ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 262 ปริศนาของโลกอีสุกอีใส(๒)
เจิ้งมามาหลับตาลงและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ใช่แล้วเพคะ หม่อมฉันจำได้ว่าตอนคุณหนูจิ่งมาครั้งแรก นางใช้ผ้าเช็ดหน้าสีชมพูปักด้วยดอกพุดตาน สองวันต่อมา นางเข้าไปที่เมือง หลังจากกลับมาจากซื้อของแล้ว นางก็เปลี่ยนเป็นผ้าเช็ดหน้าสีเขียวปักด้วยดอกเหมยแทน หม่อมฉันรู้สึกว่าผ้าเช็ดหน้าของนาง ไม่เข้ากับสีของเสื้อผ้าที่นางใส่ในวันนั้น จึงมองไปหลายครั้ง คุณหนูจิ่งยังบอกหม่อมฉันอีกว่า นางเห็นมันตอนไปซื้อของ เห็นว่ามันสวยดีก็เลยซื้อมา ตอนนั้นหม่อมฉันก็ไม่สงสัยอะไร แต่ตอนนี้พอคิดๆดูแล้ว รู้สึกว่าผ้าเช็ดหน้าสีเขียวผืนนั้นดูเหมือนเคยผ่านการใช้มานานสักพักแล้ว ไม่เหมือนเพิ่งซื้อใหม่ ต่อมาคุณหนูจิ่งก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าสีเขียวผืนนั้นตลอด คุณหนูจิ่งดูจะชอบองค์ชายน้อยมาก วันนั้นแม่นมขององค์ชายน้อยยังบอกด้วยว่า คุณหนูจิ่งแทบจะแย่งงานของนางทั้งหมดแล้ว… คุณหนูจิ่งอยู่ใกล้องค์ชายน้อยมาหลายวันแล้ว ดังนั้นนางจะมีโอกาสได้อย่างแน่นอน…”
เจิ้งมามากล่าว สีหน้าของนางซีดลงทันที “เป็นหม่อมฉันที่ประมาทเอง หม่อมฉันมักกลัวจะเกิดเรื่องกับองค์ชายน้อย ให้ความสนใจกับปัจจัยสี่ขององค์ชายน้อยเป็นพิเศษ แต่ไม่คิดเลยว่าจะช่องโหว่ในจุดนี้” พอพูดเสร็จก็ลุกขึ้น “เมื่อครู่จิ่งเหวินซีได้ไปอาบน้ำแล้ว หม่อมฉันจะให้คนไปขโมยผ้าเช็ดหน้าของนางมา หม่อมฉันจะดูว่าเป็นเพราะผ้าเช็ดหน้านั่นมีปัญหาหรือไม่ ”
พระสนมจิ่นเห็นเจิ้งมามาโทษตัวเองอย่างมาก ดังนั้นนางจึงรีบดึงเจิ้งมามาไว้และกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้า จิ่งเหวินซีเป็นคนที่มีจิตใจ และความคิดในใจก็ไม่น้อย เจ้าควรตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจน อย่าได้ปรักปรำนาง ต่อจากนี้เราจะให้ความสำคัญกับเฉินซีมากขึ้น”
เจิ้งมามาพยักหน้าและ แล้วถอยออกไป
หยุนชางยังคงก้มหน้าครุ่นคิด แม้ว่าจะยังไม่ได้รับการยืนยันว่าจิ่งเหวินซีเป็นคนทำ แต่หยุนชางกำลังคิดอยู่ว่า หากเป็นไปตามความคาดเดาจริงๆ จิตใจของจิ่งเหวินซีจะลึกแค่ไหน ใส่ใจรายละเอียดเล็กๆเหล่านี้ แล้วทำการจัดเตรียม ยิ่งกว่านั้น มันไม่ง่ายเลยที่จะหาผ้าเช็ดหน้าที่คนที่เป็นโรคอีสุกอีใสใช้ในเวลาอันสั้น นางสงสัยว่ามีคนอยู่เบื้องหลังคอยบงการจิ่งเหวินซี
ตอนที่อยู่ในวังหลวง นางลืมไม่ได้ว่าฮองเฮาพูดกับนางอย่างมั่นใจว่านางจะลงมือกับพระสนมจิ่นและองค์ชายน้อย เป็นไปได้ไหมว่านี่คือสิ่งที่ฮองเฮาพูด? ถ้าฮองเฮาหลอกใช้จิ่งเหวินซี และจัดการให้ใครซักคนช่วยนาง มันคงเป็นไปได้เช่นกัน
หยุนฉางคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงแจ้งกับพระสนมจิ่น แล้วออกจากห้องโถงด้านใน ตามผู้องครักษ์ลับเข้ามา และขอให้องครักษ์ลับไปตรวจสอบว่า หลายวันมานี้จิ่งเหวินซีติดต่อใคร ไปที่ใดมาบ้าง และทำอะไร
นางไม่กล้าที่จะประมาทอีกต่อไป ในชาติที่แล้วนางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสด็จแม่ของตนจากไปอย่างไร ในภพนี้ ตั้งแต่นางเกิดใหม่ แน่นอนว่านางจะปกป้องคนใกล้ชิดของนาง
พระสนมจิ่นกลัวว่าอีสุกอีใสจะแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น ดังนั้น นางจึงให้นางกำนัลที่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสรับใช้อยู่ในห้องโถงเพียงคนเดียว แม้ว่าพระสนมจิ่นจะไม่อนุญาตให้หยุนชางแตะต้องเฉินซี แต่นางก็อนุญาตให้ทำอย่างอื่นได้
หนึ่งวันก็ผ่านไปเยี่ยงนี้ ท้องฟ้าก็ค่อยๆมืดลง แต่เมื่อได้ยินประตูตำหนักถูกเคาะ หยุนชางก็ขมวดคิ้ว และได้ยินเสียงของจิ่งเหวินซีจากด้านนอก มีความหงุดหงิดเล็กน้อย “องค์หญิงตรัสกับหม่อมฉันว่าท่านอ๋องจะเสด็จมาในวันนี้ แต่นี่ก็มืดแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นท่านอ๋องเลย เป็นไปได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่านอ๋องเพคะ?”
ปากของหยุนชางยิ้มเยาะเย้ย ตนเพียงพูดอะไรบางอย่างโดยไม่ได้ตั้งใจ และพูดว่าหากท่านอ๋องมาจริง ให้นางช่วยรายงานข่าว แต่นางถึงกับเฝ้ารอตลอด และรอจนกระทั่งไม่พบตัวก็มาถามตัวเอง
“บางทีอาจมีอะไรทำให้ล่าช้าในการเดินทาง ท่านอ๋องมากับเหล่าทหาร คงจะไม่มีอะไร เพียงว่าพวกเขาคนเยอะ จะทำให้เดินทางช้ากว่าปกติ มันไม่เอื้อต่อการเดินทางในเวลากลางคืน คงหาที่ตั้งค่ายพักแล้ว คงจะเสด็จมาได้พรุ่งนี้แล้วมั้ง” หยุนชางตอบอย่างเป็นกันเอง
แต่ในใจของนางมีความกังวลเล็กน้อย ตอนนี้องครักษ์ลับคงจะรายงานให้จิ้งอ๋องทราบสถานการณ์ก่อนหน้านี้ที่นางเห็นในป่าแล้ว สิ่งที่นางเห็นในวันนี้ กองกื ลังที่หลี่จิ้งเหยียนและเซี่ยโหจิ้งนำมา มีมากกว่าสี่หมื่นนาย
และไม่รู้ว่าองครักษ์ลับได้รอกองกำลังเสริมของจิ้งอ๋องหรือไม่
หยุนชางเรียกองครักษ์ลับมาอีกครั้ง เพื่อไปตรวจสอบสถานการณ์ของจิ้งอ๋อง ทันทีที่หยุนชางสั่งเสร็จ นางก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของจิ่งเหวินซีจากฝั่งตรงข้ามประตู
หยุนชางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ตอนนี้นางรู้สึกเศร้าหรือ?
ทันทีที่องครักษ์ลับจากไป หยุนชางเห็นจักรพรรดิหนิงเข้ามาจากด้านนอกและหยุดลงตรงหน้าหยุนชาง หยุนชางรีบเดินเข้าไป “เสด็จพ่อ”
จักรพรรดิหนิงตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นหยุนชาง “ชางเอ๋อร์ ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่ ไม่ใช่อยู่กับจิ้งอ๋อง?”
หยุนชางรีบกล่าวว่า “ชางเอ๋อร์เป็นห่วงเสด็จแม่และน้องชาย จึงรีบมาดูก่อน เสด็จแม่กล่าวว่าเสด็จพ่อมีการด่วนต้องรีบเสด็จออกไป เป็นเรื่องของเสนาบดีหลี่หรือไม่เพคะ?”
จักรพรรดิหนิงเหลือบมองไปยังไฟในห้องโถงที่สว่างไสว พยักหน้า “ข้าจะไปดูซูจิ่นและเฉินซีก่อน เจ้าไปรอเจิ้นที่ห้องทรงอักษร” หลังจากนั้น ก็ก้าวเข้าไปในห้องโถง
หยุนชางรู้ดีว่าจักรพรรดิหนิงไม่ต้องการให้พระสนมจิ่นกังวล จึงตอบรับคำและเดินไปที่ห้องทรงอักษร ในห้องไม่ระเบียบเรียบร้อยนัก หยุนฉางเห็นแผนที่หลายแผ่นและหนังสืออีกหลายเล่มบนโต๊ะ
หยุนชางเดินไปที่โต๊ะและมองดูแผนที่บนโต๊ะ แผนที่มีทั้งชายแดนของแคว้นเซี่ย ชายแดนของแคว้นเย้หลาง และชายแดนแคว้นหนิง หยุนฉางเห็นว่าจักรพรรดิหนิงวาดวงกลมบนเมืองลู่ของแคว้นเซี่ย และวาดวงกลมบนเมืองคังหยางของแคว้นหนิง
คังหยาง หยุนชางเคยได้ยินจากจิ้งอ๋องพอสมควร ดังนั้นนางจึงเหลือบมองเพียงเล็กน้อยแล้วจึงละสายตาไปที่แคว้นเซี่ย เมืองลู่
เมื่อเร็วๆนี้หยุนชางได้ศึกษาแคว้นเซี่ยเช่นกัน โดยรู้ว่าแม้ว่าเมืองลู่จะเป็นเมืองชายแดนของแคว้นเซี่ย แต่ก็ไม่ได้อยู่ติดกับแคว้นหนิง เมืองลู่เป็นเมืองชายทะเล กับแคว้นหนิงยังถูกคั่นด้วยภูเขา เหตุที่เสด็จพ่อวาดเมืองลู่ออกมาโดยเฉพาะนั้นหมายความว่าอย่างไรกัน เป็นไปได้ไหมว่าต้องการใช้ทางทะเลอ้อมภูเขา และโจมตีเมืองลู่โดยตรง?
หยุนฉางคร่ำครวญครู่หนึ่ง แล้วส่ายหัว ความสามารถในการสู้รบทางเรือของแคว้นหนิงนั้นไม่ค่อยดีนัก และหากจะโจมตีเมืองลู่การจัดหาการเตรียมการของศึกสงครามก็เป็นปัญหาใหญ่ เพียงแต่ว่าตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของเมืองลู่ก็ดี เมืองเมืองลู่เป็นเมืองที่ทอดยาว ด้านใต้สุดหันหน้าออกสู่ทะเล และด้านเหนือสุดเกือบลึกเข้าไปในใจกลางของแคว้นเซี่ย หากสามารถยึดครองได้ จะเป็นวิธีที่ดีในการกำจัดกำลังพล
เมื่อจักรพรรดิหนิงเข้ามา นางเห็นหยุนชางกำลังจ้องมองที่แผนที่ จักรพรรดิหนิงหยุดเล็กน้อย จากนั้นยิ้มและเอ่ยปาก “ดูเจ้าสิ เจ้าดูจริงจังแค่ไหน แต่เจ้าเห็นอะไรบ้างล่ะ”
หยุนฉางยิ้มแล้วกล่าวว่า “ชางเอ๋อร์เห็นว่าเสด็จพ่อทำเครื่องหมายเฉพาะที่เมืองคังหยางและเมืองลู่บนแผนที่เหล่านี้ ท่านอ๋องเคยพูดกับชางเอ๋อร์ก่อนหน้านี้ว่า เมืองคังหยางนับว่าเป็นประตูของแคว้นหนิง ถ้าคังหยางเสียเมือง คังหยางหลังจากนั้น ไม่มีข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ในการป้องกันและไม่มีแม่ทัพที่สามารถเป็นผู้นำสงครามได้ จังหวะของการโจมตีจากแคว้นเซี่ยนั้นแทบจะหยุดได้ยาก ยิ่งกว่านั้น แม้ว่านายพลในปัจจุบันของคังหยางที่ปกป้องเมืองจะเป็นแม่ทัพผ่านศึก แต่กลับมีความหยิ่งทะนงเล็กน้อย กุนซือของแคว้นเซี่ยมีความชัดเจนมากเกี่ยวกับจุดอ่อนของเขา เกรงว่าจะใช้ผลประโยชน์นี้มาลงมือ”
จักรพรรดิหนิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ทำไมจิ้งอ๋องถึงบอกเจ้าเรื่องพวกนี้?”
หยุนชางยิ้ม “เพียงว่าในวันนั้นเห็นท่านอ๋องวาดสถานที่นี้บนแผนที่ด้วย ข้าจึงถามด้วยความสงสัยเล็กน้อย ชางเอ๋อร์ยังกล่าวกับท่านอ๋องว่า สตรีและคนถ่อยนั้นไม่น่าคบหา ถ้าเสด็จพ่อส่งข้าไปเป็นผู้ดูแลทหาร อาจจะสามารถยับยั้งข้อบกพร่องของแม่ทัพฉีหล่างได้ เขาหยิ่งทะนอง และข้าจะหยิ่งผยองมากกว่าเขา ด้วยฐานะของข้า เกรงว่าเขาคงจะมิกล้าทำอะไรหรอกเพคะ”
เมื่อจักรพรรดิหนิงได้ยินคำพูดนั้น ก็หัวเราะ “มันก็ไม่เป็นการเคลื่อนไหวที่เสียเปรียบ แต่เจิ้นเห็นว่าเจ้ากำลังดูเมืองลู่อยู่?”
หยุนชางพยักหน้า “หยุนชางเห็นเสด็จพ่อทำเครื่องหมายไว้ แอบคาดเดาว่า ทำไม เสด็จพ่อจึงวาดแค่เมืองนี้เมืองเดียว”
จักรพรรดิหนิงเลิกคิ้วขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “โอ? ถ้าเยี่ยงนั้นก็ลองพูดมา ว่าทำไม?”
“ชางเอ๋อร์เดาว่าน่าจะเป็นเพราะที่ตั้งของเมืองลู่ใช่หรือไม่เพคะ ในแผนที่เมืองลู่ไม่นับว่าเป็นเมืองที่ใหญ่นัก แต่ว่า มีความพิเศษเล็กน้อย ด้านใต้สุดติดกับทะเล ซึ่งเป็นพรมแดนของแคว้นเซี่ย และเหนือสุดลึกเข้าไปในใจกลางของแคว้นเซี่ย ห่างจาก
เมืองหลวงของแคว้นเซี่ยออกไปเพียงสองร้อยไมล์ หากสามารถยึดได้ ก็จะเข้าใกล้ เมืองหลวงของแคว้นเซี่ยมาก” หยุนฉางกล่าวเบาๆ
จักรพรรดิหนิงพยักหน้า “แล้วเจ้าคิดว่า ที่แห่งนี้ ทำไมไม่มีใครเคยพยายามลองเข้ายึดครอง?”
หยุนฉางยิ้มเล็กน้อย “มันก็เป็นเพราะตำแหน่งที่ตั้งของมัน ภูเขาที่อยู่ข้างๆสูงมากจนแทบจะเป็นไปได้มากที่จะบุกจากฝั่งภูเขา และถ้าผ่านทะเล สงครามทางน้ำก็มีข้อจำกัดมาก อย่างแรก การก่อสร้างเรือ การเลือกทหาร และประการที่สอง ถ้าจะโจมตีจากน้ำก็คือ เป็นปัญหาใหญ่มากในการเตรียมกองกำลังเสริมสำหรับการต่อสู้”
จักรพรรดิหนิงนิ่งเงียบเมื่อได้ยินคำพูดนั้นและผ่านไปครู่หนึ่งค่อยตรัสว่า “ข้าคิดว่าเจ้าคงรู้แค่การต่อสู้ในวังเหมือนกับหญิงคนอื่นๆ น่าเสียดาย ที่เจ้าเป็นผู้หญิง”