ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 255 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน (๑)
วังชีอู๋ก็เต็มไปด้วยความโกลาหลเช่นกัน
“ฮองเฮาเพคะ ท่านอัครมหาเสนาบดีสั่งว่าให้ท่านนำเหล่านางสนมไปขังรวมกันที่ตำหนักจินหลวนเพคะ” ผู้พูดคือเหวินสี่ซึ่งเป็นข้ารับใช้ข้างกายของฮองเฮา เมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว อัครมหาเสนาบดีบอกว่าเหวินสี่จะเป็นผู้นำคำสั่งของตนมาบอกนางและบอกว่าเหวินสี่จะปกป้องนาง
ฮองเฮาผงะไปเล็กน้อยและเงยหน้าขึ้นมองเหวินสี่ “เกิดอะไรขึ้นหรือ? ฝ่าบาทกลับเมืองหลวงมาแล้วหรือ?”
เหวินสี่ก้มศีรษะลง “หม่อมฉันไม่รู้เพคะ”
“ต้องเป็นเพราะฝ่าบาทกลับมาแล้วแน่” ฮองเฮามองกระจกสำริด ภาพผู้หญิงข้างในนั้นดูหรูหราสง่างาม สวมชุดหงส์เก้าหาง มงกุฎหงส์ส่องประกายบนศีรษะของนาง แต่แววตากลับตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด พ่อของนางต้องการก่อกบฏ… นางกลับไม่มีทางเลือก… แต่ว่าฝ่าบาท ไม่ว่าเขาจะไม่ดีต่อตนเองอย่างไรหรือถึงแม้เขาจะมีเพียงผู้หญิงคนนั้นในหัวใจของเขา อย่างไรเขาก็ยังเป็นสามีของนาง
“ฮองเฮาเพคะ…”
เสียงของเหวินสี่ดังขึ้น ฮองเฮาได้ยินแล้วก็อดหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้ “ฮองเฮา?” หากวันนี้นางก้าวเท้าออกไปอีกก้าว ไม่ว่าสุดท้ายจะแพ้หรือชนะ นางก็ไม่อาจเป็นฮองเฮาได้อีกต่อไป ตำแหน่งนี้นางรอคอยมานานมากและดำรงอยู่ในตำแหน่งนี้มานานด้วยเช่นกัน ต่อไปมันคงจะไม่มีวันเป็นของนางอีก
“ท่านพี่…” เสียงของหลี่ฝูยีดังมาจากด้านนอก ดวงตาของฮองเฮาเย็นเยียบ เมื่อนางเดินออกไปก็เห็นหลี่ฝูยียืนอยู่ในห้องโถงด้านนอกมองมายังนางด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ ท่านพ่อขอให้ท่านพี่ไปนำนางสนมทั้งหมดไปที่ตำหนักจินหลวน หรือว่าท่านพี่ไม่ได้รับข้อความหรือ? ทำไม…”
ฮองเฮามองหลี่ฝูยีอย่างเย็นชา “ข้ามีความคิดของตัวเอง ในวันนั้นข้าคิดว่าท่านพ่อส่งเจ้าเข้ามาเพื่อทำให้ตระกูลหลี่ได้รับความโปรดปรานอีกครั้งและข้าก็ยังสงสัยว่าทำไมเจ้าเข้าวังมาแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเจ้าไม่คิดที่จะต่อสู้แย่งชิงความโปรดปรานเลยสักนิด ทั้งวันเอาแต่อยู่เป็นเพื่อนยายแก่นั่นสวดมนต์กินมังสวิรัติอยู่ที่ตำหนักฉางชุน และยังคิดว่าข้าควรจะช่วยค้ำจุนเจ้าบ้าง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจุดประสงค์ในการวังของเจ้ากลับไม่ได้อยู่ที่นี่เลย”
หลี่ฝูยียิ้มพร้อมแววชมเชยในดวงตาของนาง “ท่านพี่ล้อเล่นแล้ว ฝ่าบาทเป็นคนของท่านพี่ แม้ว่าฝูยีจะยังเด็กและโง่เขลา แต่ก็รู้ว่าไม่ควรแย่งของของท่านพี่ แต่ดูแล้วท่านพี่ดูเหมือนจะไม่ชอบฝูยีเลยสักนิด หรือว่าท่านพี่จะอาลัยอาวรณ์ตำแหน่งฮองเฮานี้? แต่ก็ใช่ ท่านพี่กับฝ่าบาทเป็นสามีภรรยามากว่ายี่สิบปีแล้วย่อมต้องมีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นเป็นเรื่องธรรมดา”
“เงียบซะ” นัยน์ตาของฮองเฮาแข็งกร้าวขึ้น “เจ้ามาที่นี่เพื่อเสียดสีข้าหรือ?”
หลี่ฝูยียิ้มเล็กน้อยแล้วส่ายหัว “ข้าแค่อยากมาบอกท่านพี่สักหน่อยว่าที่วังเฟิ่งไหลข้าได้แฝงคนไปคนหนึ่ง ข้าให้นางหาโอกาสลอบสังหารจิ่นเฟยและลูกที่เพิ่งเกิดของนาง หากสำเร็จก็ถือได้ว่าเป็นการช่วยท่านพี่กำจัดความเกลียดชังในใจ หากทุกอย่างล้มเหลว นางก็จะบอกจิ่นเฟยและฝ่าบาทว่าเป็นท่านพี่ที่ต้องการให้พวกเขาตาย”
“หลี่ฝูยี!” ฮองเฮาตะโกนด้วยโทสะ “ข้าประเมินเจ้าต่ำไปจริงๆ แล้วข้าก็ลืมไปว่าสิ่งที่เจ้าถนัดที่สุดก็คือการเล่นละคร เหมือนกับมารดาผู้ให้กำเนิดที่ต่ำต้อยของเจ้าไม่มีผิด!”
หลี่ฝูยีผงะไป แต่นางก็ยังหัวเราะออกมาเสียงดัง “ท่านพี่จะโมโหเช่นนี้ไปทำไมกันเล่า นี่ก็เป็นคำสั่งของท่านพ่อเช่นกัน ท่านพ่อบอกว่าท่านพี่นั้นให้ความสำคัญกับความรักเป็นที่สุด หากเรื่องถึงที่สุดแล้วแต่ท่านพี่กลับจะกลับใจนั่นย่อมไม่ดีแน่ ท่านดูเองเถิดว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ดีเท่าไหร่นัก เกรงว่าฝ่าบาทคงจะเกลียดชังท่านอย่างสุดซึ้งไปเสียแล้ว ถึงแม้ว่าท่านพี่จะไม่ได้ทำอะไรเลย พระองค์จะไม่ทรงละเว้นท่านพี่อย่างแน่นอน นอกจากนี้ องค์หญิงหัวจิ้งยังถูกองค์หญิงหยุนชางทำร้ายเสียจนย่ำแย่ ไม่รู้ว่านางจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่…”
“พอแล้ว! ออกไปซะ!” ฮองเฮาชี้ไปที่หลี่ฝูยีด้วยหน้าตาบิดเบี้ยว
หลี่ฝูยียืนขึ้นและกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าจะออกไปก่อน ท่านพี่ต้องจำไว้ให้ดีว่าอย่าทำให้ท่านพ่อต้องผิดหวัง”
ฮองเฮามองหลี่ฝูยีเดินออกจากตำหนักไป เงาร่างของนางค่อยๆ เลือนหายไปกับความมืดยามวิกาล นางทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ สีหน้าเหม่อลอยราวกับว่าถูกควักหัวใจออกมาจนว่างเปล่า
“ฮองเฮาเพคะ…” เหวินสี่เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
ฮองเฮาเงยหน้าขึ้นมองนาง เหวินสี่ชะงักและเงียบไป
“ไปเถอะ ไปพาเหล่านางสนมไปที่ตำหนักจินหลวน” ฮองเฮาเอ่ยเสียงแผ่วพร้อมรอยยิ้มขมขื่น หากถึงขั้นจำเป็นต้องใช้เหล่านางสนมมาเป็นโล่กำบัง เกรงว่านางสนมทั้งหลายจะไร้ประโยชน์ ไม่มีใครรู้ดีไปกว่านางว่าอะไรคือที่สิ่งสำคัญที่สุดในหัวใจของจักรพรรดิหนิง
เพื่อบัลลังก์แล้ว แม้แต่ผู้หญิงที่เขารักมากก็สามารถเฉยเมยต่อนางได้ แล้วจะนับประสาอะไรกับผู้หญิงที่เขาไม่เคยสนใจเลย ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้จิ่นเฟยและลูกของนางได้รับการคุ้มครองอย่างแน่นหนาอยู่ข้างกายเขา เหล่าคนสามพันคนในวังหลังนี้ เกรงว่าในสายตาของเขาแล้วยังสู้มดไม่ได้ด้วยซ้ำ
เหวินสี่นำคนออกไปและเหลือเพียงฮองเฮาที่อยู่ในวังชีอู๋อันยิ่งใหญ่นี้
“ฮองเฮาดูจะไม่ค่อยมีความสุขนัก?” ทันใดนั้นก็มีเสียงนุ่มนวลของหญิงสาวดังขึ้นแผ่วเบา ฮองเฮาตัวสั่นเทิ้มและได้ยินหญิงสาวคนนั้นพูดว่า “คิดดูแล้ว หากอัครมหาเสนาบดีหลี่ได้ขึ้นครองราชย์กลายเป็นจักรพรรดิ สถานะของฮองเฮาก็ออกจะน่าอึดอัดอยู่ไม่น้อย ไม่รู้ว่าควรจะเรียกว่าไทเฮาดีหรือว่าองค์หญิงดี?”
“หนิงหยุนชาง!” ฮองเฮาขบกรามแน่น เสียงนั้นดูเหมือนจะมาจากด้านในตำหนัก นางจึงรีบพุ่งเข้าไปและก็เห็นหยุนชางนั่งอยู่บนเก้าอี้ ยิ้มและมองฮองเฮาผู้ซึ่งกำลังโกรธเกรี้ยว “เสด็จแม่เรียกหม่อมฉันหรือ?”
ฮองเฮายิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก “หนิงหยุนชาง คืนจิ้งเอ๋อร์ให้ข้า!” นางตวาดพลางพุ่งเข้าหาหยุนชาง
เพียงแต่ก่อนที่นางจะแตะต้องเสื้อผ้าของหยุนชางได้ นางก็ถูกใครบางคนดึงไว้ ฮองเฮาตกใจมาก เมื่อนางเห็นว่านางถูกจับไว้โดยชายชุดดำสองคน ในใจนางจึงค่อยๆ สงบลง ในเวลานี้หยุนชางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ตอนนี้ในวังได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา นางเข้ามาได้อย่างไร?
“เสด็จแม่กำลังคิดว่าชางเอ๋อร์เข้ามาได้อย่างไร?” หยุนชางยิ้มน้อยๆ และอธิบายอย่างหวังดี “เสด็จแม่ไม่รู้หรือว่าในวังนี้มีทางลับมากมาย?”
ฮองเฮาตัวสั่นเทา นางจ้องมองหยุนชางอย่างแผดเผา ทำไมนางที่อยู่ในวังมาหลายปีไม่เคยรู้ หรือว่าฝ่าบาทไม่เคยไว้ใจนางเลยตั้งแต่แรก? มิฉะนั้นทำไมแม้แต่เรื่องที่นางตัวดีนี้ถึงรู้ แต่นางที่เป็นถึงมารดาแห่งแผ่นดินกลับและผู้กุมอำนาจแห่งวังหลังกลับไม่เคยได้ยินจักรพรรดิเอ่ยถึงเรื่องนี้เลย
ยิ่งคิดในใจก็ยิ่งรู้สึกหม่นหมอง นางอยู่ในวังมาหลายปีขนาดนี้แล้ว นางได้พัฒนาตนเองจนถึงขั้นไม่เปลี่ยนสีหน้าโดยง่ายดายแล้ว เมื่อครู่เรื่องเกิดอย่างกะทันหัน นางจึงเพียงอาศัยสัญชาตญาณเท่านั้น
ฮองเฮาเงียบไปอยู่นานก่อนจะพูดว่า “เจ้าบอกข้ามาว่าหัวจิ้งเป็นอย่างไรบ้าง?”
หยุนชางยิ้ม “ที่จริงแล้วก่อนหน้านี้หยุนชางก็ยืมปากคนอื่นมาบอกเสด็จแม่แล้วนี่เพคะ หรือเสด็จแม่ไม่ได้ยินเลยหรือ? เสด็จพี่น่ะหรือ เฮ้อ…” หยุนชางถอนหายใจ “เสด็จพี่ถูกพิษที่วางโดยชายรูปงามที่นางรับมาเลี้ยงดู พิษนั้นเป็นพิษที่ออกฤทธิ์ช้า ถ้าลองคำนวณเวลาดูคงจะกำเริบไปแล้ว หากยังอยู่ในเมืองหลวงอาจมีวิธีแก้ไข แต่องค์ชายสามแห่งแคว้นเย้หลางนั่นก็จริงๆ เลย จะต้องลักพาตัวนางไปให้ได้ วิชาแพทย์ของแคว้นเย้หลางก็งั้นๆ นอกจากนี้ยาแก้พิษนั้นมีเพียงชางเอ๋อร์เท่านั้นที่มี เกรงว่าเสด็จพี่คง… ไม่อยู่เสียแล้ว”
ทันใดนั้นดวงตาของฮองเฮาก็ฉายแววอาฆาตขึ้น เสียงของนางแหบพร่าลงเล็กน้อย “ทำไมเจ้าถึงทำเช่นนี้? จิ้งเอ๋อร์ก็เพียงเอาแต่ใจเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรนางก็เป็นพี่สาวของเจ้า ข้าเลี้ยงเจ้ามา ไม่เคยทำอะไรที่ผิดต่อเจ้าเลย เจ้ากลับตอบแทนข้าเช่นนี้เองหรือ?”
“เอาแต่ใจหรือ? เลี้ยงดูงั้นหรือ?” หยุนชางราวกับได้ยินเรื่องที่ตลกที่สุดในโลกและอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ฮองเฮากำลังล้อเล่นกับชางเอ๋อร์หรือ? หากไม่ใช่เพราะชางเอ๋อร์โชคดี เกรงว่าคงจะไม่อยู่รอดมาถึงตอนนี้ เสด็จพี่เพียงเอาแต่ใจเล็กน้อย แต่กลับจงใจมุ่งเป้ามาที่ชีวิตของชางเอ๋อร์หลายต่อหลายครั้ง ส่วนเสด็จแม่นั้น หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะทำให้เสด็จพ่อรู้สึกไม่ดีและกระทบกระเทือนกับตำแหน่งของท่าน เกรงว่าก็คงจะลงมือกับชางเอ๋อร์โดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย”
หยุนชางถอนหายใจแล้วยืนขึ้น นางเดินไปที่ด้านหน้าของฮองเฮา “เพียงแต่ตอนนี้เราเอ่ยถึงเรื่องนี้ไปก็ไร้ประโยชน์ หัวจิ้งถูกหม่อมฉันฆ่าไปแล้ว หากเสด็จแม่ต้องการแก้แค้น หม่อมฉันก็พร้อมทุกเมื่อ แต่เกรงว่าเสด็จแม่คงไม่มีโอกาสนั้นแล้ว”