮาแล้วคงจะแย่มาก แม้ว่าตอนนี้ฉินเมิ่งจะไม่ค่อยถูกกับฮองเฮานัก แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่านางเคยรับใช้ฮองเฮามาก่อนได้
หลังจากที่จากหย่าผินมาแล้ว หยุนชางก็ไม่ได้ไปหาเมิ่งเจี๋ยยวี๋ในทันที แต่กลับไปยังที่ที่ห่างไกลผู้คน ซ่อนตัวอยู่ในความมืดคอยประเมินดูการวางกำลังพลของทหารรักษาการณ์ในพระราชวัง นางเห็นว่าทุกหนทุกแห่งมีการวางกำลังกวดขันขึ้นกว่าเดิมมาก จึงได้ให้สายลับสิบคนแยกย้ายไปสำรวจกำลังทหารและจำเอาไว้ เมื่อกลับไปแล้วนางจะวาดภาพออกมา
หลังจากที่สั่งการเสร็จสิ้นแล้ว หยุนชางก็รีบไปที่ตำหนักของฉินเมิ่ง ฉินเมิ่งไม่ใช่คนโปรด แต่จักรพรรดิหนิงก็มาหานางบ้างเป็นครั้งคราว คนในตำหนักของนางก็เป็นคนที่หยุนชางให้ลอบแฝงตัวเข้ามา หยุนชางส่งสัญญาณลับเพื่อยืนยันว่าในตำหนักปลอดภัยหรือไม่ แต่กลับได้รับคำตอบทันที หยุนชางประหลาดใจมาก ฮองเฮาอยู่ที่นี่งั้นหรือ?
หยุนชางขมวดคิ้วและหรี่ตาลง ฮองเฮาก็นับว่าเป็นคนเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตอยู่เช่นกัน แม้นางจะรู้ว่าฉินเมิ่งเกลียดนาง แต่นางก็ยังมาหาฉินเมิ่ง เพียงแต่ในเวลานี้ นางจะพูดอะไรกับฉินเมิ่งกันแน่?
หยุนชางไม่กล้าเข้าใกล้ กลัวว่าจะถูกฮองเฮาเห็นเข้า นางจึงซ่อนตัวอยู่ในป่าไผ่นอกตำหนักและมองดูแสงเทียนในตำหนัก เงาร่างของหญิงสาวทั้งสองทาบลงบนหน้าต่าง ผู้ที่สวมมงกุฎคงจะเป็นฮองเฮา อีกคนก็คงเป็นฉินเมิ่ง ทั้งสองนั่งตรงข้ามกัน ฮองเฮาดูเหมือนจะกำลังอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง เงานั้นดูเหมือนกำลังหัวเราะและพูดคุยอะไรบางอย่างกับฉินเมิ่ง ฉินเมิ่งดูกระวนกระวายใจเล็กน้อย หยุนชางเห็นว่ามือของนางแอบกำหมัดแน่นอยู่ใต้โต๊ะ
หยุนชางเฝ้าดูทั้งสองพูดคุยกันอยู่สักพักก่อนที่ฮองเฮาจะลุกขึ้น ฉินเมิ่งจึงรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและตามนางออกมาจากตำหนัก
ครู่หนึ่งหยุนชางก็ได้รับสัญญาณจากสายลับ นางจึงเข้าไปที่ตำหนัก เปิดหน้าต่างแล้วม้วนตัวเข้าไปและเลี่ยงหน้าต่างบานที่ถูกแสงส่อง แล้วเดินไปนั่งลงข้างเตียง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินเมิ่งก็เดินเข้ามาจากด้านนอก แต่ดูเหมือนนางจะมีอะไรในใจ เมื่อเข้ามาก็เพียงหันหลังให้หยุนชาง หยุนชางหัวเราะเสียงเย็น “ดูเหมือนเมิ่งเจี๋ยยวี๋จะสนทนากับฮองเฮาอย่างสนุกสนานเลยนะ?”
ฉินเมิ่งตัวสั่นเทิ้ม เมื่อหันศีรษะมาก็เห็นหยุนชางนั่งอยู่ข้างเตียง มองนางด้วยรอยยิ้มกว้าง แต่ดวงตากลับดูเย็นชา
ฉินเมิ่งตกใจมา นางรีบเดินเข้าไปคุกเข่าลงด้านหน้าหยุนชาง “หม่อมฉันไม่รู้ว่าองค์หญิง… พระชายาจะมา โปรดอภัยด้วยที่หม่อมฉันไม่ได้ต้อนรับเพคะ”
“ข้าจะกล้ารับการต้อนรับเมิ่งเจี๋ยยวี๋ได้อย่างไรกัน? เมิ่งเจี๋ยยวี๋ไม่มีอะไรอยากบอกข้าหรือ?” หยุนชางยังคงยิ้มบางๆ
ฉินเมิ่งกัดริมฝีปากของนางก่อนจะพูดว่า “ที่วันนี้ฮองเฮามาพบหม่อมฉันเพราะอยากให้หม่อมฉันทำอะไรบางอย่างให้นาง”
“อ้อ เรื่องอะไรทำไมนางถึงต้องมาที่นี่ด้วยตนเอง?” หยุนชางเลิกคิ้วขึ้น
ฉินเมิ่งหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนที่นางจะตัดสินใจพูดว่า “หม่อมฉัน… ท้อง… ”
แม้ว่าหยุนชางจะคาดเดาหลายสิ่งหลายอย่างไว้ในใจแล้ว แต่นางก็ไม่เคยคิดว่าจะเป็นเรื่องนี้ นางอดแสดงสีหน้าตกใจเล็กน้อยออกมาไม่ได้ ฉินเมิ่งถอนหายใจ “หม่อมฉันรู้สถานะของตนเองดีว่าไม่ควรตั้งครรภ์ เพียงแต่อย่างไรเขาก็เป็นลูกของหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่รู้ว่าฮองเฮารู้เรื่องได้อย่างไร หม่อมฉันไม่มีทางเลือก ตอนนี้ฮองเฮา… หม่อมฉันกลัวว่านางจะไม่ยอมปล่อยลูกในท้องของหม่อมฉันไปจึงได้ขอร้องให้นางยกโทษให้ เมื่อครู่ที่นางมาก็เพื่อบอกว่านางต้องการให้เด็กเกิดและถูกเลี้ยงดูภายใต้ชื่อของนาง… ”
“หืม? แล้วเจ้าเห็นด้วยหรือไม่?” หยุนชางระงับความตกใจในใจของนางแล้วกล่าวอย่างเรียบเฉย
ฉินเมิ่งเพียงกล่าวว่า “หม่อมฉันไม่มีทางเลือก ฮองเฮาต้องการแย่งลูกของหม่อมฉันไป แต่หม่อมฉันก็รู้ว่าหากหม่อมฉันไม่รับปากนาง เด็กคนนี้ก็จะไม่มีแม้แต่โอกาสได้พบกับหม่อมฉันสักครั้ง… หม่อมฉันต้องการไม่มาก เพียงให้เขาได้มีชีวิตที่ดีก็พอแล้ว… ”
หยุนชางได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มอย่างเงียบๆ แต่ดวงตาของนางฉายแววเย็นเยียบยากเข้าใจ “หากเจ้ารู้ว่าตอนนี้ในเมืองหลวงเกิดอะไรขึ้น เจ้าก็น่าจะรู้ว่าความคิดของเจ้าเป็นเรื่องตลกเท่านั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ามาที่นี่ทำไม?”
ฉินเมิ่งตกใจและส่ายหัว
หยุนชางหัวเราะเสียงดัง “ข้าจะบอกเจ้าให้ ช่วงนี้ฮองเฮาบอกใบ้บางอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่าแก่พวกเจ้าอยู่เสมอไม่ใช่หรือว่าตราบใดที่เจ้าจงรักภักดีต่อนาง เจ้าก็จะถูกปฏิบัติด้วยอย่างดี แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าบิดาของฮองเฮา ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีของพวกเราเป็นสุนัขรับใช้ของแคว้นเซี่ยและชักศึกเข้าบ้าน ตอนนี้เมืองหลวงถูกพวกเขาปิดไว้ เหล่าข้าราชบริพารที่ไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตามต่างก็ถูกฆ่าล้างตระกูล อัครมหาเสนาบดีหลี่ต้องการแย่งชิงบัลลังก์!”
เมื่อฉินเมิ่งได้ยินดังนั้น นางก็มองหยุนชางด้วยสายตาตกตะลึง ใบหน้าของนางซีดเผือด
หยุนชางเลิกคิ้วและมองไปที่ฉินเมิ่ง “ฮองเฮาเป็นลูกสาวของอัครมหาเสนาบดีหลี่ ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วนางย่อมไม่เป็นไร หากอัครมหาเสนาบดีขึ้นครองราชย์กลายเป็นจักรพรรดิแห่งแคว้นหนิงแล้ว นางก็ยังสามารถเป็นองค์หญิงได้ด้วยซ้ำ อ๊ะ… แต่ว่าพวกเจ้าล้วนเป็นนางสนมของเสด็จพ่อ เจ้าว่าพวกเขาจะทำอย่างไรกับเจ้า?”
ฉินเมิ่งส่ายหัวเล็กน้อย ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ “ไม่ นี่ไม่ใช่เรื่องจริง”
หยุนชางมองนางด้วยสายตาที่แผดเผา “หรือว่าเจ้าคิดว่าตระกูลหลี่จะยอมรับลูกในท้องเจ้าได้? คำพูดของฮองเฮาเจ้าก็เชื่ออย่างนั้นหรือ เจ้าช่างโง่เง่าจนน่ารักจริงๆ”
“แต่ฮองเฮาคิดว่าพ่อของนางจะทำสำเร็จจริงๆ งั้นหรือ? เกรงว่าถึงตายไปนางก็คงไม่รู้ นางเสริมกำลังทหารในพระวังขึ้นหลายเท่าแล้วอย่างไร ข้าก็ยังเข้ามาได้อยู่ดีไม่ใช่หรือ? จวนหลี่มีทหารเพียงสี่ห้าหมื่นนายเท่านั้น ในไม่ช้าทหารของท่านอ๋องก็จะมาล้อมเมืองไว้ เมื่อถึงตอนนั้นที่จวนหลี่พ่ายแพ้ เจ้าคิดว่าฮองเฮาจะยังอยู่รอดได้อีกหรือ? แต่บางทีตอนที่นางตายนางอาจจะลากพวกเจ้าลงหลุมไปด้วยก็เป็นได้ พวกเจ้าแก่งแย่งชิงดีกับนางมาหลายปี เกรงว่านางคงเกลียดพวกเจ้าเข้ากระดูกดำไปแล้ว” หยุนชางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ฉินเมิ่งตัวสั่นเทิ้มไปทั้งตัว เหงื่อไหลย้อยลงจากใบหน้าของนาง ราวกับไม่สามารถยอมรับความจริงนี้ได้ หยุนชางก็ไม่ได้รีบร้อน นางนั่งบนเตียง ดวงตาของนางจ้องมองไปที่แสงไฟในตะเกียงบนโต๊ะที่อยู่ห่างออกไป ฉินเมิ่งกำลังตั้งครรภ์…
ฉินเมิ่งคลานเข้าไปหาหยุนชางและเงยหน้าขึ้นมอง “พระชายาต้องมีวิธีช่วยหม่อมฉันใช่หรือไม่? พระชายาต้องมีหนทาง…”
หยุนชางเลิกคิ้วแล้วก้มหน้ามองดวงตาของฉินเมิ่ง “ใช่ ข้ามีวิธีช่วยเจ้า แต่ทำไมข้าถึงต้องช่วยล่ะ?”
ฉินเมิ่งพูดอย่างร้อนรน “หม่อมฉันเป็นคนของพระชายานะเพคะ…”
หยุนชางยิ้ม “เมื่อกี้ข้าเห็นว่าเจ้าและฮองเฮาคุยกันอย่างถูกปาก ใครจะรู้ว่าหากข้าจากไปแล้ว เจ้าจะไปบอกฮองเฮาหรือไม่ แต่อย่างไรข้าก็ไม่ได้กังวลนัก เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าเจ้าไม่มีทางออกจากประตูนี้ไปได้เลย หากเจ้าจะไปหานางและนำเรื่องนี้ไปบอกนาง เจ้าคงต้องตายก่อนข้าแน่… ”
หยุนชางกล่าวพลางลุกขึ้นยืน ฉินเมิ่งรีบกอดขาหยุนชางไว้อย่างรวดเร็ว ใบหน้าของนางนองไปด้วยน้ำตา “พระชายาโปรดให้อภัยหม่อมฉันด้วย หม่อมฉันผิดไปแล้ว หม่อมฉันไม่ควรคิดเพ้อเจ้อ หม่อมฉันไม่ควรจะไม่เชื่อพระชายาและนำข่าวไปบอกฮองเฮา หม่อมฉันผิดไปแล้ว พระชายาโปรดอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”