ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 270 แว่วข่าว
หยุนชางและจิ้งอ๋องชะงักฝีเท้า หลี่จิ้งเหยียนกับชางเจียชิงซูงั้นหรือ? สองคนนี้มาเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร?
จิ้งอ๋องเหลือบมองหยุนชาง “ข้าจะไปหารือบางเรื่องกับเสด็จพี่สักหน่อย เจ้ากลับไปที่ตำหนักเซวียนรั่วก่อนเถอะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เจ้าควรพักผ่อนได้แล้ว”
“เพคะ” หยุนชางยิ้มบางๆ แล้วกลับตำหนักเซวียนรั่วไป ในใจรู้ว่าพวกเขาคงจะไปปรึกษากันเรื่องหาแผนรับมือ
เฉี่ยนอินหัวเราะคิกคักและกล่าวว่า “พระชายา วันนี้สนุกจริงๆ เลยเพคะ ดูท่าทางของจิ่งเหวินซีนั่นสิ ฮ่าฮ่า อยากจะมารังแกพระชายาดีนัก ฝันไปเถอะ ฮิฮิ พระชายา วันนี้ท่านอ๋องตามใจท่านไปเสียทุกอย่างเลย ยอดเยี่ยมเป็นที่สุด หรือว่าช่วงหลายวันที่หม่อมฉันไม่อยู่ พระชายากับท่านอ๋องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่หม่อมฉันยังไม่รู้?”
หยุนชางกลอกตาและเหลือบมองเฉี่ยนอิน “ถ้าเจ้าไม่พูดก็ไม่มีใครว่าเจ้าเป็นใบ้หรอก”
“พระชายาใจร้าย ฮือๆๆ…” เฉี่ยนอินแสร้งเช็ดน้ำตา เมื่อเห็นว่าหยุนชางไม่สนใจนางจึงเอามือลงและเอ่ยด้วยรอยยิ้มต่อว่า “พระชายา สองสามวันมานี้หม่อมฉันเหนื่อยมากเลยเพคะ หม่อมฉันพาคนไปที่คังหยางมารอบหนึ่งและทำตามคำสั่งของพระชายา แผนที่โดยละเอียดของชายแดนแคว้นเซี่ยทำออกมาแล้วเพคะ ข้อมูลอย่างละเอียดของแม่ทัพที่ปกป้องเมืองโดยเฉพาะแม่ทัพฉีก็ได้มาแล้ว แม้แต่เรื่องของกุนซือผู้เก่งกาจของแคว้นเซี่ยก็สืบมาด้วยเพคะ หม่อมฉันได้นำไปไว้ที่…”
หยุนชางพยักหน้า “ทำได้ดีและรวดเร็วมาก เมื่อข้าอ่านจบแล้วและแน่ใจว่ามีประโยชน์ ข้าจะตกรางวัลให้อย่างงาม!”
เฉี่ยนอินหัวเราะคิกคัดและขานรับ “จริงสิ พี่ฉินยีล่ะเพคะ”
“ฉินยีตามท่านตาไปทำธุระอื่นแล้ว” หยุนชางเดินไปที่โต๊ะและเปิดหนังสือบนโต๊ะอ่านอย่างละเอียด
ไม่นานหลังจากอ่านจบ นางก็เงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ข้าขอให้คนติดตามพวกหลี่จิ้งเหยียน ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน?”
เฉี่ยนอินรีบตอบ “อยู่ที่วูฉีที่ห่างจากที่นี่ประมาณหนึ่งร้อยกว่าลี้เพคะ”
วูฉีหรือ? ในใจหยุนชางเริ่มจับทิศทางได้ แต่นางมีรายละเอียดไม่ชัดเจนนัก ดังนั้นนางจึงนำแผนที่ของจิ้งอ๋องออกมาสำรวจอย่างละเอียดเพื่อหาที่ตั้งของสถานที่นั้น
“วูฉี…เซี่ยโหจิ้งและหลี่จิ้งเหยียนไปทำอะไรที่วูฉี? ด้านหลังของวูฉีคือแม่น้ำหยวน หากถูกคนล้อมอยู่ตรงนี้ก็มีแต่จะถึงทางตันเท่านั้น” หยุนชางขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าเปลี่ยนไปมา สายตาก็เพ่งมองสถานที่ที่ดูไม่เข้าตาเอาเสียทีแห่งนั้น
วูฉีไม่ได้อยู่ใกล้เมืองเฟิ่งไหลและเมืองหลวงนัก ทำไมพวกเขาจึงได้ไปอยู่ที่นั่น?
ขณะที่กำลังใช้ความคิดอยู่ จู่ๆ เสียงฝีเท้าก็ดังแว่วมาจากนอกตำหนัก หยุนชางรับเก็บหนังสือที่เฉี่ยนอินนำมาไว้บนชั้นหนังสือด้านหลังอย่างใจเย็นและหันศีรษะมาดูแผนที่ในมือ
“เจ้ากำลังดูอะไรอยู่หรือ? ทำไมจึงได้ดูจริงจังเช่นนี้?” จิ้งอ๋องแหวกม่านและเดินเข้ามาในตำหนักด้านในก็เห็นหยุนชางขมวดคิ้วจ้องมองสิ่งที่อยู่ในมือนาง เขาเดินเข้ามาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย “หือ? แผนที่? เจ้าสนใจของแบบนี้ด้วยหรือ?”
หยุนชางเงยหน้าขึ้นเหลือบมองจิ้งอ๋องก่อนจะพูดว่า “เซี่ยโหจิ้งเตรียมร่วมมือกับชางเจียชิงซูมาจัดการกับแคว้นหนิงใช่หรือไม่?”
จิ้งอ๋องพยักหน้า “เซี่ยโหจิ้งตกลงกับชางเจียชิงซูว่า หลังจากที่ยึดครองแคว้นหนิงได้แล้ว ทั้งสองคนจะแบ่งแคว้นหนิงออกเท่าๆ กัน แม้แผนที่ก็ทำออกมาเสร็จแล้ว”
หยุนชางยิ้มเยาะอย่างดูถูก แววตาฉายแววดูแคลน “พวกโง่เพ้อฝัน”
จิ้งอ๋องไม่ต้องการคุยกับหยุนชางเรื่องนี้อีก เขาถามอีกครั้งว่า “เมื่อครู่เจ้ากำลังดูอะไรอยู่หรือ?”
หยุนชางก็ไม่อ้อมค้อม นางเอานิ้วชี้ชี้ไปที่วูฉีบนแผนที่และขมวดคิ้ว “ข้าได้ยินมาว่าเซี่ยโหจิ้งและหลี่จิ้งเหยียนอยู่ที่นี่ เลยลองเปิดแผนที่ดูเสียหน่อย”
“หือ?” จิ้งอ๋องเลิกคิ้วขึ้น มีประกายแสงวาบขึ้นในดวงตาของเขา แต่เขาเพียงกล่าวว่า “ข่าวของเจ้าช่างรวดเร็วดีจริง” แล้วจึงไม่ได้พูดอะไรอีก
หยุนชางหัวเราะ “เทียบไม่ได้กับท่านอ๋องหรอกเพคะ เกรงว่าท่านอ๋องจะได้รับข่าวตั้งแต่เมื่อสองสามวันก่อนแล้ว? หม่อมฉันเพียงสงสัยว่าด้านหลังวูฉีคือแม่น้ำหยวน พวกเขาอยู่ที่นี่จะไม่เป็นการรนหาที่ตายหรือ?” ตั้งแต่ที่นางเล่นละครกับจิ้งอ๋องและรู้จักแทนตนว่าหม่อมฉันแล้ว หยุนชางก็มักจะติดปากเรียกแทนตนเองเช่นนี้อยู่เสมอ
“รนหาที่ตายหรือ… อาจจะเป็นกลยุทธ์ฟื้นคืนชีพ*ก็เป็นได้ไม่ใช่หรือ?” จิ้งอ๋องพูดเบาๆ ดวงตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อยและเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ด้านข้าง (*หมายถึง วางกำลังทหารไว้ในชัยภูมิที่ไม่มีทางถอยได้อีก ทำให้ทหารมีแรงฮึดสู้อย่างไม่คิดชีวิตและอาจได้รับชัยชนะในที่สุด)
หยุนชางได้ยินเช่นนั้นก็เงียบไปครู่ใหญ่ สายตาของนางจับจ้องไปที่แม่น้ำหยวนซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากทางตะวันตกของแคว้นหนิงและไหลไปทางทิศตะวันตก แต่กลับหักมุมเลี้ยวที่เมืองวูฉีและไหลลงใต้รวมเข้ากับทะเล
แคว้นเซี่ยต้องการบุกโจมตีแคว้นหนิงพวกเขาต้องบุกเข้ามาจากเมืองใดเมืองหนึ่งในสามเมืองชายแดนนั้น แต่มีเพียงหากเมืองคังหยางแตกพ่ายแล้วจึงจะสามารถอ้อมแม่น้ำหยวนและมุ่งหน้าไปทางเหนือเพื่อโจมตีเมืองหลวงได้
กลยุทธ์ฟื้นคืนชีพ
หยุนชางรู้ว่ากองทัพที่อยู่ในมือของเซี่ยโหจิ้งเชี่ยวชาญเรื่องการพรางตัวที่สุด หลังจากปะทะกับจิ้งอ๋องแล้วพวกเขาก็สลายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หยุนชางใช้ความพยายามอย่างมากและแทบจะระดมกองกำลังลับที่นางแฝงไว้ทุกหนทุกแห่งจึงได้หาร่องรอยของพวกเขาพบ ในตอนแรกกองทัพนั้นถูกซ่อนอยู่ในภูเขากิเลน พวกเขาสามารถอาศัยอยู่ในภูเขากิเลนที่รายล้อมไปด้วยพิษเช่นนั้นได้ก็เพราะแคว้นเซี่ยเป็นแคว้นที่เต็มไปด้วยภูเขา พวกเขาจึงเคยชินกับสภาพแวดล้อมเช่นนั้นแล้ว
เพียงแต่… น้ำ… หยุนชางไม่ลืมว่าแคว้นเซี่ยก็อยู่ติดทะเลด้วย
จิ้งอ๋องเคยกล่าวไว้ว่าแม่ทัพของทั้งสามเมืองมีเพียงแม่ทัพของคังหยางเท่านั้นที่มีจุดอ่อนที่ชัดเจนที่สุด ไม่ว่าใครก็ต้องเลือกโจมตีคังหยางแน่ เพราะพวกเขาจะสามารถออมแรงได้มาก โจมตีง่ายและหลังจากโจมตีแล้วก็ยังสามารถเดินทัพได้สะดวก
แต่ว่าเรื่องที่ทุกคนต่างก็รู้อาจจะไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้เส้นหลังจากคังหยางแล้ว เกรงว่าจะเต็มไปด้วยกับดักให้กองทัพแคว้นเซี่ยกระโดดลงมา
วูฉี เมืองนี้แทบจะล้อมรอบด้วยน้ำสามด้าน เพียงโจมตีจากด้านหน้าก็ยากแล้วที่จะมีโอกาสหลบหนี
เพียงแต่ดูเหมือนว่าเขาจะทำให้กองทัพของเขาตกอยู่ในอันตราย แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่ใช่ทางรอด
หากเป็นที่นี่ กองทัพแปดแสนของแคว้นเซี่ยสามารถมาได้จากทั้งสองเมืองคือจิ้งหยางและเต๋อซี เพียงได้กำลังมาจากเมืองใดเมืองหนึ่ง พวกเขาก็จะสามารถรุกคืบขึ้นไปทางเหนือได้ แม้ว่าจะมีแม่น้ำหยวนคั่นอยู่ แต่เมื่อผ่านแม่น้ำหยวนไปแล้วก็จะเดินทัพง่ายขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ จุดสำคัญจึงอยู่ที่แม่น้ำหยวน
หลี่จิ้งเหยียนและเซี่ยโหจิ้งมีแนวโน้มที่จะไปพบรวมกับกองทัพหลักเป็นอย่างมาก หลี่จิ้งเหยียนเกลี้ยกล่อมเหล่าขุนนางในเมืองหลวงก่อนแล้วจึงเคลื่อนไหวหลอกล่อว่าหากจับตัวจักรพรรดิหนิงได้ก็ดีแต่หากจับตัวไม่ได้ก็ไม่เป็นไร หลังจากการเผชิญหน้าโดยตรงกับจิ้งอ๋องแล้ว เขาก็ถอนทัพไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้คนสับสน แต่ก็กลับสามารถปกปิดความตั้งใจที่แท้จริงของพวกเขาไว้ได้
ในเวลานี้เซี่ยโหจิ้งและชางเจียชิงซูร่วมมือกันและต้องการบีบโจมตีแคว้นหนิงให้พ่ายแพ้ในคราเดียว
“ท่านอ๋อง ชางเจียชิงซูกลับไปที่แคว้นเย้หลางมาสักระยะแล้วใช่ไหม? ภายในแคว้นเย้หลางเป็นอย่างไรบ้างเพคะ” หยุนชางเงยหน้าขึ้นถามเบาๆ
จิ้งอ๋องเล่นแหวนหยกในมืออย่างไม่ทุกข์ร้อนและตอบว่า “จักรพรรดิแห่งเย้หลางไม่ได้เป็นอะไรมากนัก ตอนนี้พิษของเขายังไม่ถึงกับตาย หลังจากที่ชางเจียชิงซูกลับไปที่เย้หลางก็รู้แล้วว่าตนเองถูกหลอก ตอนนี้กำลังเตรียมตัวเดินทัพ”
“ไม่เป็นอะไร? ถ้าอย่างนั้นก็ทำให้จักรพรรดิแห่งเย้หลางเป็นอะไรเสียหน่อยก็ดีนะเพคะ ชางเจียชิงซูจะได้ไม่ว่างขนาดวันๆ ไม่มีอะไรทำคิดแต่จะทำสงครามกับเรา” หยุนชางหลับตาลง “ชางเอ๋อร์จำได้ว่าเสด็จอาเคยกล่าวว่าชางเจียชิงซูได้รับการสนับสนุนจากราชครู ดังนั้นเขาจึงสามารถแข่งขันกับองค์รัชทายาทและองค์ชายห้าได้ หากมีอะไรเกิดขึ้นกับจักรพรรดิแห่งเย้หลาง องค์ชายทั้งสามก็ต้องต่อสู้เพื่อบัลลังก์ ชางเจียชิงซูจะต้องนำทหารจำนวนหนึ่งกลับไปยังเมืองหลวงของพวกเขา เช่นนี้แล้วไม่เพียงแต่สามารถเบี่ยงเบนความสนใจของชางเจียชิงซูได้เท่านั้น ทั้งยังสามารถลดแรงกดดันที่ชายแดนทางเหนือได้อีกด้วย นอกจากนี้ชางเจียชิงซูยังหยาบคายมาก ทำไมเราจึงต้องเกรงใจจักรพรรดิของพวกเขาด้วย?” หยุนชางวางแผนที่ในมือลงอย่างแผ่วเบา เงยหน้าขึ้นมองจิ้งอ๋อง น้ำเสียงของนางแม้จะเบาแต่ก็เต็มไปด้วยแววเลือดเย็น ออกจะมีความคล้ายคลึงกับจิ้งอ๋องอยู่บ้าง
เมื่อจิ้งอ๋องได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปาก “อืม ข้าก็คิดเช่นนี้เช่นกัน เจ้ากับข้าช่างใจตรงกันเสียจริง”
หยุนชางถลึงตาใส่จิ้งอ๋อง เขาจึงหัวเราะออกมาก่อนจะพูดขึ้นอีกว่า “ข้าจะจากไปชั่วระยะหนึ่ง อย่างเร็วสองเดือน อย่างช้าก็ยากจะบอก ตอนนี้แคว้นหนิงไม่ปลอดภัยไปเสียทุกที่ เจ้าอยู่ที่นี่อย่าได้ไปไหน”
“หือ?” หยุนชางประหลาดใจเล็กน้อย นางเอียงคอคิดครุ่นคิดเล็กน้อยก็รู้ว่าเขาคงไปจัดการกับเซี่ยโหจิ้ง เมื่อครู่เขาไปหาเสด็จพ่อคงหารือกันจนได้แผนรับมือแล้ว
“ท่านจะไปเมื่อไหร่?” หยุนชางถามเบาๆ
จิ้งอ๋องชะงักมือที่กำลังเล่นแหวน แต่เสียงของเขายังคงราบเรียบ “พรุ่งนี้เช้า”
หยุนชางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ข้าไม่รู้ว่าท่านต้องเตรียมของอะไร ของในจวนอ๋องก็ไม่ได้เอามาด้วย หากท่านต้องการสิ่งใดก็บอกให้เฉี่ยนอินไปเตรียมก็แล้วกัน”
จิ้งอ๋องดูเหมือนเหม่อลอยไปเล็กน้อย ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงเอ่ยว่า “ไม่จำเป็น ข้าให้คนไปเตรียมแล้ว”
“…เพคะ…” หยุนชางตอบแล้วก้มหน้าหยิบแผนที่มาดูต่อ แต่นางเองก็ไม่รู้ว่าทำไมในใจรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยและทนดูแผนที่ต่อไม่ไหวอีกต่อไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องจากไปเป็นเวลานานเช่นนี้หลังจากแต่งงานกัน นางนึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของเขา เร็วก็สองเดือน อย่างช้าก็ยังไม่รู้เมื่อไร ที่ว่าไม่รู้นั้นแสดงถึงความไม่รู้ในเรื่องใดบ้าง…
หยุนชางนึกได้อีกว่าตอนนี้นางรู้ชาติกำเนิดของเขาแล้ว แต่เรื่องที่นางกังวลก็ยังเกิดขึ้น เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเป็นศัตรูกับญาติของเขา เซี่ยโหจิ้งเป็นน้องชายคนที่เจ็ดของเขา ฮวากั๋วกงเป็นตาของเขา จักรพรรดิแห่งแคว้นเซี่ยเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดของเขา
หยุนชางไม่รู้ว่าจิ้งอ๋องคิดอย่างไร เพียงแต่รู้สึกเจ็บปวดแทนเขาเล็กน้อย
ในขณะที่นางกำลังคิดอยู่นั้น จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าจะให้เสด็จพ่อรู้ชาติกำเนิดของเขาไม่ได้เด็ดขาด แม้ว่าดูภายนอกแล้วเสด็จพ่อกับจิ้งอ๋องดูจะเข้ากันได้ดี แต่ที่จริงแล้วเขาเกรงกลัวจิ้งอ๋องเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งมาสงสัยในตัวนาง หากเสด็จพ่อรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของจิ้งอ๋อง เกรงว่าเขาจะยิ่งระแวงในตัวจิ้งอ๋องและกีดกันเขาทุกวิถีทางอย่างแน่นอน บางทีอาจรู้สึกว่าฮวากั๋วกงแห่งแคว้นเซี่ยความคิดล้ำลึกและได้ใช้เวลาเตรียมการมาหลายปีแล้ว เกรงว่าแม้แต่จิ้งอ๋องก็จะกลายเป็นเพียงหมากที่พวกเขาวางไว้เท่านั้น เมื่อถึงเวลานั้น เสด็จพ่อย่อมหาวิธีกำจัดจิ้งอ๋องอย่างแน่นอน…