ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 256 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน (๒)
“นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ฮองเฮาทรงกำแขนเสื้อเอาไว้แน่น นางจ้องมองไปยังผู้ที่ยืนยิ้มอยู่เบื้องหน้า คนคนนั้นเปรียบดั่งยาพิษที่หมายมั่นจะคร่าชีวิตนาง นางรู้สึกหวั่นพระทัยไม่น้อย ดูจากการเป็นจอมวางแผนของหยุนชางแล้ว ชะรอยว่านางคงจะถูกหยุนชางเสแสร้งตบตามานานเหลือเกิน นับตั้งแต่ครั้งที่หยุนชางกลับเข้าวังมาอีกครั้ง นางก็ตบตาคนหลายๆคน โดยแสร้งทำเป็นป่วยกระเสาะกระแสะบ้าง อาการอ่อนแอทำอะไรก็ไม่ได้นั้น ล้วนเป็นเรื่องเสแสร้ง กิริยาท่าทางของนางในเวลานี้ต่างหาก คือตัวตนที่แท้จริงของนาง
จิ้งเอ๋อร์ธิดาของฮองเฮา……แม้ฮองเฮาจะเป็นผู้อบรมเลี้ยงดูมาจนโต ทว่านางกลับรู้จักแค่เพียงการแก่งแย่งเพื่อให้ได้ครอบครองความรักจากคนในครอบครัว และข้อปฏิบัติที่ผู้เป็นภรรยาเอกควรรู้ อีกอย่างหนึ่ง จิ้งเอ๋อร์ถูกประคบประหงมดูแลอย่างดีมาตั้งแต่เล็ก จนกลายเป็นองค์หญิงที่ทรงพระปรีชาในหลายๆด้าน เป็นที่้คารพชื่นชมของคนทั่วไป ลักษณะนิสัยนางจึงเอาแต่ใจตัวเองไปบ้าง ฮองเฮาทรงคิดมาตลอดว่านั่นไม่ใช่ข้อเสียที่ใหญ่โตอะไร จึงหาได้เคยใส่พระทัยไม่ นึกไม่ถึงเลยว่าข้อเสียที่ฮองเฮาทรงมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยนั่นกลับถูกผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านำมันไปใช้ประโยชน์ นำความหายนะมาสู่ตัวนางเสียเอง
เป็นเพราะตนเองเคยปองร้ายนางก่อน ฮองเฮาทรงหลับตา รู้สึกราวกับมีฝูงแมลงร้ายจำนวนมากมารวมตัวกันกัดกินเนื้อดวงใจของนาง ในส่วนของหยุนชางนั้นก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ได้เห็นหม่อมฉันปรากฏตัวขึ้น ณ ที่แห่งนี้แล้ว เสด็จแม่จะยังทรงรู้สึกว่าภายในวังหลวงมีการคุ้มกันที่แน่นหนาอย่างที่พระองค์ทรงเข้าใจอยู่อีกไหมเพคะ ? หรือว่าเสด็จแม่จะทรงคิดว่า หม่อมฉันมาที่นี่เพียงคนเดียวเท่านั้น?”
ฮองเฮาพระวรกายสั่นเทา สายพระเนตรมองมาที่หยุนชางด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ และดูเหมือนนางกำลังครุ่นคิด คำพูดของหยุนชางนั้นมันหมายความว่าอย่างไรกันแน่
แต่ยังไม่ทันที่ฮองเฮาจะตรัสสิ่งใด ก็ได้ยินเสียงร้องด้วยความตกอกตกใจของเหวินสี่ดังมาจากด้านนอก “ฮองเฮา ฮองเฮาเพคะ……เหล่านางสนมและนางในชั้นสูงในวังหายตัวกันไปหมดเลยเพคะ……”
ฮองเฮาทอดพระเนตรเห็นหยุนชางแอบยิ้มอย่างมีเลศนัย ม่านไข่มุกถูกแหวกออก เหวินสี่ยื่นหน้าเข้ามาภายในเขตพระตำหนักแล้ว “ฮอง……” พูดยังไม่ทันจบ พลันมีดาบจี้ไปที่ลำคอของนาง แต่ดูเหมือนว่านางจะยั้งฝีเท้าเอาไว้ไม่ทัน ดาบนั้นจึงสีเข้ากับคอของนางจนเกิดเป็นรอยแผล เหวินสี่มองเห็นสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นภายในตำหนัก ดวงตาของนางถึงกับเบิกโพลง
“เจ้าเป็นคนเอาตัวเหล่าสนมและนางในพวกนั้นไปใช่หรือไม่?” ฮองเฮามิได้มองไปที่เหวินสี่ นางได้แต่ตรัสถามหยุนชางด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
หยุนชางพยักหน้า “โอ้ ขอพระราชทานอภัยจริงๆเพคะ ที่หม่อมฉันดันเข้ามาขัดขวางแผนการของใต้เท้ามหาเสนาบดี หม่อมฉันคิดว่า ใต้เท้ามหาเสนาบดีต้องการตัวสนมและนางในพวกนี้ ก็เพื่อจะใช้เป็นข้อต่อรองต่อเสด็จพ่อ และข่มขู่ครอบครัวของเหล่าสนมและนางใน พวกนางหาได้ทำสิ่งใดผิดไม่ หม่อมฉันเห็นใจพวกนางยิ่งนัก จึงต้องช่วยพวกนางเอาไว้เพคะ”
“แต่ว่าเมื่อครู่นี้หม่อมฉันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ฮองเฮาและฝูเหม่ยเหรินต่างก็เป็นผู้หญิงที่มหาเสนาบดีหลี่รักใคร่เอ็นดู ก็ไม่รู้ว่ามหาเสนาบดีหลี่จะใส่ใจหรือไม่ ท่านอ๋องเคยบอกว่า มหาเสนาบดีหลี่เป็นคนอำมหิต คงจะเสียอกเสียใจไม่เป็น แต่ว่าถ้าทำให้เขารู้สึกเสียใจบ้างแม้สักนิดก็ยังดีใช่ไหมเพคะ ฮองเฮาเองคงจะไม่เคยถูกคนในครอบครัวทอดทิ้ง ถ้าอย่างไร วันนี้ลองสัมผัสความรู้สึกนั้นดูบ้างดีไหมเพคะ?” หยุนชางแสยะยิ้ม สายตาเต็มไปด้วยความอาฆาต ในชาติที่แล้ว ตนเองถูกคนในครอบครัวทอดทิ้งไปทีละคน สวามีและพี่หญิงทรยศตนเอง เสด็จแม่ที่เป็นฮองเฮาหลอกให้ตนดื่มยาพิษ วันนี้ ถึงเวลาแล้วที่จะค่อยๆเอาคืนคนพวกนี้อย่างสาสม
แววพระเนตรของฮองเฮาดูว่างเปล่า นางไม่มีหนทางให้ถอยกลับไปได้อีกแล้ว นางรู้สึกแข้งขาอ่อนแรง สภาพจิตใจย่ำแย่ นี่นางเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไรกันนี่ เดิมทีนั้น นางเป็นถึงฮองเฮาแห่งแผ่นดิน เป็นที่เคารพยกย่องของผู้คน แม้ว่าฮ่องเต้จะมิได้ทรงรักนาง แต่ก็ปฏิบัติต่อนางด้วยความเคารพ เดิมทีนั้น นางมีลูกสาวที่นางรักดั่งแก้วตาดวงใจ แม้ว่าลูกสาวจะเอาแต่ใจเกินไป แต่ก็เป็นเด็กที่มีความสามารถหลายด้าน พอจะเป็นที่พึ่งให้กับนางได้ เดิมทีนั้น นางมีพ่อที่ยิ่งใหญ่ทรงอิทธิพลไปทั่วแคว้น แม้ว่านางจะมิได้ใกล้ชิดกับพ่อของตนมากนัก แต่ก็คอยสนับสนุนส่งเสริมกันและกันอยู่บ่อยครั้ง วังหลังในช่วงที่ผ่านมา ล้วนอยู่ในมือของคนตระกูลหลี่มาโดยตลอด
แล้วเหตุใด จึงมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
หยุนชางยิ้มและมองไปที่ฮองเฮา “จริงสิเพคะ เสด็จแม่ทรงทราบหรือไม่ว่า เพราะเหตุใด มหาเสนาบดีหลี่จึงเหิมเกริมกระทำการหยาบช้าเช่นนี้? หม่อมฉันคิดว่าพระองค์คงจะยังมิทรงทราบถึงสาเหตุ ชางเอ๋อร์จะทูลให้ทรงทราบก็แล้วกันนะเพคะ จริงๆแล้ว คนตระกูลหลี่หาใช่คนของแคว้นหนิงไม่เพคะ……”
เมื่อฮองเฮาได้ฟัง นางถึงกับสั่นไปทั่วร่าง แล้วตวาดเสียงดัง “เหลวไหล!”
หยุนชางมิได้รู้สึกสะทกสะท้านแต่อย่างใด “บรรพบุรุษตระกูลหลี่เดิมทีเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ของแคว้นเซี่ย แต่เนื่องจากแคว้นเซี่ยทำการกวาดล้างผู้ที่ทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูง จึงทำให้จำนวนประชากรลดน้อย ไพร่พลถดถอย เมื่อคิดจะทำศึกกับแคว้นหนิง จึงเป็นเรื่องที่น่าจะเป็นไปได้ยาก บรรพบุรุษของราชวงศ์แคว้นเซี่ยเป็นผู้มองการณ์ไกลและมีความทะเยอทะยาน เขาได้ให้ลูกชายของเขาคนหนึ่งปกปิดข้อมูลส่วนตัวแล้วแฝงตัวมาอยู่ในแคว้นหนิง ลงหลักปักฐานแล้วค่อยๆสร้างอนาคตให้เจริญรุ่งเรือง ให้บุตรีเข้ามาถวายงานในวังหลวง สร้างความมั่นคงนับแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อมาถึงรุ่นของมหาเสนาบดีหลี่ ก็ถือได้ว่าทรงอิทธิพลและเรืองอำนาจเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นกลับค่อยๆถดถอยลง แคว้นเซี่ยได้เตรียมการมาเป็นสิบๆปี พวกเขาได้ส่งคนเข้ามาแฝงตัวอยู่ในแคว้นหนิงจำนวนหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ ฮ่องเต้แห่งแคว้นเซี่ยจึงคิดว่า นี่เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะลงมือเพคะ”
หยุนชางเดินไปมาพร้อมกับพูดว่า “แรกเริ่มเดิมที นี่เป็นแผนการที่ไม่น่าจะพลาดพลั้งได้ หากว่าได้ลงมือทำตามแผนที่ฮ่องเต้แคว้นเซี่ยได้ทรงวางไว้ โอกาสที่จะได้รับชัยชนะก็มีสูงมาก แต่ว่า กลับเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นเสียนี่ เรื่องที่ไม่คาดคิดนั่นก็คือ เสด็จตาของชางเอ๋อร์ ได้ไปพบร่องรอยบางอย่างโดยบังเอิญ ท่านอ๋องได้รับพระบัญชาจากเสด็จพ่อให้ไปลงพื้นที่ตรวจสอบ และได้พบกับแผนทุรยศแผ่นดินของฮ่องเต้แคว้นเซี่ย ฮ่องเต้แคว้นเซี่ยเกรงว่าแผนการนั้นจะล้มเหลว จึงจำต้องรีบดำเนินการตามแผนให้เร็วที่สุด แต่ทว่า ด้วยความที่พวกเขารีบลงมือก่อนเวลาอันควร จึงมีหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเขายังมิได้เตรียมพร้อมอย่างเต็มที่”
ฮองเฮาส่ายพระพักตร์ พระสุรเสียงแหบแห้ง นางตรัสว่า “ไยเจ้าจึงนำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้มาหลอกข้า เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
“เกรงว่าฮองเฮาจะทรงเชื่อไปแล้ว ใช่หรือไม่เพคะ? พวกเราถูกตบตามาโดยตลอด แต่ว่าพระองค์ทรงเป็นบุตรีของมหาเสนาบดีหลี่ และยังเป็นถึงฮองเฮา จะไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลยหรือเพคะ? แม้ว่ามหาเสนาบดีหลี่จะมิเคยปริปากพูดเรื่องนี้ ทว่ามีข้อสังเกตแฝงอยู่ในการกระทำหลายๆอย่าง หากแม้นฮองเฮาทรงลองตรองดูอย่างถี่ถ้วน ก็จะทรงเข้าพระทัยเพคะ” หยุนชางพูดอย่างไม่หวั่นเกรง
เหวินสี่ถูกคุมตัวเข้าไปด้านใน ม่านไข่มุกถูกแหวกออกอีกครั้ง ชายชุดดำเดินเข้ามา เขาเดินมาที่หยุนชางแล้วทำการคารวะ “ทูลพระชายา ผู้อารักขาตรวจตราความเรียบร้อยในวังหลวงได้เปลี่ยนเป็นคนของเราทั้งหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หยุนชางพยักหน้า นางหันไปมองฮองเฮา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “หากว่ามหาเสนาบดีหลี่พ่ายแพ้แล้ว พระองค์ทรงคาดเดาดูสิเพคะ ว่าเขาจะกลับไปตั้งหลักที่ไหน? หม่อมฉันเดาว่า เขาจะกลับเข้ามาในวังเพคะ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา มหาเสนาบดีหลี่วางแผนทุกขั้นตอนไว้ด้วยความเหนื่อยยาก เรื่องกองกำลังภายในวังหลวงนี้ เขาคงคิดว่าจะไม่มีทางเสียแผนอย่างแน่นอน เขายังให้ฮองเฮานำตัวสนมและนางในชั้นสูงไปไว้ที่ตำหนักจินหลวน คงจะเอาไว้ใช้เป็นข้อต่อรองกับเสด็จพ่อ หากมหาเสนาบดีหลี่เข้ามาในวังแล้ว ฮองเฮาทรงตรองดูเถอะเพคะ ว่าเขาจะยังสามารถมีชีวิตรอดออกไปนอกวังได้หรือไม่”
ฮองเฮาพระพักตร์ถอดสี นางอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก นัยน์ตาระทมทุกข์ วังชีอู๋แห่งนี้ยังคงดูงดงามโอ่อ่าเช่นเคย แต่ทว่า ในสายพระเนตร ณ เวลานี้ ที่นี่ช่างดูเหมือนผืนผ้ายันต์สั่งตายเสียเหลือเกิน
หลังจากนั้น นางกลับยิ้มออกมาด้วยท่าทีแน่นิ่ง สายพระเนตรที่แฝงไปด้วยความชิงชังมองมาที่หยุนชาง “เจ้าคิดว่า ข้าจะอับจนหมดสิ้นหนทางเพียงแค่นี้งั้นหรือ? ถึงคราตายก็ต้องตาย หากว่าข้าตายไป มีจิ่นเฟย และลูกสาวลูกชายที่จิ่นเฟยรักนักรักหนาอยู่เคียงข้างข้า ข้าก็ไม่มีสิ่งใดให้ต้องเสียใจอีกแล้ว!”
หยุนชางผงะ นางครุ่นคิดถึงสิ่งที่ฮองเฮาตรัสมา ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม นางจะไม่มีวันยอมให้เสด็จแม่แท้ๆและน้องชายของนางต้องมาตกอยู่ในอันตรายโดยเด็ดขาด หยุนชางเดินออกไปจากตำหนักแล้วเรียกหาสายลับ นางสั่งการบางอย่างให้สายลับ พูดเพียงไม่กี่คำ แล้วนางก็เดินกลับเข้ามาในตำหนักอีกครั้ง
การกลับเข้ามาในตำหนักครานี้ หยุนชางมิได้เอ่ยคำใดออกมา ได้แต่เพียงนั่งนิ่งๆมองไปที่ฮองเฮา แววตาเปี่ยมไปด้วยความสุข ฮองเฮาเห็นท่าทางของนางเช่นนั้นก็รู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย แต่ก็ยิ้มกลบเกลื่อนแล้วถามหยุนชางว่า “เป็นอะไรไปล่ะ? เจ้ากลัวอย่างนั้นหรือ?”
หยุนชางกลับส่ายหน้า “เมื่อครู่นี้มีอยู่เรื่องหนึ่ง หม่อมฉันมิได้ชี้แจงชัดเจนให้พระองค์ทรงทราบ เดิมทีหม่อมฉันคิดว่าจะเว้นชีวิตของนางไว้ แต่ว่า ได้ยินสิ่งที่ฮองเฮาตรัสออกมาเมื่อครู่นี้แล้ว หม่อมฉันจึงเปลี่ยนใจแล้วเพคะ”
ฮองเฮายิ้มอย่างเย็นชา “นี่เจ้าคิดจะเล่นลิ้นกับข้างั้นหรือ เจ้าคิดว่า ตอนนี้ข้าจะยังเชื่อคำพูดของเจ้าอยู่อีกหรือ? เจ้าคงอยากจะบอกว่า จิ้งเอ๋อร์ยังไม่ตายงั้นสินะ? ฮ่าๆๆๆ……ข้าในตอนนี้ ไม่มีสิ่งใดให้ต้องกลัวอีกแล้ว สิ่งที่ข้าคิดในตอนนี้ก็คือตัวข้ากำลังจะตายตามไปอีกคน หากว่าหัวจิ้งยังมีชีวิตอยู่จริงๆล่ะก็ ไม่สู้ให้นางตายไปเสียยังดีกว่า เราสองแม่ลูกจะได้ไปพบกัน ณ โลกหลังความตาย
หยุนชางหาได้โต้ตอบไม่
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม สายลับคนเมื่อครู่นี้ก็ได้กลับมาอีกครั้ง ในมือของเขาถือกล่องไม้แกะสลักมีผ้าหุ้ม หยุนชางไม่ได้ใส่ใจ นางขยับมือส่งสัญญาณ “นำไปถวายให้ฮองเฮาทอดพระเนตร”
สายลับผู้นั้นนำกล่องที่มีผ้าห่อหุ้มขึ้นถวายแด่ฮองเฮา ฮองเฮากลับไม่ยอมเปิดดู นางเพียงแค่ทอดพระเนตรมาที่หยุนชางอย่างเยือกเย็น หยุนชางร้อง “หืม” นางยิ้มและทูลถามฮองเฮา “เสด็จแม่ไยจึงไม่เปิดดูข้างในล่ะเพคะ? ทรงกลัวหรือเพคะ?”
ฮองเฮาสะบัดสายพระเนตร นางยกมือขึ้นมาแล้วปัดกล่องทิ้งโดยไม่แยแส กล่องใบนั้นร่วงหล่นลงมาจากมือของสายลับ มันตกลงบนพื้นแล้วกลิ้งอยู่พักหนึ่ง แล้วสิ่งของที่ถูกบรรจุอยู่ในกล่องก็กระเด็นออกมา……