ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 269 ร่วมใจกำจัดศัตรู
ประตูถูกเปิดออกอย่างกะทันหันและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็หยุดลงอย่างกะทันหัน
หญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าประตูสวมชุดสีน้ำเงิน ผมของนางถูกใช้เชือกมัดไว้อย่างลวกๆ ใบหน้างดงามของนางซีดขาวอย่างน่ากลัว ดวงตาของนางจ้องมองคนสองคนโอบกันอยู่ นางยกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างจนปัญญา “องค์หญิงและท่านอ๋องมาที่นี่เพื่อดูว่าหม่อมฉันลำบากพอแล้วหรือยังเช่นนั้นหรือ?”
ความสงสัยปรากฏขึ้นในดวงตาของหยุนชาง นางเอ่ยเสียงเบาว่า “แม่นางจิ่งหมายความว่าอย่างไร?” นางเงียบไปแล้วจึงพูดขึ้นอย่างลังเล “ชางเอ๋อร์ได้ยินมาว่าคุณชายจิ่งเป็นอีสุกอีใส แม่นางจิ่งและคุณชายจิ่งเป็นพี่น้องที่สนิทชิดเชื้อต่อกัน เกรงว่าคงจะไม่สบายใจมาก ชางเอ๋อร์ไม่ดีเองที่ขอให้แม่นางจิ่งอยู่ในวังรอเฉินซีหายป่วย เมื่อแน่ใจว่าไม่เป็นไรแล้วถึงได้ให้แม่นางจิ่งกลับมา”
ทันทีที่สิ้นเสียง เสียงราบเรียบที่แฝงแววกล่าวโทษก็ดังขึ้น “ชางเอ๋อร์ เจ้าจะโทษตัวเองไปเสียทุกอย่างได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าแม่นางจิ่งอยากกลับมาเอง นางกำนัลเตรียมน้ำสมุนไพรให้นางอาบแล้ว นอกจากของติดตัวของแม่นางจิ่งที่ไม่ได้ไม่ยุ่งแล้ว นอกนั้นล้วนเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด เดิมก็ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เหตุใดเจ้าจึงยังโทษตัวเองอีก?”
จิ่งเหวินซีมองพวกเขาอย่างเย็นชาและกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่กลับได้ยินเสียงร้องอย่างตกใจดังแว่วมา “นางนั่นแหละ เป็นนางนั่นเอง”
ขณะที่พูด เงาร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามาข้างหน้าและคว้าแขนของจิ่งเหวินซีไว้
ทุกคนต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์นี้ จิ้งอ๋องโอบหยุนชางแล้วก้าวถอยหลังอย่างเงียบๆ เฉี่ยนอินขมวดคิ้วและกล่าวเสียงดังว่า “เจ้าเป็นใคร? ไม่เห็นว่าท่านอ๋องกับพระชายาอยู่ที่นี่หรือจึงได้พุ่งออกมาเช่นนี้?”
คนๆ นั้นหันกลับมา นางเป็นผู้หญิงในชุดสีฟ้า เมื่อได้ยินดังนั้นหญิงคนนั้นจึงหันกลับมาและทำความเคารพจิ้งอ๋องและหยุนชาง “หม่อมฉันถวายพระพรท่านอ๋องและองค์หญิงเพคะ” แต่นางยังคงจับแขนของจิ่งเหวินซีไม่ไว้ปล่อยมือ
จิ่งเหวินซีขมวดคิ้วและพูดด้วยอย่างขุ่นเคืองเล็กน้อย “เจ้าเป็นบ้าอะไร? เจ้ามาจับข้าทำไม?”
หญิงคนนั้นหันไปมองจิ่งเหวินซี แล้วหันมามองหยุนชางกับจิ้งอ๋อง “วันนี้หม่อมฉันอยากจะขอให้ท่านอ๋องและพระชายาคืนความยุติธรรมให้หม่อมฉันเพคะ”
หยุนชางไอเบาๆ แล้วจึงพูดพลางไอไปด้วยเล็กน้อย “เจ้ากล่าวออกมาเถิด”
ใบหน้าของหญิงคนนั้นเต็มไปด้วยโทสะ นางดึงจิ่งเหวินซีไว้ “หากทุกท่านเป็นชาวเมืองเฟิ่งไหลคงจะคุ้นหน้าข้าดี ข้าขายธัญญาหารอยู่ทางตะวันออกของเมือง แซ่เฉียน”
ทันทีที่สิ้นเสียงก็มีหลายคนแสดงออกว่าเคยพบนางมาก่อน
หญิงคนนั้นกล่าวขึ้นอีกครั้ง
“ก่อนหน้านี้ลูกสาวของข้าเป็นอีสุกอีใส จู่ๆ หญิงคนนี้ก็เข้ามาบอกว่านางมีตำรับยาที่สามารถรักษาอีสุกอีใสได้ ข้าเป็นห่วงลูกสาวข้ามากจึงไม่ได้สงสัยนางและเชิญนางเข้าจวนมา นางเพียงเขียนตำรับยาแล้วก็จากไป แต่ต่อมาลูกสาวของข้าก็เสียชีวิตไปอย่างปริศนา ข้าเพียงนึกว่านางฝีมือรักษาไม่ดีและโรคนี้ก็ร้ายแรงมากอยู่แล้ว แต่ต่อมาเมื่อข้าจัดการกับเสื้อผ้าของลูกสาวข้าก็พบว่าผ้าเช็ดหน้าของนางหายไปหลายผืน แล้วยังมีของอย่างอื่นอีกเล็กน้อยที่หายไป ข้าข้องใจยิ่งนักแต่ก็นึกเพียงว่าลูกสาวของข้าคงทำหายไปเอง บังเอิญเมื่อไม่กี่วันก่อนได้พบแม่นางผู้นี้อีกครั้งและยังเห็นว่าผ้าเช็ดหน้าของลูกสาวข้าอยู่ในมือของนาง…”
หญิงคนนั้นขบกรามแน่น ดวงตาเปียกชื้น ริมฝีปากของนางสั่นเล็กน้อย “ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นลูกสาวข้าชอบมาก แม้นางจะป่วยก็ยังพกมันติดตัวอยู่ตลอดเวลา ทำไมเจ้าต้องขโมยของ? นอกจากนี้ข้าได้ยินมาว่านางเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่คงไม่รู้วิชาแพทย์อย่างแน่นอน ข้าให้คนดูใบตำรับยาแล้วพบว่าเป็นเพียงตำรับยาบำรุงร่างกายธรรมดา อีกทั้งมียาหลายชนิดที่คนเป็นอีสุกอีใสกินไม่ได้ เจ้ามีเจตนาอะไรกันแน่? ข้าไปทำอะไรให้เจ้าโกรธแค้น? เหตุใดเจ้าจึงทำร้ายลูกของข้าอย่างโหดเหี้ยม”
จิ่งเหวินซีหน้าซีดเผือด นางสะบัดมือของหญิงคนนั้นออก “เจ้าจำคนผิดแล้ว”
แต่หญิงคนนั้นกัดไม่ปล่อย “ท่านอ๋องกับพระชายาต้องคืนความเป็นธรรมให้ลูกสาวที่น่าสงสารของข้านะเพคะ”
เฉี่ยนอินดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก นางอุทานออกมาและรีบปิดปากของนางไว้ หยุนชางจึงหันมาถามนาง “มีอะไรหรือ?”
เฉี่ยนอินมองจิ่งเหวินซี จากนั้นจึงหันกลับไปพูดว่า “พระชายา หม่อมฉันได้ยินเจิ้งมามากล่าวว่าหลังจากที่แม่นางจิ่งเข้ามาในวัง วันรุ่งขึ้นได้เคยออกจากวังไป หลังกลับวังมาก็มีผ้าเช็ดหน้ากลับมาผืนหนึ่ง เจิ้งมามาเห็นว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นดูไม่เหมือนของใช้ของแม่นางจิ่งจึงได้ถามนาง นางตอบว่าผ้าเช็ดหน้านั้นตอนเดินเล่นในเมืองนางเห็นว่ามันสวยดีจึงได้ซื้อมา เจิ้งมามาบอกอีกว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นสีค่อนข้างซีดต้องไม่ใช่ของใหม่แน่ เพียงแต่เจิ้งมามาก็ไม่ได้ถามเพิ่มแล้วและต่อมาองค์ชายก็เป็นอีสุกอีใส”
หยุนชางอ้าปากอย่างตกอกตกใจ หญิงคนนั้นกลับรีบเอ่ยขึ้นว่า “ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นสีอะไร?”
“เจิ้งมามาบอกว่าเป็นสีเขียว ปักลายดอกบ๊วย” เฉี่ยนอินรีบตอบ
จิ้งอ๋องสีหน้าเย็นชา เขามองไปที่หญิงคนนั้น “แม่นางจิ่งไปที่จวนเจ้าเมื่อไหร่?”
หญิงคนนั้นรีบตอบ “วันที่สี่ของเดือนแปดเพคะ”
เฉี่ยนอินรีบพูดขึ้น “วันที่สี่เดือนแปด หม่อมฉันจำได้ว่าองค์ชายถูกพบว่าเป็นอีสุกอีใสในวันที่ห้าเดือนแปด…”
ดวงตาของหยุนชางเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ นางมองไปที่จิ่งเหวินซีอย่างตกตะลึง จิ่งเหวินซีหน้าซีดและกัดริมฝีปากแน่น แต่ยังคงไม่ยอมเอ่ยอะไรออกมา จิ้งอ๋องมองดูนางด้วยสายตาเย็นเยียบ “จิ่งเหวินซี ทำร้ายองค์ชายนั้นเป็นความผิดเช่นใด?”
เกิดความโกลาหลขึ้นท่ามกลางฝูงชน…
ที่แท้เรื่องจริงเป็นเช่นนี้เอง
แต่จิ่งเหวินซีกลับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาและปัดมือของนางทิ้งพลางถามจิ้งอ๋องยิ้มๆ “ท่านอ๋อง อยากเล่นงานใครก็ย่อมหาเหตุผลมาปรักปรำได้เสมอ หม่อมฉันมีเพียงคำพูดเดียวเท่านั้น หม่อมฉันไม่เคยทำ”
ทันใดนั้นในฝูงชนก็มีเสียงแว่วมาอีก “ข้านึกออกแล้ว เป็นนางนี่เอง วันนั้นข้าเห็นนางเฉียนพาหญิงสาวเข้าไป เมื่อนางจากไปแล้วข้าสงสัยจึงได้ไปถาม นางเฉียนดูยินดีมาก บอกข้าอย่างกระปรี้กระเปร่าว่าลูกสาวของนางมีทางรอดแล้ว”
ใบหน้าของจิ่งเหวินซียิ่งซีดลงไปอีก
“ที่แท้นางโหดเหี้ยมขนาดนี้เชียวหรือ ถึงกับเอาผ้าเช็ดหน้าใช้แล้วของคนที่เป็นอีสุกอีใสเข้าวังไปทำร้ายองค์ชายน้อย”
“เกรงว่าที่พี่ชายนางติดโรคไปด้วยก็คงเป็นเพราะเหตุนี้เช่นกัน นางน่าจะพยายามใส่ร้ายองค์หญิงจึงได้จงใจทำเช่นนี้”
“ข้าจำได้แล้ว เมื่อวานนี้นางมาซื้อโขวเฮ่งยิ้งจากร้านข้าไปจำนวนมาก นั่นเป็นของมีพิษ ดูจากอาการตอนนี้ของนางแล้วก็ดูคล้ายกับผู้ที่เพิ่งฟื้นตัวจากพิษของโขวเฮ่งยิ้ง…”
“จริงหรือ นางยังกล้าบอกอีกว่าพระชายาทำร้ายนาง คนเช่นนี้สามานย์จริงๆ…”
สีหน้าของจิ้งอ๋องเย็นเยียบลงเรื่อยๆ ดวงตาของเขากวาดไปทั่วร่างของจิ่งเหวินซี “ทหาร จับคนร้ายที่ทำร้ายองค์ชายและใส่ร้ายชายาของข้าไว้!”
จิ่งเหวินซีมองจิ้งอ๋องอย่างลึกซึ้ง แววตาแฝงไปด้วยความเจ็บปวด ผ่านไปครู่หนึ่งนางจึงได้หัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “ในสายตาของท่านอ๋องมีเพียงองค์หญิงฮุ่ยกั๋วผู้เดียวหรือ? ท่านบอกว่าชอบองค์หญิงฮุ่ยกั๋วมาเจ็ดปีแล้ว แต่ว่าท่านอ๋อง ท่านรู้หรือไม่ว่าซีเอ๋อร์ชอบท่านอ๋องไม่ใช่เพียงแค่เจ็ดปี เมื่อข้ายังเด็กก็ได้ยินท่านพ่อบอกว่าท่านเป็นผู้เปี่ยมพรสวรรค์ ในการสงครามชื่อเสียงฝีมือการรบของท่านเลื่องลือไปทั่วทุกหนแห่ง หม่อมฉันจึงเริ่มสนใจเรื่องของท่าน ต่อมาเมื่อหม่อมฉันได้ยินว่าท่านมีชัยกลับมา ข้าก็แอบท่านพ่อออกมาจากจวนเพื่อมาดูผู้ที่ท่านพ่อชื่นชมว่าหน้าตาเป็นเช่นไร แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเพียงได้เห็นท่านก็ทำให้ความรู้สึกของข้าหยั่งรากลึก… ”
น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาจากหางตาของจิ่งเหวินซี รอยยิ้มของนางเศร้าสร้อยมากยิ่งขึ้น “องค์หญิงฮุ่ยกั๋วมีอะไรดี? นางคู่ควรกับการปฏิบัติเช่นนี้ของท่านหรือ? ท่านดูท่าทางครึ่งเป็นครึ่งตายของนางสิ ดนตรี หมากล้อม การประดิษฐ์อักษรและวาดภาพล้วนแต่ด้อยกว่าข้า แค่มีฐานะเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์เท่านั้น งดงามนิดหน่อยเท่านั้น นางมีสิทธิ์อะไรคู่ควรให้ท่านชอบ?”
จิ้งอ๋องได้เป็นเช่นนั้นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้และยิ่งโอบหยุนชางแน่นขึ้นอีก “เจ้ารู้ไหมว่าทำไมชางเอ๋อร์จึงสุขภาพไม่ดีเช่นนี้? และทำไมถึงเล่นดนตรี หมากล้อม ประดิษฐ์อักษรและวาดภาพไม่เป็น?”
จิ้งอ๋องไม่รอคำตอบของจิ่งเหวินซี จิ้งอ๋องก็ก้มลงมองบุคคลที่อยู่ในอ้อมแขน แววตาเต็มไปด้วยความรักใคร่ “เพราะว่าตอนแปดขวบชางเอ๋อร์ไปอธิษฐานขอฝนและได้เผยความลับสวรรค์ออกมา ดังนั้นร่างกายจึงได้แย่เช่นนี้ และเพราะนางร่างกายไม่แข็งแรงจึงจำเป็นต้องไปพักรักษาตัวอยู่ที่วิหารแคว้นหนิง นางต้องนอนอยู่บนเตียงทุกวันเพื่อพักผ่อน ไม่มีโอกาสได้เรียนดนตรี หมากล้อม ประดิษฐ์อักษรและวาดภาพ ชางเอ๋อร์จิตใจบริสุทธิ์มีเมตตา ไม่โหดร้ายราวงูพิษเหมือนเจ้า ดังนั้นนางจึงคู่ควรกับความรักของข้า”
หยุนชางหลุบตาลงทำท่าทางน่าสงสาร แต่ในใจคิดไม่ถึงว่าจิ้งอ๋องจะเล่นละครเก่งเช่นนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เกรงว่าคนที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากนางเหล่านี้จะรู้สึกเห็นใจนางและจงเกลียดจงชังจิ่งเหวินซีมากขึ้น ตอนนี้ไม่เพียงแต่สามารถกำจัดข่าวลือว่านางขี้หึงเท่านั้น แต่ยังสามารถดึงจิ่งเหวินซีลงสู่ขุมนรกได้อีกด้วย
ช่างเป็นวิธีที่แยบคายยิ่งนัก…
นางคิดถึงแค่เหตุการณ์ช่วงต้นเท่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่าจิ้งอ๋องจะช่วยนางแสดงละครต่อจนเนื้อเรื่องนั้นสมบูรณ์
“ท่านอ๋อง ทำไมท่านจึงมักไม่เชื่อข้า? ท่านอย่าได้ถูกนางหลอก! นางเพียงแค่แสดงละครเท่านั้น หากพูดถึงเรื่องวางกลอุบายแล้ว พูดถึงเรื่องความชั่วร้ายเหี้ยมโหดแล้ว ข้าไม่ได้หนึ่งในสิบของนางด้วยซ้ำ”
จิ้งอ๋องขมวดคิ้วและกล่าวว่า “เดิมที่ข้าตั้งใจจะไว้ชีวิตเจ้าเพราะเจ้าเคยรับลูกธนูแทนข้า แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อความตายอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว เจ้าก็ยังปรักปรำชายาของข้าอีก ข้าสุดที่จะทนแล้ว ทหาร ยังไม่รีบนำตัวไปอีก มอบนางให้ฝ่าบาทจัดการเอง!”
ทหารองครักษ์รีบก้าวเข้ามานำตัวจิ่งเหวินซีออกไป
จิ่งเหวินซีหัวเราะเสียงดังด้วยความเกลียดชังเล็กน้อย นางจ้องไปที่หยุนชาง “ข้าแพ้แล้ว พระชายา ท่านร้ายกาจกว่าข้ามาก…” เมื่อเอ่ยจบนางก็ถูกทหารดึงตัวไป
หยุนชางกัดริมฝีปากและเงยหน้าขึ้นมองจิ้งอ๋องอย่างวิตกกังวล “ท่านอ๋อง แม่นางจิ่ง…” นางชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดอีกครั้งว่า “นางคงไม่มีทางเลือก ท่านอ๋อง…”
จิ้งอ๋องถอนหายใจ เขาลูบศีรษะหยุนชางและกระซิบว่า “ชางเอ๋อร์ ข้าได้ให้โอกาสนางหลายครั้งแล้ว แต่นางกลับไม่เห็นค่าของมัน เจ้าอย่าโทษตัวเองเลย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
หยุนชางหลุบตาลงและไม่ได้พูดอะไรอยู่นาน จิ้งอ๋องประคองนางพลางเอ่ยว่า “พวกเรากลับวังเถอะ ร่างกายเจ้ายังไม่แข็งแรงนัก อย่าได้เหนื่อยเกินไป”
หยุนชางพยักหน้าและหมุนตัวเข้าไปในรถม้าพร้อมจิ้งอ๋อง
รถม้าเริ่มเคลื่อนตัว แต่จิ้งอ๋องไม่ได้ปล่อยมือที่จับมือของหยุนชางไว้ หยุนชางหรี่ตาลงแล้วยิ้ม “ท่านอ๋องช่างละเอียดรอบคอบยิ่งนัก ชางเอ๋อร์ขอนับถือเพคะ”
จิ้งอ๋องยิ้มบางๆ และไม่พูดอะไร
เมื่อกลับมาถึงวัง ยังไม่ทันเดินเข้าตำหนัก สายลับก็รีบเข้ามาหา “ท่านอ๋อง ข้าน้อยสกัดจดหมายที่อัครมหาเสนาบดีส่งถึงชางเจียชิงซูเอาไว้ได้…”