ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 259 ตัวคนเดียวกับเรื่องราวสยดสยอง
หยุนชางรู้สึกจุกในใจ สมองของนางคิดสิ่งใดไม่ออกแล้วในตอนนี้ นางเหม่อลอยจนเกือบจะพลาดท่าตกจากหลังม้า
จิ้งอ๋องเห็นดังนั้นก็ใจหายวาบ เขาควบม้ามาหาหยุนชางแล้วดุนาง “หนิงหยุนชาง!นี่เจ้าทำอะไรของเจ้า?” อยู่บนหลังม้าแล้วแต่กลับใจลอย นางจะคิดหรือไม่ว่า หากนางตกลงมาจากหลังม้า แม้จะไม่ถึงตาย แต่ด้านหลังมีกองกำลังทหารม้าเป็นพันๆหมื่นๆนายกำลังตามมา หากทหารเหล่านั้นมิอาจหยุดม้าไว้ได้ทัน นางคงจะต้องถูกฝูงม้าเหยียบตายแน่ๆ
เมื่อได้ยินจิ้งอ๋องทำเสียงดุใส่ นางจึงได้สติคืนมา แต่นางยังคงรู้สึกว่าหัวใจของนางนั้นช่างรุ่มร้อนทรมานราวกับถูกไฟแผดเผา นางกัดฟัน แล้วจับบังเหียนเอาไว้แน่น “จิ่งเหวินซี หากเสด็จแม่และน้องชายของข้าเป็นอะไรไป เจ้าและทุกคนในตระกูลจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต”
นางตำหนิตัวเองที่เมื่อทราบข่าวว่าจิ่งเหวินซีเดินทางไปยังเมืองเฟิ่งไหลแล้ว นางกลับยังนิ่งนอนใจอยู่หลายวัน
จิ้งอ๋องเมื่อได้ยินหยุนชางเอ่ยคำพูดที่รู้สึกเคียดแค้นออกมาก็ครุ่นคิด จะเกิดอะไรขึ้นกับจิ่นเฟยหรือไม่นะ?
ในขณะที่เขากำลังใช้ความคิด ก็เหลือบไปเห็นหยุนชางตาแดงก่ำ นางหันมาพูดว่า “เสด็จแม่กำลังตกอยู่ในอันตราย หม่อมฉันขอล่วงหน้าไปก่อนนะเพคะ” พูดจบก็ฟาดแส้ลงไปบนตัวม้า ม้าของนางก็เร่งฝีเท้าพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
จิ้งอ๋องขมวดคิ้ว หากเซี่ยโหจิ้งและหลี่จิ้งเหยียนคอยดักทางรออยู่ด้านหน้า การปล่อยให้นางไปครานี้ ก็ไม่ต่างกับส่งนางไปตายเลย คิดดังนั้นแล้วก็ตะโกนออกมาสุดเสียง “กลับมาก่อน”
แต่ผู้ที่ควบม้าล่วงหน้าไปแล้วนั้นหาได้ยินเสียงตะโกนของเขาไม่ นางเป็นห่วงแค่เพียงแม่และน้องชายที่เพิ่งลืมตามาดูโลกได้ไม่นานเท่านั้น จิ้งอ๋องรู้สึกเหนื่อยใจ “หนิงหยุนชาง นี่เจ้าใช้ชีวิตมาจนเบื่อแล้วหรือไง หากข้าจับตัวเจ้าได้ล่ะก็ ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปเลย” พูดจบก็บัญชาการเสียงกร้าว “สายลับมัวรออะไรกันอยู่? ยังไม่รีบไปตามพระชายาอีก หากเกิดอะไรขึ้นกับพระชายา พวกเจ้าเตรียมคอขาดกันได้เลย”
สายลมพัดผ่านไปตามเส้นทาง จิ้งอ๋องกำลังคิดว่า ขอเพียงมีกองกำลังอยู่ด้วย ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะต้องพบเจอสิ่งใด มีกองกำลังคอยเป็นกำลังเสริมย่อมปลอดภัยกว่าแน่นอน
หยุนชางมุ่งหน้าเดินทางด้วยความบากบั่น ม้าของนางสูญเสียพลังไปมากจนเริ่มอ่อนล้า หยุนชางกัดฟันแล้วพูดกับตัวเองในใจว่า จากนี้ไปจะต้องตั้งใจฝึกฝนวิชาตัวเบาให้เชี่ยวชาญ
จักรพรรดิหนิงเสด็จกลับพระราชวังทั้งที ก็ต้องมีริ้วขบวนเสด็จที่ยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ มีข้าราชบริพารตามเสด็จมากมาย หยุนชางคาดคะเนเวลา หากทรงออกเดินทางตั้งแต่เช้า เวลานี้ก็คงเสด็จมาได้ 1 ใน 5 ของระยะทางทั้งหมด แต่ว่าขบวนเสด็จเป็นรถม้า ย่อมใช้เวลานานเป็นธรรมดา นางหวังว่าจะสามารถจัดการเรื่องทุกอย่างได้ทันท่วงที
นั่งบนหลังม้ามานาน หยุนชางเหงื่อออกท่วมตัว แสงแดดยามเที่ยงแรงจนแสบผิว แต่หยุนชางยังคงไม่ย่อท้อ นางเห็นตรงหน้ามีป่าเล็กๆ นางถอนหายใจแล้วควบม้าเข้าไปในป่า แต่เมื่อเข้ามาในป่าได้ไม่เท่าไร หยุนชางก็ถึงกับต้องกำบังเหียนเอาไว้แน่น นางตัวสั่นด้วยความตกใจ
เส้นทางด้านหน้า มีศพนอนเรียงรายอยู่เต็มไปหมด กองศพเหล่านั้นทอดยาวไปตามทาง เส้นทางนั้นแดงฉานไปด้วยคราบเลือด หยุนชางตกตะลึง นางก้าวลงจากหลังม้า เดินไปพลิกศพศพหนึ่งที่นอนคว่ำอยู่ ร่างของศพยังอุ่นอยู่ ชะรอยว่าเพิ่งเสียชีวิตมาได้ไม่นาน ศพนั้นสวมเสื้อเกราะทหาร แต่ไม่ใช่เสื้อเกราะทหารของแคว้นหนิง
เป็นคนของเซี่ยโหจิ้งหรือเปล่านะ? หยุนชางคาดเดา นางครุ่นคิดไปมา ถัดไปอีก 2 ก้าว ก็มีศพที่แต่งกายแตกต่างออกไป ศพนั้นสวมใส่ชุดสีน้ำเงินธรรมดา แต่เมื่อคลำดูแล้ว กลับพบกับวัตถุแข็งๆบริเวณอก เมื่อถอดเสื้อออกแล้วจึงพบว่าข้างในคือชุดเกราะซับใน หยุนชางแปลกใจมาก ทหารทั่วไปจะสวมชุดเกราะซับในได้อย่างไร นางคลำไปที่เอวของศพ ก็ได้พบกับป้ายประจำตัวแผ่นหนึ่ง บนป้ายสลักข้อความว่า “ลับ”
หยุนชางถึงกับหน้าถอดสีในทันที
จิ้งอ๋องเคยบอกว่า รอบๆตัวเสด็จพ่อจะมีคนคอยคุ้มกันอยู่ราวๆ 2 หมื่นคน หรือว่า นี่จะเป็นกองกำลังสายลับที่คอยอารักขาเสด็จพ่อ?
หากเป็นเช่นนั้น สายลับเหล่านี้คงจะเกิดการปะทะกับทหารของเซี่ยโหจิ้ง ณ ที่แห่งนี้ หยุนชางกวาดสายตามองไปยังกองศพตรงหน้า นางรู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรง แม้จะก้าวขาก็ยังลำบาก
จากนั้น หยุนชางจึงกลืนน้ำลายแล้วเรียกพลังกลับมา นางจูงม้าเดินไปข้างหน้า พลันมีเสียงผู้หญิงร้องไห้แว่วมา หยุนชางสะดุ้ง นางเร่งฝีเท้าวิ่งไปข้างหน้า ยังคงมีกองศพนอนระเนระนาดอยู่ตลอดเส้นทาง พลันนางก็เหลือบไปเห็นรถม้า 2 คันจอดอยู่ ดูจากการตกแต่งรถม้าแล้วคงใช้ทุนทรัพย์ไปไม่น้อย เสียงร้องไห้นั่น น่าจะดังออกมาจากภายในรถม้า
หยุนชางใจเต้นตึกตัก นางวิ่งไปที่หน้ารถม้า รถม้านั่นเต็มไปด้วยรอยเลือด มือของหยุนชางสั่นเทา นางกัดฟันแล้วตัดสินใจตรวจสอบรถม้า ภายในรถม้าคันที่ตกแต่งสวยหรูไม่มีผู้ใดอยู่ด้านในเลย เสียงร้องไห้นั้นดังมาจากรถม้าอีกคันหนึ่งซึ่งเป็นสีน้ำเงิน นางเดินไปที่รถม้าสีน้ำเงิน ครู่หนึ่ง จึงกระชากผ้าม่านรถม้าออก มีเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังออกมาจากภายในรถม้า “อ้า……ช่วยด้วย……ช่วยข้าด้วย อย่าฆ่าข้าเลย ปล่อยข้าไปเถอะ”
หยุนชางจ้องมอง ภายในรถม้ามีผู้หญิงแปลกหน้าอยู่นางหนึ่ง สีหน้าของนางตกใจกลัวสุดขีด นางหลับตาปี๋ ตัวสั่นงันงก นางกำลังกอดเด็กชายอายุประมาณ 5-6 ขวบเอาไว้
หยุนชางตกใจ เกรงว่าจะเป็นพวกชาวบ้านที่มาคอยเฝ้ารับเสด็จ แต่กลับต้องมาเจอภาพเหตุการณ์นองเลือดเช่นนี้ จึงตกใจกลัวสุดขีด
หยุนชางถอนหายใจ แม้ตนเองจะรีบร้อนเพียงใด แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมา “แม่นางอย่ากลัวไปเลย ข้าเป็นเพียงคนที่เดินผ่านมาบริเวณนี้เท่านั้น”
แม่นางผู้นั้นค่อยๆลืมตาอย่างกลัวๆกล้าๆ เมื่อเห็นหยุนชางกับการแต่งกายแบบนักรบแล้ว ก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้นไปอีก
หยุนชางขมวดคิ้ว แล้วนางก็เห็นใบหน้าน้อยๆจากอ้อมกอดผู้หญิงคนนั้นโผล่ออกมาแอบมองนาง หยุนชางสูดลมหายใจเข้า “ต้องขออภัยจริงๆ ข้าขอถามหน่อย ที่นี่เกิดอะไรขึ้น พวกท่านรู้หรือไม่? ข้ามีเรื่องด่วนที่ต้องจัดการ คนในครอบครัวของข้ากำลังเดินทางกลับบ้านโดยจะต้องผ่านเส้นทางจุดนี้ ข้าเพียงแต่จะมารับพวกเขา แต่ว่าตลอดเส้นทางข้าไม่พบเจอผู้ใดเลย……”
ผู้หญิงคนนั้นยังคงอ้ำๆอึ้งๆพูดสิ่งใดไม่ออก แต่เด็กชายนั้นกลับเงยหน้ามองมาที่หยุนชาง เขาหรี่ตาแล้วตอบว่า “พวกเราก็ไม่รู้ รถม้าเดินทางมาถึงตรงนี้แล้วจู่ๆก็……หยุดลงกลางคัน สารถีรถม้าร้องลั่นออกมาแล้วจากนั้นก็หายตัวไป ท่านแม่ชะโงกหน้าออกไปดูว่าด้านนอกเกิดอะไรขึ้น ก็ได้เห็น……”
หยุนชางพยักหน้าตั้งใจฟัง แล้วนางก็หันหลังกลับ จากนั้นก็กระโดดขึ้นบนหลังม้า นางนิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะพูดว่า “ในเวลานี้ เส้นทางนี้เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย เจ้าจงพาท่านแม่ของเจ้าเดินอ้อมหนีไปเถอะ” หยุนชางรู้ว่า นางมีสายลับคอยติดตามอยู่ จึงเรียกสายลับคนหนึ่งออกมา แล้วสั่งให้สายลับพาสองแม่ลูกไปส่งที่บ้าน จากนั้นนางก็สะบัดแส้ ควบม้าผละออกไปในทันที
กองศพในป่านั่นมีราวๆพันกว่าศพ นางครุ่นคิด สายลับที่ตายไปมีจำนวนเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนผู้คุ้มกันทั้งหมด เสด็จพ่อคงจะไม่เป็นอะไร แต่ว่า รถม้า 2 คันเมื่อครู่นั้น นางเห็นชัดเจนแล้วว่ามีสัญลักษณ์ราชวงศ์ติดเอาไว้ ไม่รู้ว่าเสด็จพ่อเสด็จแม่จะถูกซุ่มโจมตีระหว่างทางหรือไม่ สองพระองค์จึงทิ้งรถม้าไว้แล้วพากันเดินหนีไป นางยังไม่พบเสด็จพ่อเสด็จแม่ ทำให้นางโล่งอก เพราะในเวลานี้ การไม่ได้เจอศพนั้นถือเป็นเรื่องที่วิเศษที่สุด แต่เมื่อหวนคิดขึ้นว่าเสด็จแม่มีผู้หญิงที่ไม่รู้ว่านางมีจุดประสงค์อะไรในใจคอยติดตามอยู่ หยุนชางก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาทันที เสด็จพ่อเสด็จแม่ป่านนี้จะอยู่ที่ใดกันนะ?
หยุนชางครุ่นคิด นางกัดฟัน แล้วเรียกสายลับทุกคนออกมา นางสั่งการว่า “ข้ารู้ว่าท่านอ๋องส่งพวกท่านมาคุ้มกันข้า แต่ว่าตอนนี้ข้ามิได้เป็นอะไร ข้าเป็นห่วงแต่เสด็จพ่อเสด็จแม่ พวกท่านจงใช้วิชาตัวเบาไปตามสืบมาว่าเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของข้าได้อยู่แถวๆนี้หรือไม่”
สายลับคนหนึ่งที่ยืนอยู่แถวหน้าสุด เขาเป็นชายวัยกลางคน เมื่อได้ยินคำสั่งแล้วก็พูดขึ้นมาว่า “พวกหม่อมฉันต้องรักษาคำมั่นว่าจะคอยปกป้องอารักขาพระชายาด้วยชีวิตพ่ะย่ะค่ะ”
การเดินทางบนหลังม้าที่ยาวนาน บวกกับสถานการณ์สุดแสนสยดสยองเมื่อครู่นี้ หยุนชางก็หน้าซีดมากพอแล้ว ยิ่งได้ยินสายลับพูดเช่นนั้น นางก็ยิ่งหน้าซีดขึ้นไปอีก สักพักหนึ่ง นางก็ยิ้มแล้วชักมีดพกออกมาจากขา นางจ่อมีดเข้าไปที่คอของตนเอง “หากแม้นวันนี้เสด็จพ่อเสด็จแม่ทรงเป็นอะไรไป ข้าก็จะขอตายอยู่ ณ ที่ตรงนี้ ข้าจะคอยดูซิว่าพวกท่านจะได้รับโทษจากท่านอ๋องเช่นไรบ้าง ข้าพอจะมีวิทยายุทธอยู่บ้าง สามารถเอาตัวรอดได้ พวกท่านจงฟังคำสั่งข้า ออกไปตามหาเสด็จพ่อเสด็จแม่ของข้าเดี๋ยวนี้”
เหล่าสายลับเงยหน้ามองไปยังหยุนชาง สักพัก สายลับที่เป็นชายวัยกลางคนก็พยักหน้า เขากวักมือส่งสัญญาณให้คนอื่นๆที่อยู่ด้านหลัง แล้วสายลับเหล่านั้นก็แยกย้ายหายไปในทันที
หยุนชางถอนหายใจโล่งอก หากไม่ใช่เพราะหนิงเชียนต้องปลอมตัวเป็นฮองเฮาอยู่ที่วัง คอยแก้แค้นเรื่องที่ฮองเฮานำคนของตนไปขังไว้ในตำหนักจินหลวน นางก็คงไม่ต้องรบกวนคนของจิ้งอ๋องเช่นนี้
เหล่าสายลับพลิกแผ่นดินตามหาจักรพรรดิหนิงและจิ่นเฟย แต่กลับไม่พบร่องรอยใดๆแม้แต่น้อย
หยุนชางเดินไปข้างหน้า เมื่อข้ามป่าสองแห่งไปได้ ก็จะเข้าเขตเมืองเฟิ่งไหล เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างนะ? นางครุ่นคิดอยู่ในใจ หยุนชางขมวดคิ้ว หากจะว่าตามหลักความเป็นจริง กองกำลังของพวกเขาน่าจะมาถึงป่าเมื่อครู่ตั้งนานแล้ว ในป่ามีร่องรอยการต่อสู้ แต่กลับไม่พบเสด็จพ่อเสด็จแม่เลย หรือว่าพวกเขาจะกลับไปที่เมืองเฟิ่งไหลกันอีกนะ?
หยุนชางคิดในใจ แล้วสั่งการให้สายลับ 2 คนไปดูลาดเลาที่เมืองเฟิ่งไหล สายลับคนที่เหลือให้คอยติดตามนางระหว่างการเดินทาง