ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 254 ความวุ่นวายในเมืองหลวง (๔)
ในเช้าตรู่ของวันต่อมา เมื่อตื่นขึ้นก็ได้ยินเสียงแว่วมาจากนอกห้อง “ช่วงนี้ในเมืองหลวงมีสามตระกูลใหญ่ที่ถูกตาแก่นั่นฆ่ายกตระกูล ตอนนี้ทุกคนในเมืองหลวงต่างก็ตกอยู่ในอันตราย ท่านอ๋อง ทำไมท่านไม่ให้ข้าน้อยไปลอบสังหารตาแก่นั่นที่จวนไปเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว? วันนี้ตาแก่นั่นยังพูดในท้องพระโรงอีกว่าจักรพรรดิอยู่ในมือของเขาแล้ว ตอนนี้กำลังนำตัวมาที่เมืองหลวงอยู่ ให้ตายเถอะ!”
“ใช่แล้ว พวกคนทรยศเหล่านั้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาตะโกนร้องอวยพรให้ตาแก่นั่นอายุยืนยาวหมื่นปี แล้วยังบอกว่าขอให้มันได้ขึ้นครองบัลลังก์ได้โดยเร็วที่สุด มันน่ะหรือจะคู่ควร? ท่านอ๋องยังไม่เคยพูดเช่นนี้แล้วมันมีสิทธิ์อะไรมาพูด” อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับเสียงถ่มน้ำลาย
“ท่านอ๋อง เหตุใดท่าจึงไม่ใช้โอกาสนี้เพื่อฆ่าตาแก่ที่ไม่ยอมตายซะทีผู้นั้นเสียแล้วขึ้นครองราชย์เสียเอง ข้ารู้สึกว่าผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดที่จะปกครองแคว้นหนิงก็คือท่านอ๋อง”
หัวใจของหยุนชางวูบไหว นางหลับตาลง ในใจเกิดความตกตะลึง ถ้าแม้แต่จิ้งอ๋องก็จะใช้โอกาสนี้ก่อกบฏด้วย เช่นนั้นจะไม่ใช่เรื่องผีซ้ำด้ำพลอยเข้าไปอีกหรือ
หยุนชางกลั้นหายใจฟังการเคลื่อนไหวภายนอก
“คำพูดเหล่านี้ อย่าให้ข้าได้ยินอีก คราวหน้าที่เจ้าพูดไร้สาระ อย่าโทษที่ข้าไม่เกรงใจ” เสียงเย็นชาของจิ้งอ๋องดังแว่วมา
หยุนชางได้ยินเสียงที่บอกให้จิ้งอ๋องขึ้นครองราชย์เมื่อครู่ดังขึ้นอีก “เป็นเพราะอะไรกันพ่ะย่ะค่ะ ข้าจำได้ว่าตอนที่อยู่ที่ชายแดน ท่านอ๋องมีความตั้งใจเช่นนี้ ท่านอ๋อง…”
คำพูดเพียงพูดได้ครึ่งหนึ่งก็เงียบไป หัวใจของหยุนชางสั่นรัว นางกัดริมฝีปากและรู้สึกตื่นตะลึง
“บอกหวังจิ้นฮวนให้รีบลงมือ วันนี้ข้าได้รับข่าวแต่เช้า แม้ว่าผู้นำทัพโจมตีเมืองคังหยางจะเป็นองค์รัชทายาท แต่ผู้วางกลยุทธ์คืออาจารย์ของเซี่ยโหจิ้งและอดีตกุนซือของฮวากั๋วกง หลิ่วหยินเฟิง คนผู้นี้ต่างหากที่มีฝีมือร้ายกาจและยังคุ้นเคยกับรูปแบบการรบของฉีหล่างเป็นอย่างดี เดิมทีข้าคิดว่าหากผู้นำทัพเป็นองค์รัชทายาทของแคว้นเซี่ย ฉีหล่างคงจะไม่มีปัญหาในการต้านศึกให้ได้สักสองเดือน ตอนนี้ข้าต้องชั่งน้ำหนักใหม่อีกครั้ง ถ้าฝ่ายตรงข้ามคือองค์รัชทายาทและหลิ่วหยินเฟิง ด้วยนิสัยของฉีหล่าง จะต้านทานได้ถึงหนึ่งเดือนหรือไม่ข้าเองก็ไม่มั่นใจ”
ผู้คนข้างนอกตอบรับเห็นด้วยและหารือกันอยู่สักพัก แต่ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องให้จิ้งอ๋องขึ้นครองบัลลังก์อีก หยุนชางกัดริมฝีปากนอนอยู่บนเตียง นางรู้สึกสับสนเล็กน้อย
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่นางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาในห้องด้านใน หยุนชางรู้ว่าคงจะเป็นจิ้งอ๋อง เงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดนางก็ลืมตาขึ้นและมองไปทางประตู
ดูเหมือนจิ้งอ๋องจะไม่รู้ว่านางตื่นแล้ว เขาชะงักฝีเท้าและเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะสาวเท้ามาที่ข้างเตียงของหยุนชาง “เจ้าได้ยินหมดแล้วหรือ?”
หยุนชางลังเลครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้าเบาๆ “ท่านอ๋องต้องการขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิหรือไม่?”
ดวงตาของจิ้งอ๋องก้มลงมองใบหน้าของหยุนชาง เขาเอื้อมมือไปลูบศีรษะนางแล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้ข้าไม่ได้คิดเรื่องนี้ชั่วคราว เรื่องในภายภาคหน้าไม่มีใครกล่าวได้ชัดเจน”
หยุนชางหลุบตาลงและเงียบไปครู่หนึ่ง “ทำไมล่ะเพคะ?”
จิ้งอ๋องถอนหายใจ แววตาของเขาดูจนปัญญาเล็กน้อย “อาจเป็นเพราะข้าอยากเป็นจักรพรรดิเพียงเพราะรู้สึกว่าไม่มีอะไรทำ วันๆ ออกจะน่าเบื่อ แต่ตอนนี้เมื่อแต่งงานกับเจ้าแล้วก็รู้สึกว่าการใช้ชีวิตกับเจ้าไปเช่นนี้ก็ไม่เลวเลย หากต่อไปมีวันไหนที่เบื่ออีกก็คงจะมีความคิดแบบนั้นอีกครั้งกระมัง”
หยุนชางมองไปที่จิ้งอ๋องด้วยดวงตาเบิกกว้าง คำอธิบายของเขานั้นช่างไร้สาระยิ่งนัก
“ท่านอ๋องกำลังหลอกข้าเล่นหรือ?” หยุนชางขมวดคิ้ว
จิ้งอ๋องยิ้มแล้วลูบหัวหยุนชางอีกครั้งและหรี่ตาลง “หากเจ้ามีประสบการณ์เหมือนกับข้าต้องรู้แน่ว่าสิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริง ที่จริงแล้วบางครั้งข้าก็รู้สึกว่าข้าโชคดีมาก เดิมทีข้าเป็นเพียงเด็กที่ถูกทิ้ง แต่กลับได้เจออดีตจักรพรรดิและได้เป็นถึงจิ้งอ๋องที่อยู่เหนือผู้คนทั้งปวง บุญคุณที่อดีตจักรพรรดิเลี้ยงข้ามา ข้าจึงตอบเขาและช่วยบุตรชายของเขาปกป้องบ้านเมือง เพียงแต่ต่อมาเพราะเสด็จพี่เกิดความระแวงขึ้นและเพราะข้าเบื่อกับการทำสงครามในทุกๆ วันที่ชายแดน ข้าจึงคิดว่าหากข้าได้นั่งในตำแหน่งที่อยู่เหนือคนอื่นเช่นนั้นจะสนุกหรือไม่ อันที่จริงที่ข้ากลับมายังที่เมืองหลวงก็ด้วยความคิดเช่นนั้น แต่คิดไม่ถึงว่ากลับได้พบเจ้า ทำให้ข้ารู้สึกสนุกและแปลกใหม่ หากข้าไปแย่งชิงตำแหน่งนั้นจริงๆ เกรงว่าเจ้าจะเกลียดข้า ตอนนี้ข้าใส่ใจเจ้ามาก ดังนั้นจึงไม่อยากทำให้เจ้าไม่มีความสุข หากวันใดที่ข้าไม่สนใจเจ้าแล้ว บางทีข้าอาจจะคิดอีก…”
หยุนชางแทบกระอักเลือดออกมา ที่ว่าตอนนี้เขาใส่ใจนางจึงไม่อยากทำให้นางไม่มีความสุขนี่มันอะไรกัน คำพูดที่ไร้สาระเช่นนี้เกรงว่าคงมีเพียงจิ้งอ๋องเท่านั้นที่พูดออกมาได้
หยุนชางกัดฟันและพูดด้วยน้ำเสียงอึดอัด “เช่นนั้นหม่อมฉันก็ต้องขอบพระทัยท่านอ๋องแล้ว หวังว่าท่านอ๋องจะห่วงใยใส่ใจหม่อมฉันไปเสมอ”
จิ้งอ๋องเลิกคิ้วและพยักหน้ารับจริงๆ “เจ้าพูดถูกแล้ว ดังนั้นข้าก็หวังว่าเจ้าจะสามารถดึงดูดสายตาของข้าและทำให้ข้าสนใจเจ้าเสมอ”
หยุนชางพูดไม่ออกไปอีกครั้ง ผ่านไปครู่หนึ่งนางจึงได้พูดขึ้น “คนที่ชื่อหลิ่วหยินเฟิงร้ายกาจขนาดนั้นเชียวหรือ?”
จิ้งอ๋องไม่ใส่ใจที่นางเปลี่ยนเรื่อง เขาพยักหน้าและพูดว่า “เขาเป็นคนที่น่าทึ่งมาก เขาเชี่ยวชาญในการศึกษารูปแบบการรบของฝ่ายตรงข้ามและค้นหาจุดอ่อน แม้แต่ตอนที่ข้าประมือกับเขาก็เคยเสียเปรียบมาไม่น้อย”
หยุนชางลุกขึ้นนั่งมองจิ้งอ๋องด้วยดวงตาแวววาว ทำให้จิ้งอ๋องขมวดคิ้ว “เจ้ามองข้าเช่นนี้ทำไม?”
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันอยากไปคังหยาง” หยุนชางยิ้มจนตาหยี
“…”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ตอบ หยุนชางก็จับมือเขาแล้วเอ่ยอีกครั้งว่า “หม่อมฉันอยากไปคังหยาง”
“เจ้าจะไปทำอะไร? ไปรนหาที่ตายหรือ?” จิ้งอ๋องไม่ได้ใจอ่อน
หยุนชางอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจออกมาอย่างโมโห “หม่อมฉันอยากไปย่อมมีเหตุผล ท่านบอกว่าฉีหล่างเป็นคนโอหัง คนแบบนี้คงไม่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น แต่หม่อมฉันเป็นผู้หญิง เป็นทั้งองค์หญิงและเป็นทั้งพระชายา ท่านอ๋องคงไม่รู้ว่าหากหญิงสาวเกิดไร้เหตุผลขึ้นมาเกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่จะต้านทานได้ ท่านบอกว่าหลิ่วหยินเฟิงเชี่ยวชาญการศึกษากลยุทธ์ศึก นั่นเป็นเพราะนายพลของแคว้นเราก็มีเพียงไม่กี่คนนั่น ประสบการณ์กรำศึกมากมาย แต่นั่นก็ทำให้หลิ่วหยินเฟิงมีวิธีการหากลยุทธ์นั้นพบ หากเป็นนายพลใหม่ที่ไม่มีรูปแบบกลยุทธ์แน่ชัด เช่นนั้นเขาก็จะหากลยุทธ์ไม่เจอ”
“เหลวไหล” จิ้งอ๋องลูบหัวหยุนชาง เขายืนขึ้นและไม่สนใจนางอีก เขาเดินไปที่โต๊ะและมองดูแผนที่อีกครั้ง
เมื่อรู้ว่าเขาไม่เห็นด้วย หยุนชางก็แอบขบคิดบางอย่างอยู่ในใจและลุกขึ้นเดินไปที่ข้างกายของจิ้งอ๋อง ดูแผนที่พร้อมกับเขาและขอให้สายลับรวบรวมข้อมูลของทั้งสามเมืองและแม่ทัพของศัตรูมาให้นาง แล้วจึงเดินไปนั่งอ่านที่เก้าอี้ด้านข้าง
วันนี้เงียบสงบมาก มีเพียงสามข่าวเท่านั้นที่เข้ามาในตลอดทั้งวัน
เรื่องแรกคือจู่ๆก็มีข่าวลือในวังว่าอัครมหาเสนาบดีก่อกบฏ ขุนนางในราชสำนักจำนวนมากถูกสังหาร สมาชิกในครอบครัวของนางสนมส่วนใหญ่ล้วนมีตำแหน่งอยู่ในราชสำนักทั้งนั้น ทำให้ผู้คนในวังต่างก็แตกตื่นขึ้นทันที
เรื่องที่สองคือตอนเซี่ยโหจิ้งกำลังอยู่ในจวนของอัครมหาเสนาบดีถูกชางยางอวี้เอ๋อร์ที่กำลังเดินเล่นอยู่พบเข้า นางไม่สนใจที่ตนเองท้องอยู่แต่กลับไปยั่วยวนเขา เมื่ออัครมหาเสนาบดีเห็นเข้าจึงโบยนางเสียเกือบตายและเด็กในท้องของนางก็ไม่รอดเช่นกัน
เรื่องที่สามก็เป็นเรื่องในวังเช่นกัน ว่ากันว่ามีผีหลอกขึ้นในวัง มีเสียงร้องไห้ตอนดึกดื่นและเสียงนั้นก็คล้ายกับเสียงขององค์หญิงหัวจิ้งมาก
จิ้งอ๋องฟังแล้วก็มองไปที่หยุนชางซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วถอนหายใจ ส่ายหัวและไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเลย
หยุนชางเลิกคิ้วเล็กน้อย คนอย่างจิ้งอ๋องที่อยู่ชายแดนมานานหลายปีและไม่มีแม้แต่สาวใช้ในจวนย่อมไม่รู้ว่าเมื่อสตรีเอาแต่ใจขึ้นมาแล้ว บางครั้งก็สามารถมีบทบาทยิ่งใหญ่ได้
วันที่สาม ในเมืองหลวงมีข่าวลือว่าจิ้งอ๋องและจักรพรรดิหนิงกำลังเดินทางกลับเมืองพร้อมกับกองทัพ พวกเขาจะมาถึงเมืองหลวงได้ภายในสามวัน
ท่ามกลางข่าวลือที่แพร่สะพัดอยู่นั้น จวนของอัครมหาเสนาบดีกลับเงียบสงบมาก เดิมทีหลี่จิ้งเหยียนที่ออกไปหาเหล่าขุนนางทุกวันกลับไม่ออกจากจวนไปไหนเลย
เป็นเวลาหลายวันที่เมืองหลวงอยู่ในภาวะเงียบสงัด
ในคืนวันที่แปด หยุนชางนำเหล่าสายลับไปที่วังอีกครั้ง หยุนชางสั่งให้พวกเขาหลบหลีกทหารที่ลาดตระเวนอยู่ในวังและพาเหล่านางสนมไปที่ตำหนักชิงซิน
เหล่านางสนมที่ถูกคนชุดดำจับมาที่ตำหนักชิงซินต่างก็ตื่นตระหนกตกใจ แต่กลับเห็นหยุนชางอยู่ในตำหนัก ทุกคนจึงรีบถามขึ้น “องค์หญิง เกิดอะไรขึ้นกันแน่เพคะ?”
หยุนชางยิ้มบางๆ สายตากวาดมองเหล่าสนม “พวกท่านเคยได้ยินข่าวลือหรือไม่ อัครมหาเสนาบดีก่อกบฏแล้ว”
เหล่าสนมต่างมองหน้ากันและพยักหน้า
“ใช่แล้ว อัครมหาเสนาบดีก่อกบฏ ตอนนี้ในพระราชวังต่างก็รายล้อมไปด้วยคนของเขา จากนี้สองวันกองทัพของเสด็จพ่อและท่านอ๋องจึงจะมาถึง อัครมหาเสนาบดีคิดไปเองว่าแผนร้ายของเขาไม่ได้ถูกแพร่ข่าวออกไปและเสด็จพ่อยังไม่รับรู้ ดังนั้นรอถึงเมื่อกองทัพมาล้อมเมือง เกรงว่าเขาจะจับพวกเจ้าไว้เป็นตัวประกันมาข่มขู่เสด็จพ่อ ข้าจึงแอบเข้าวังมาพาเจ้าออกไป” หยุนชางมองดูเล็บมือที่นางไม่ได้ดูแลมาหลายวัน แม้ว่าเสียงของนางจะเบามากแต่กลับเต็มไปด้วยความหนักแน่น “พวกเจ้าจะอยู่ในวังต่อไปหรือตามข้าออกไปลี้ภัย?”
“หม่อมฉันจะตามพระชายาไปเพคะ…” เป็นหย่าผินที่เอ่ยออกมาก่อนผู้อื่น ตามด้วยฉินเมิ่ง เมื่อมีสองคนนี้ออกตัวคนอื่นๆ จึงคล้อยตามไปโดยธรรมชาติ
หยุนชางยิ้มเล็กน้อยและสั่งให้สายลับพาพวกนางออกจากวังอย่างเงียบๆ
“หลังจากที่เหล่านางสนมจากไปแล้ว หยุนชางกลับยังอยู่ต่อและมุ่งหน้าไปยังวังชีอู๋…