ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 260 องค์ชายน้อยเป็นฝีดาษ
เดินต่อมาได้สักพัก ก็ได้พบกับด้านนอกของชายป่าแห่งหนึ่ง แต่ว่าครานี้ ยังไม่ทันที่จะเดินเข้าไปในป่า เหล่าสายลับก็ออกมาคุ้มกันหยุนชาง “พระชายา มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากในป่าแห่งนั้น มีคน มีคนจำนวนมากพ่ะย่ะค่ะ”
หยุนชางตกใจ แต่ก็จะเข้าไปดูในป่า ทว่ากลับถูกสายลับขวางทางไว้ “โปรดระวังตัวไว้ก่อนพ่ะย่ะค่ะ พระชายา”
หยุนชางร้อนใจมาก แต่นางก็ยังมีสติฉุกคิด นางรู้ว่า หากนางบุกเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้า แล้วเซี่ยโหจิ้งกับหลี่จิ้งเหยียนอยู่ในนั้นจริงๆล่ะก็ พวกเขาคงไม่ปล่อยนางเอาไว้แน่
นางจะไม่ยอมให้พวกเขามีโอกาส จับตัวนางเป็นตัวประกันเพื่อใช้ข่มขู่เสด็จแม่หรือจิ้งอ๋องอีกแล้ว
หยุนชางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “ให้ม้าอยู่ตรงนี้ แล้วพวกเราค่อยๆเดินเท้าเข้าไปในป่า ในป่ารกชัฏ พื้นดินสูงๆต่ำๆ สามารถอำพรางร่องรอยการเดินของพวกเราได้ง่าย”
พูดจบก็กระโดดลงจากหลังม้า แล้วมุ่งหน้าเดินเข้าสู่ผืนป่าตรงหน้า เหล่าสายลับคอยอารักขาติดตาม
นางอาศัยพงหญ้ากำบังกาย ค่อยๆเดินเข้าไปภายในป่า เสียงจากในป่าได้ยินชัดขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งเสียงสั่งฆ่า เสียงอาวุธสงครามปะทะกัน และมีเสียงคนล้มลงบนพื้น
หยุนชางถูกสายลับคนหนึ่งคว้าตัวมาหลบไว้ที่ต้นไม้ แล้วพากระโดดจากยอดไม้นี้ไปอีกยอดไม้หนึ่ง จึงไม่มีการทิ้งรอยเท้าไว้ในป่า
ด้านล่างนั้น หยุนชางมองเห็นกลุ่มคนสวมชุดเกราะมารวมกลุ่มกัน นางขมวดคิ้ว มีเค้าร่างคนคนหนึ่งที่นางค่อนข้างคุ้น หยุนชางพยายามนึก จนกระทั่งนึกออกว่าเค้าร่างนั้นก็คือมหาเสนาบดีหลี่นั่นเอง
มหาเสนาบดีหลี่อยู่ที่นี่ คนที่อยู่ข้างๆเขาก็น่าจะเป็นเซี่ยโหจิ้ง แล้วเสด็จพ่อจะประทับอยู่ที่นี่หรือเปล่านะ?
หยุนชางสั่งให้สายลับพาอ้อมไปอีกด้านหนึ่ง มีเงาดำแฝงกายอยู่บริเวณโดยรอบหลี่จิ้งเหยียนและเซี่ยโหจิ้ง หยุนชางพยายามจ้องมอง เงาดำนั้น มีเครื่องแต่งกายเหมือนกับศพของทหารสายลับที่นางเพิ่งพบไปเมื่อไม่นาน ทหารสายลับอยู่กันที่นี่นี่เอง พวกเขามาเพื่อคอยคุ้มกันเสด็จพ่อและเสด็จแม่ใช่หรือไม่?
หยุนชางกระโดดไปด้านหน้า รอจนผ่านกลุ่มเงาดำแล้วจึงลงมาที่พื้น
“เจ้าเป็นใคร?” ทันทีที่เท้าของหยุนชางแตะพื้น พลันมีดาบจี้มาที่คอของนาง
“หยุดนะ ผู้ที่อยู่ตรงหน้าพวกเจ้าคือองค์หญิงหยุนชาง พระชายาของจิ้งอ๋อง พวกเจ้าช่างบังอาจนัก” เสียงของสายลับด้านหลังหยุนชางตวาดสวนมา หยุนชางมองไปยังผู้ที่เอามีดจี้คอตน สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “พวกท่านคือทหารสายลับประจำพระองค์ใช่หรือไม่? เสด็จพ่อเสด็จแม่ของข้าตอนนี้อยู่ที่ใด?”
ทหารสายลับผู้นั้นมองมาที่หยุนชางและสายลับด้านหลังด้วยแววตาระแวงสงสัย หยุนชางคลำไปที่เอว แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองทำป้ายประจำตัวหายไปได้อย่างไร ดาบที่จี้คอนางอยู่นั้นก็จี้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ
สายลับด้านหลังของหยุนชางรีบนำป้ายประจำตัวของตนออกมา “พวกเราคือสายลับจวนอ๋อง ผู้ใต้บังคับบัญชาของจิ้งอ๋อง ได้รับมอบหมายให้มาคุ้มกันชายาจิ้งอ๋อง”
ทหารสายลับจึงเชื่อ เขาเก็บดาบ แล้วคารวะหยุนชาง “หม่อมฉันมิทราบว่าเป็นองค์หญิง จึงได้กระทำการบังอาจ ขอองค์หญิงโปรดทรงอภัย ตอนนี้ฮ่องเต้และจิ่นเฟยเหนียงเหนียงยังคงประทับอยู่ ณ ตำหนักนอกวังในเมืองเฟิ่งไหล มีพี่น้องของหม่อมฉันคอยอารักขาอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
หยุนชางเงียบไป แล้วจึงหันไปถามทหารสายลับคนที่พูดเมื่อครู่ “เสด็จพ่อและเสด็จแม่บอกว่าจะเดินทางกลับวังหลวงวันนี้ นี่ยังไม่ออกเดินทางกันอีกหรือ?”
ทหารสายลับผู้นั้นพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ ฮ่องเต้ทรงสงสัยว่ามหาเสนาบดีหลี่จะกระทำการเลวร้ายขึ้นที่ตำหนักนอกวัง จึงได้ทรงวางแผน โดยให้คนส่งสารไปทูลท่านอ๋องว่าวันนี้จะเสด็จกลับวัง เพื่อที่จะล่องูออกจากถ้ำพ่ะย่ะค่ะ”
หยุนชางยืนอึ้ง สักพักจึงได้สติ นางคิดในใจว่า เสด็จพ่อทรงครองราชย์มานานหลายปีเช่นนี้ พระองค์ไม่มีทางสะเพร่าแน่นอน ที่แจ้งว่าจะเสด็จกลับวัง ที่แท้ก็เพื่อล่อลวงศัตรูและใช้เวลาระหว่างนี้ตระเตรียมแผนการอย่างรอบคอบ
แต่ว่า เมื่อนึกไปถึงจิ่งเหวินซีแล้ว หยุนชางก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมาอีกครั้ง ตราบใดที่จิ่งเหวินซียังคงอยู่ที่ตำหนักนอกวังในเมืองเฟิ่งไหลแม้เพียงวันเดียว นางก็ไม่อาจวางใจได้เลย
“ท่านอ๋องกำลังคุมกองกำลังตามมา แต่ว่า มหาเสนาบดีหลี่ระมัดระวังตัวเก่ง เกรงว่าอีกไม่นานเขาจะเคลือบแคลงถึงการเคลื่อนไหวของฝ่ายเรา ดังนั้นขอให้พวกท่านพยายามถ่วงเวลามหาเสนาบดีหลี่เอาไว้ให้ได้มากที่สุด” หยุนชางกำชับพลางจูงม้า แล้วออกเดินทางไปยังเมืองตำหนักนอกวังเมืองเฟิ่งไหล
ไม่นานนัก นางก็เดินทางมาถึงเมืองเฟิ่งไหล ประตูเมืองเฟิ่งไหลปิดสนิท หยุนชางพยายามเคาะประตูอยู่นาน ทันใดนั้นนางก็ได้เห็นบนป้อมประตูมีนักแม่นธนูยืนเรียงรายกันเป็นแถวๆ สายลับจึงรายงานว่าพวกเขาคือใคร จากนั้นมีคน 2 คนเดินออกมาจากประตู เขาตรวจสอบจนแน่ใจ แล้วจึงให้หยุนชางเข้าไปด้านใน
พระราชวังเฟิ่งไหลตั้งอยู่ตอนกลางของภูเขาหลังเมืองเฟิ่งไหล หยุนชางขึ้นเขา นางสูญเสียเรี่ยวแรงไปไม่น้อยกว่าจะมาถึงตำหนักนอกวัง เมื่อนางเข้ามาภายในตำหนัก ก็เห็นนางกำนัลในตำหนักสีหน้าไม่สู้ดี
หยุนชางเรียกนางกำนัลนางหนึ่งมาสอบสวน จนได้ทราบว่า องค์ชายน้อยทรงประชวร
หยุนชางตกใจมาก นางกัดริมฝีปากตนเอง หรือว่า จิ่งเหวินซีได้ลงมือทำการบางอย่างลงไปแล้ว? แถมยังมีเป้าหมายเป็นน้องชายของตนด้วย?
ในขณะที่หยุนชางกำลังวิ่งไปที่ตำหนักที่ประทับของจิ่นเฟย นางก็ได้เห็นประตูใหญ่ถูกปิด ที่หน้าประตูมีทหารองครักษ์คอยรักษาเวรยามอยู่จำนวนหนึ่ง หยุนชางจะเดินเข้าไป แต่กลับถูกขวางเอาไว้
“ข้าคือองค์หญิงหยุนชาง ให้ข้าเข้าไปเดี๋ยวนี้” หยุนชางขมวดคิ้ว สีหน้าแสดงออกถึงความไม่พอใจ
ทหารองครักษ์ส่ายหน้า “องค์ชายน้อยประชวรด้วยโรคอีสุกอีใส เพื่อป้องกันการแพร่โรค จึงมิอาจให้ผู้ใดเข้าไปข้างในได้พ่ะย่ะค่ะ”
เป็นอีสุกอีใสหรือ? หยุนชางหน้าซีด ไยจึงเป็นเช่นนี้ไปได้? นางรู้ดีว่า การที่เด็กอายุน้อยเช่นนี้ป่วยเป็นโรคอีสุกอีใสนั้นมันหมายความว่าอย่างไร นางทั้งกังวลและสงสัย โรคอีสุกอีใสมักจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูหนาว เหตุใดในฤดูร้อนเช่นนี้ น้องชายจึงเป็นอีสุกอีใสขึ้นมาได้
“ฮ่องเต้กับจิ่นเฟยเหนียงเหนียงล่ะ?” หยุนชางรีบเอ่ยถาม
ทหารองครักษ์ตอบหน้านิ่ง “ฮ่องเต้กับจิ่นเฟยเหนียงเหนียงประทับอยู่ด้านในพ่ะย่ะค่ะ”
“เสด็จแม่! เสด็จแม่เพคะ! หม่อมฉันชางเอ๋อร์เองเพคะ หม่อมฉันเคยเรียนด้านการแพทย์มา ขอให้หม่อมฉันได้เข้าไปดูน้องชายเถอะนะเพคะ” หยุนชางตะโกนเสียงก้องอยู่ที่ประตูตำหนัก
หยุนชางร้องเรียกอยู่นาน ในขณะที่นางกำลังจะพังประตูเข้าไปนั้น ประตูตำหนักก็ถูกผลักออก หยุนชางกำลังจะปราดตัวเข้าไป แต่กลับได้ยินคำสั่ง “กั้นนางเอาไว้” ทหารองครักษ์รีบกั้นหยุนชางเอาไว้นอกประตู
หยุนชางไม่พอใจ นางเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นเสด็จแม่ยืนทอดพระเนตรนางอยู่ห่างๆจากด้านใน “เจ้าไม่เคยเป็นอีสุกอีใส จะเข้ามาไม่ได้เด็ดขาด”
หยุนชางรีบเอ่ย “เสด็จแม่เพคะ ให้หม่อมฉันเข้าไปเถอะนะเพคะ หม่อมฉันพอจะรู้เรื่องการแพทย์ หม่อมฉันรู้ว่าควรจะดูแลน้องชายอย่างไรเพคะ”
จิ่นเฟยยังคงยืนนิ่ง “เจิ้งมามาก็เคยเรียนการแพทย์มาเช่นกัน นางจะเป็นผู้ดูแลเฉินซีเอง”
หยุนชางขมวดคิ้ว นางเห็นว่าเสด็จแม่ยังทรงยืนกรานไม่ให้นางเข้าไปแน่นอน จึงถอนหายใจ ในขณะที่นางกำลังจะถอยไปนั้น ก็ได้ยินเสียงสตรีนางหนึ่งรายงานว่า “จิ่นเฟยเหนียงเหนียง ซีเอ๋อร์ทายาให้องค์ชายน้อยเรียบร้อยแล้วเพคะ”
หยุนชางถึงกับผงะ นางเห็นจิ่งเหวินซีเดินออกมาจากในตำหนัก เมื่อจิ่งเหวินซีเห็นนางก็ตกใจเช่นเดียวกัน แต่ก็ส่งยิ้มมาทักทายหยุนชาง “เหตุใดองค์หญิงหยุนชางจึงเสด็จมาที่นี่ได้ล่ะเพคะ? องค์หญิงหยุนชางไม่เคยเป็นฝีดาษ อย่าเสด็จเข้ามาข้างในเลยนะเพคะ หากอีสุกอีใสนี้แพร่ออกไปจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้นะเพคะ”
ลักษณะท่าทาง ทำราวกับเป็นห่วงเป็นใยหยุนชางมาก หยุนชางขมวดคิ้ว นับตั้งแต่จิ่งเหวินซีเข้ามาในเมืองเฟิ่งไหล เฉินซีก็เป็นฝีดาษ ไยโลกใบนี้จึงมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ขึ้นได้นะ หยุนชางไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด เฉินซีเป็นอีสุกอีใส เรื่องนี้ไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไร นางเชื่อมั่นในฝีมือการรักษาของเจิ้งมามา แต่ว่า จิ่งเหวินซียังคอยดูแลเฉินซีอยู่ด้านใน หากจิ่งเหวินซีเป็นดังที่นางคิด ก็คงจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเฉินซีได้ เฉินซีคงจะต้องตกอยู่ในอันตรายแน่นอน
คิดมาถึงจุดนี้แล้ว หยุนชางก็เก็บมือเข้าในแขนเสื้อ แล้วงัดมือออกมาอีกครั้ง นางฟาดไปที่ทหารองครักษ์ที่ยืนขวางนางอยู่ แต่เพราะมีจิ่งเหวินซีอยู่ที่นั่น นางจึงไม่อาจแสดงวิทยายุทธออกมาให้เห็น แต่ว่า การที่จะได้เข้าไปด้านในนั้น ก็มิใช่เรื่องยาก
ทหารองครักษ์ทั้งสองพลันก็ยืนเซ หยุนชางอาศัยจังหวะนี้ รีบปราดตัวเข้าไปด้านใน แล้วสวมกอดจิ่นเฟย นางเงยหน้ามองจิ่นเฟยแล้วยิ้มให้ นางหยิบเอาเข็มเงินขึ้นมา “ทหารองครักษ์สองคนนั่นไม่เอาไหนเลยนะเพคะ หม่อมฉันเผลอปักเข็มกลับด้านลงไป หม่อมฉันเคยเรียนวิชาเข็มเงินดูดเลือดมาจากเจิ้งมามา ในเมื่อหม่อมฉันอยู่ตรงนี้แล้ว ขอเสด็จแม่อย่าทรงขับไล่หม่อมฉันไปเลยนะเพคะ”
สีหน้าของจิ่นเฟยดูซีดเซียว นางจ้องมองมาที่หยุนชาง “เจ้าออกไปเถอะ หากว่าเจ้าติดโรคไปอีกคน จะให้ข้าทำอย่างไรล่ะ?”
หยุนชางหุบยิ้มและทำหน้าเศร้า นางนิ่งอยู่สักพักแล้วจึงลุกขึ้นมา นางหันหลังให้จิ่งเหวินซี แล้วอ้าปากกราบทูลเสด็จแม่โดยไม่ให้มีเสียงเล็ดลอด “จิ่งเหวินซีไว้ใจไม่ได้ หม่อมฉันมิอาจจะให้นางเข้าใกล้เฉินซีได้เพคะ”
จิ่นเฟยเงียบไปชั่วครู่ นางมองไปที่หยุนชาง แล้วออกคำสั่ง “เด็กๆ ไปต้มยาน้ำมาให้องค์หญิงและคุณหนูจิ่งแช่ตัว นำเสื้อผ้าสะอาดมาให้เปลี่ยน แล้วให้นางออกไปจากที่นี่”
หยุนชางรีบส่ายหน้า “เสด็จแม่เพคะ หม่อมฉันเข้ามาถึงขนาดนี้แล้ว หม่อมฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้นเพคะ” พูดจบ ก็หันไปพูดกับจิ่งเหวินซี “คุณหนูจิ่งดูแลเฉินซีอย่างใกล้ชิด คงจะเคยเป็นอีสุกอีใสมาก่อนแล้ว เวลานี้จึงไม่อาจติดโรคฝีดาษได้อีก ท่านรีบไปเถอะ ข้าจะอยู่ดูแลทางนี้เอง ทุกอย่างไม่มีปัญหา”
จิ่งเหวินซีเบิกตาโตมองมายังทางหยุนชาง นางรู้สึกลังเลเล็กน้อย “แต่ว่า……”
หยุนชางไม่เปิดโอกาสให้จิ่งเหวินซีพูดมาก “จิ้งอ๋องกำลังนำทัพทหารม้ามุ่งหน้าเข้ามา อีกไม่นานก็คงจะมาถึงตำหนักนอกวัง ข้าคงจะออกไปไหนไม่ได้แล้ว รบกวนคุณหนูจิ่งช่วยกราบทูลให้จิ้งอ๋องทรงทราบด้วย รอให้อีสุกอีใสของเฉินซีหายแล้ว ข้าจึงจะออกไปด้านนอก