ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 265 ร่วมมือขจัดโชคความรัก
ดวงตาของหยุนชางสบตากับจิ้งอ๋องในกระจก จากนั้นก็ขยับตัวออกไปอย่างแผ่วเบา ด้วยรอยยิ้มที่ไร้สาระที่มุมปากของนาง ราวกับว่านางกำลังพูดว่า ดูสิ ข้ารู้ว่าต้องเป็นเยี่ยงนี้
จิ้งอ๋องเลิกคิ้วขึ้น ไม่ได้แม้จะหันศีรษะและพูดเสียงดัง “เจ้าไปบอกนางว่า ข้าจะเป็นอะไรหรือไม่ เกี่ยวอะไรกับนาง? นางเชื่อหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า ถ้ายังเอะอะโวยวาย รบกวนข้าและพระชายา ก็ให้หมอถอนตัวออกไป ไม่ต้องรักษาก็โยนทิ้งไป บอกนางว่า ในพระราชวังนี้ ไม่ใช่ที่ที่นาง มาป่าเถื่อนได้”
ไม่มีเสียงจากด้านนอก หยุนชางนางถอนหายใจ นางไม่เชื่อหรอกว่า ท้ายที่สุดจิ่งเหวินซีก็มีโอกาสแล้ว นางจะยอมแพ้เช่นนี้ เกรงว่ามันจะทำให้นางไม่พอใจมากขึ้น หยุนชางมัดผมให้จิ้งอ๋องและหามงกุฏโม่ยวี่สวมใส่ให้ จากนั้นก็หันศีรษะและพูดกับจิ้งอ๋องว่า “ครั้งนี้ที่เฉินซีเป็นอีสุกอีใส เป็นไปได้มากว่าเป็นฝีมือของจิ่งเหวินซี ข้าสงสัยว่านางใช้ผ้าเช็ดหน้าที่คนเคยเป็นอีสุกอีใสใช้แล้ว มาทำให้เฉินซีติดเชื้อ ข้าส่งคนไปตรวจสอบแล้ว ประเดี๋ยวคงจะทราบผล จิ่งเหวินซีนางนี้ ข้าเกรงว่ามันจะไม่ง่าย ควรจะระวังไว้ดีกว่า”
จิ้งอ๋องได้ยินสิ่งนี้ แววตาของเขาแสดงความประหลาดใจ เขาไม่คิดว่ามันยังคงมีเรื่องขั้นดังกล่าวอยู่ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็กล่าวว่า “อือ ได้ ถ้าพบว่านางทำจริงๆ นางก็จะถูกคุมขังทันทีในข้อหาลอบฆ่ารัชทายาท”
หยุนชางจ้องไปที่จิ้งอ๋องอย่างโกรธเคือง “เดิมทีข้าตั้งใจจะทำเช่นนี้ แต่เจ้าทำมันล้มเหลว ตอนนี้ข้าเกรงว่าทุกคนจะรู้แล้วว่า จิ่งเหวินซีมีความรู้สึกที่ดีต่อจิ้งอ๋องของเรา หากเป็นเช่นนี้ หากเวลาข้าจะจัดการกับนางแบบนี้ กลัวว่าซักพักจะมีคนบอกว่าข้าหึงและจงใจมุ่งเป้าไปที่นาง กลัวว่าเมื่อเรื่องส่งต่อๆไป มันจะกลายเป็นข้าใส่ร้ายนาง”
จิ้งอ๋องเปิดปาก ใบหน้าของเขาอึดอัดเล็กน้อย สักพักจึงพูดว่า “ไม่มั้ง ผู้หญิงน่ากลัวมากเช่นนี้เลยรึ?”
หยุนชางได้ยิน โกรธจนหัวเราะออกมา โยนหวีในมือใส่จิ้งอ๋องและกล่าวว่า “ใช่ ข้าน่ากลัวเยี่ยงนี้แหละ”
หลังจากพูดจบก็ออกไป ไปที่ห้องโถงใหญ่เพื่อดูอาการเฉินซี นำยาไปต้มด้วยตนเอง แล้วส่งยาไป ทันทีที่ไปส่งยา ก็ได้ยินเสียงจากด้านนอก หยุนชางขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “เกิดอะไรขึ้น ก็บอกแล้วว่าองค์ชายน้อยต้องการพักผ่อน เอะอะเสียงดังอะไรกัน?” จากนั้นก็สั่งการองครักษ์ลับ “ไปดูสิ เกิดอะไรขึ้นที่ด้านนอก?”
องครักษ์ลับส่งข่าวมาอย่างรวดเร็ว “เรียนนายหญิง คือคุณหนูจิ่ง…”
หยุนชางรู้สึกเพียงได้ยินชื่อนั้นก็เหนื่อยแล้ว เมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง นางระงับความไม่พอใจในใจของนางไว้ พูดอย่างเฉยเมย “ทำไมอีกรึ?”
“คุณหนูจิ่งลากร่างที่บาดเจ็บของนาง มาคุกเข่าลงที่หน้าประตู แล้วเรียกพระชายาตลอด โดยบอกว่านางไม่ได้คิดอะไร แต่แค่อยากรู้ว่าท่านอ๋องสบายดีไหม และถ้าท่านอ๋องสบายดี นางก็โล่งใจ” เสียงขององครักษ์ลับไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
หยุนชางอดหัวเราะไม่ได้ และในเวลานี้ เขาเห็นจิ้งอ๋องเดินออกจากห้องโถงด้านข้าง และกล่าวว่า “ดูนางพูดน่าประทับใจขนาดไหน ท่านอ๋องจะไม่ไปดูหน่อยหรือ”
จิ้งอ๋องเลิกคิ้วและมองมาที่หยุนชาง”ทำไมเจ้าไม่ไปแสดงกับข้าสักฉากล่ะ คนหนึ่งเล่นบทคนดีคนหนึ่งเล่นบทผู้ร้าย”
หยุนชางไม่รู้ว่าเขาต้องการทำอะไร แต่นางก็เข้าใจว่า หากจิ่งเหวินซีนี้ยังอยู่ที่เมืองเฟิ่งไหล ก็จะกลายเป็นหนามในหัวใจนางไปวันๆ คิดว่าในเมื่อจิ้งอ๋องพูดเยี่ยงนี้ มันต้องมีวิธีของเขา นางจึงยิ้มแล้วพูดว่า “ได้เพคะท่านอ๋องจะแสดงอย่างไรเพคะ”
จิ้งอ๋องครุ่นคิด หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ก่อนอื่นเจ้าไปซ่อนตัวที่ห้องโถงใหญ่ก่อน และเจ้าจะออกมาในภายหลังเมื่อถึงเวลา เจ้าจะเห็นว่าเมื่อไรเหมาะสมที่สุดสำหรับเจ้า ก็ค่อยออกมา”
“แต่ท่านอ๋องไม่ได้บอกหม่อมฉัน(แทนภรรยา)ว่าต้องแสดงอย่างไรเลยนะเพคะ”
โย่ แม้แต่หม่อมฉันก็ออกมาแล้ว เกรงว่าคงจะโกรธมาก รอยยิ้มผุดขึ้นในดวงตาของจิ้งอ๋อง “พระชายาเป็นคนฉลาด แน่นอนว่าต้องรู้ว่าจะแสดงอย่างไร ข้าจะเปิดประตูแล้ว พระชายาเข้าไปซ่อนในในห้องโถงเถิด”
หยุนชางจ้องมาที่เขา และเดินออกไปตามที่เขาพูด เมื่อเดินเข้าไปในห้องโถงก็เห็นจักรพรรดิหนิงและพระสนมจิ่นนั่งอยู่ในห้องโถงมองมาที่นางพร้อมกัน
จักรพรรดิหนิงไอเล็กน้อย “พระสนมจิ่นบอกเจิ้นทุกอย่างแล้ว หากเราพบว่าอาการป่วยของเฉินซีเกี่ยวข้องกับจิ่งเหวินซี เจิ้นจะไม่ปล่อยนางไว้แน่ นอกจากนี้จิ้งอ๋องเป็นท่านอ๋อง ถ้าเขาต้องการแต่งสนม เขาต้องให้เจิ้นตกลงก่อน…”
หยุนชางเดินไปที่เก้าอี้แล้วนั่งลง หันไปทางจักรพรรดิหนิง “เช่นนั้นเสด็จพ่อก็โปรดถอนตำแหน่งท่านอ๋องจากท่านอ๋องเถิดเพคะ และลดตำแหน่งให้เป็นสามัญชน เช่นนั้นเขาจะเป็นเพียงราชบุตรเขยของข้า ราชบุตรเขยของข้าอย่าบอกว่าจะแต่งสนม และแม้แต่คิดก็ไม่สามารถทำด้วยเพคะ”
จักรพรรดิหนิงรู้สึกตกพระทัยกับธิดาคนนี้มาก ตอนนี้นางจะมีความเป็นหญิงมากขึ้น เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดังๆ “เจ้ามีความคิดที่ดี แต่จิ้งอ๋องได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้องค์ก่อน เจิ้นไม่สามารถถอดตำแหน่งเขาได้ตามต้องการ หากเจ้าเกลี้ยกล่อมให้จิ้งอ๋องเห็นด้วย เจิ้นถึงจะสั่งการได้”
หยุนชางถอนหายใจ หันหลังกลับไม่พูด แต่นางได้ยินจักรพรรดิหนิงถอนหายใจประหนึ่ง สักพักจึงกล่าวว่า “จิ่งเหวินซีผู้นี้มากแผนอุบาย และเจิ้นจะมิให้นางแต่งงานกับจิ้งอ๋อง เป็นเพียงว่า จิ้งอ๋องเป็นท่านอ๋อง เกรงว่าจำต้องแต่งสนม… ”
ตำหนักเงียบไปครู่หนึ่งและสัมผัสความเศร้าโศกแวบผ่านดวงตาของพระสนมจิ่น และสายตาของนางจับจ้องไปที่หยุนชาง เมื่อเห็นว่านางดูนิ่งเงียบ ไม่รู้ว่านางได้ยินหรือไม่
ประตูห้องโถงด้านนอกดูเหมือนจะเปิดออกหยุนชางได้ยินเสียงของจิ้งอ๋องมาจากด้านนอกด้วยความเย็นชาที่ทำให้คนถึงกับหายใจไม่ออก “องครักษ์ โยนผู้หญิงที่มีเจตนาร้ายนี้ออกไป เมื่อวานนี้ ข้ายังคงสงสัยอยู่ จากที่ข้าสามารถปัดลูกธนูได้อย่างง่ายดาย แต่ข้าไม่รู้ว่าเจ้าวิ่งมาขวางด้านหลังข้ายังไง และเจ้าไปขวางลูกธนูเอง วันนี้ข้าเข้าใจแล้ว ปรากฎว่าเจ้ากำลังมีแผนการเช่นนี้ ทำไม เจ้าคิดว่าเจ้ามีบุญคุณต่อข้างั้นหรือ ถ้าเจ้าเสนอจะติดตามข้า ข้าจะไม่มีสติที่จะปฏิเสธ?”
ก่อนที่จิ่งเหวินซีจะตอบได้ จิ้งอ๋องพูดต่อว่า “ข้าต้องขอโทษด้วย ข้าเป็นคนไม่มีมโนธรรม เดิมที ถ้าเจ้าไม่วุ่นวายขนาดนี้ ข้าก็ยังคิดว่า ถ้าวันหนึ่ง ถ้าจวนจิ่นของเจ้ามีปัญหา ข้าก็ยังดูแลได้บ้าง แต่เจ้านี่ทำให้ข้ารู้สึกไม่สมเหตุผลนิดหน่อย ถ้าช่วยข้าซักครั้ง แล้วข้าจะต้องให้ใจกับเจ้า เมื่อวานราชองครักษ์เห็นเจ้าเลือดออกมาก จึงฉีกกระโปรงมาพันแผลให้เจ้า และได้อุ้มเจ้ากลับมา มีความดีความชอบเช่นนี้ ดังนั้น คุณหนูจิ่งก็แต่งงานกับองครักษ์ของข้าเถอะ”
หยุนชางยังคงใช้นิ้วชี้แตะบนโต๊ะและฟังอย่างเงียบๆ และได้ยินเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนแอของจิ่งเหวินซี “ท่านอ๋อง หม่อมฉันมิได้คิดเช่นนั้น หม่อมฉัน… เพียงแค่ต้องการ… ให้แน่ใจ ท่านอ๋องสบายดีไหม…” น้ำเสียงของนางสะอื้นเล็กน้อย
หยุนชางยืนขึ้น เดินออกไปที่ประตูตำหนัก แล้วพูดเบาๆ ว่า “ทำไมท่านอ๋องถึงพูดกับหญิงสาวตัวเล็กๆแบบนี้ มันทำให้คุณหนูจิ่งตกใจ…”
จิ้งอ๋องทำเหมือนจะเพิ่งรู้ว่าหยุนชางอยู่ในห้องโถงใหญ่และรีบหันศรีษะของเขา รอยยิ้มที่เหมือนกับแสงอาทิตย์ยามเช้าส่องมาบนใบหน้าที่ปกคลุมไปด้วยเมฆ ในตอนนี้ เขาเดินไปข้างหน้าหยุนชางและยื่นมือออกมาโอบกอดไหล่ของหยุนชาง “ข้ากำลังจะถามว่าเจ้าไปไหน ตื่นมาก็ไม่พบเจ้า ทำให้ข้าตกใจมาก”
หยุนชางเงยหน้าขึ้นมองดวงตาของจิ้งอ๋อง อดยิ้มไม่ได้เมื่อเขาเห็นความลุ่มหลงในดวงตาของเขา คิดในใจ ฉากนี้ช่างเสมือนจริงจริงๆ “ข้าไปต้มยาให้เฉินซี หลับเป็นเวลานานเช่นนี้ยังรู้สึกเหนื่อยอีกไหมเพคะ หิวไหมเพคะ?”
จิ้งอ๋องถอนหายใจ แบกรับความเศร้าเล็กน้อย “ทำงานหนักตั้งแต่เช้า ปล่อยให้คนอื่นทำสิ่งเหล่านี้ก็ย่อมได้ ถ้าเจ้าเหนื่อย ไม่เท่ากับว่าเจ้าจงใจทำให้ข้ารู้สึกปวดใจหรอกเหรอ”
หน้าแดงลอยอยู่บนหน้าหยุนชาง พร้อมเสียงที่แปลกเล็กน้อย “มีคนอยู่ที่นี่นะเพคะ พูดไร้สาระอะไรน่ะ” ขณะที่พูด ก็เงยหน้าขึ้นมองจิ่งเหวินซีและผู้คนที่ยืนอยู่นอกห้องโถง ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “ท่านอ๋องมักเป็นแบบนี้มาตลอด หวังว่าคุณหนูจิ่งจะไม่ใส่ใจเรื่องนี้ หากมีสิ่งใดที่ทำให้คุณหนูจิ่งรู้สึกไม่สบายใจ ข้าจะขอโทษแทนท่านอ๋องด้วย”
ทันทีที่สิ้นเสียงลง เสียงของจิ้งอ๋องก็ดังขึ้นด้วยความไม่พอใจ “ชางเอ๋อร์ เจ้ากำลังพูดถึงอะไร ข้าพูดแต่ความจริง เหตุใดเจ้าต้องขอโทษด้วย เจ้า…”
หยุนชางหันมามองและจ้องไปที่จิ้งอ๋อง จากนั้นจิ้งอ๋องก็ลูบจมูกของเขาอย่างอึดอัด และถอนคำพูดที่เหลือ หยุนชางยิ้มให้จิ่งเหวินซี “ข้ารู้สึกขอบคุณคุณหนูจิ่ง ที่ช่วยท่านอ๋อง แม้ว่าท่านอ๋องคิดว่าเขาสามารถหลบลูกธนูได้ แต่ข้าก็ยังอยากจะขอบคุณคุณหนูจิ่ง ข้ากังวลทุกครั้ง ที่เข้าต้องเผชิญกับอาวุธต่างๆ แม้ว่าทุกคนจะเรียกเขาว่าเทพเจ้าแห่งสงคราม แต่เขาเป็นเพียงร่างที่มีเนื้อและเลือด แต่เขาก็เลือดออกและบาดเจ็บเป็น ครั้งนี้ข้ารอดมาได้ แต่ครั้งหน้าเขาอาจจะไม่โชคดี ข้าไม่รู้ว่าวันหนึ่งถ้าเกิดอะไรขึ้นกับท่านอ๋อง ข้าจะเช่นไรดี ข้าจึงขอบคุณคุณหนูจิ่งที่ขวางลูกธนูให้ท่านอ๋อง”
จิ้งอ๋องแสดงสีหน้าทรมานใจ จ้องมองไปที่หยุนชาง ราวกับว่ามีนางคนเดียวในสายตาของเขา “ข้าจะไม่เป็นไร จะไม่เป็นอะไร”
หยุนชางเมินเฉยต่อเขา มองจิ่งเหวินซี กล่าวว่า “สุขภาพร่างกายของข้าไม่ดีนัก และข้าก็ไม่ใช่คนที่เผด็จการ ถ้าท่านอ๋องสนใจผู้หญิงคนใด แน่นอนว่าข้าจะไม่ขัดขวาง… ”
ก่อนที่เสียงจะจบลง เขาก็ถูกจิ้งอ๋องขัดจังหวะ “จะไม่มีใครอีกแล้ว” จิ้งอ๋องดึงหยุนชางและบังคับให้นางมองเขาด้วยสายตาจริงจัง “ชางเอ๋อร์ จะไม่มีใครอีก ข้าสนใจแต่เจ้าเท่านั้น ในโลกนี้ มีเพียงเจ้า เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ข้าไม่มีสาวใช้อยู่เคียงข้าง เพียงเพื่อรอเจ้า ชางเอ๋อร์ ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าผลักข้าให้ไปจากเจ้า ตั้งแต่เจ้าอายุแปดขวบ ข้าเห็นเจ้าเข้ามาในตำหนักฉินเจิ้ง เจ้าเดินเข้าไปในห้องโถง บอกกับท่านพี่ว่าในแคว้นหนิงเกิดภัยแล้ง เจ้าได้ยินมาว่าหลายคนสูญเสียครอบครัวเพราะภัยแล้ง ดังนั้นเมื่อเจ้าต้องการไปที่วิหารแคว้นหนิงเพื่อขอพร ข้าถูกดึงดูดโดยเจ้า… ข้ารอเจ้ามาแปดปีแล้ว ข้ารอจนกระทั่งเจ้าบรรลุนิติภาวะและแต่งงานกับข้า ก่อนหน้านั้นข้าสาบานต่อหน้าท่านพี่ว่า เจ้าจะเป็นคนเดียว ในชีวิตนี้”
หยุนชางตกตะลึงจริงๆ เขาพูดว่าอะไรนะ? เขาคอยเฝ้ามองข้าตั้งแต่อายุแปดขวบ? ทำไมข้าถึงไม่มีความทรงจำในตัวเขาแม้แต่น้อย
เมื่อตอนนางอายุได้แปดขวบ นางไปที่วิหารแคว้นหนิงเพื่ออธิษฐานขอพร… นางจำได้ว่าครั้งนั้นมันเป็นเรื่องที่นางเพิ่งเกิดใหม่ในภพนี้ นางเพื่อต้องการแค่ไม่ให้ผู้คนนับถือหัวจิ้งเหมือนชาติก่อนของนาง
ตอนนั้นเสด็จพ่อทำอะไรอยู่? ดูเหมือนว่าจะเรียกเหล่าขุนนางเข้าเฝ้าที่ตำหนักฉินเจิ้งและนางจำได้ว่ามีท่านเสนาบดีหลี่ จิ้งอ๋อง…ในตอนนั้นก็อยู่ด้วยเหรอ?