ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 272 แผนของหยุนชางและพระสนมจิ่น
กลับมาที่เมืองหลวง ก็ต้นเดือนเก้าแล้ว อากาศค่อยๆเย็นลง และเสียงร้องของจักจั่นก็น้อยลงเช่นกัน หยุนชางถือพู่กันขีดเขียนบนกระดาษ และหลังจากนั้นเป็นเวลานาน นางก็หยุดเขียน ในกระดาษปรากฏชัดออกมา ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นแผนที่ของแคว้นเซี่ย
เมื่อเฉี่ยนอินยกน้ำชาเข้ามา นางเห็นแผนที่ที่หยุนฉางวาด ขมวดคิ้วและถามอย่างแผ่วเบาว่า “พระชายา เหตุใดท่านถึงเอาแต่วาดแผนที่แคว้นเซี่ยอยู่ตลอดเพคะ”
หยุนชางไม่พูดอะไร วางแผนที่ถือไว้ในมือ ยกถ้วยชาขึ้นมาเดินไปที่เบาะข้างๆ แล้วนั่งลงแววตาเผยความเศร้าเล็กน้อย “นับวันแล้วหนิงเฉี่ยนน่าจะถึงแคว้นหนิงแล้วสินะ”
เฉี่ยนอินเอียงศรีษะและคิด “ถ้าปกติแล้วควรถึงแล้วเพคะ แต่ตอนนี้ชายแดนไม่สงบ เกรงว่าจะใช้เวลาสักระยะ คงจะใช้เวลาอีกหลายวันอยู่เพคะ”
หยุนชางพยักหน้า
กลับมาเมืองหลวงก็หลายวันแล้ว บรรยากาศที่ตึงเครียดในเมืองหลวงเมื่อเดือนที่แล้วดูเหมือนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย ดูเหมือนว่าทุกคนจะลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นไปหมดแล้ว ยกเว้นบางตระกูลที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย หยุนชางกระตุกริมฝีปาก อันที่จริง คนที่ไร้ความเมตตาที่สุดคือราษฎรเหล่านี้ แม้ว่าจะเปลี่ยนตัวฮ่องเต้องค์ใหม่ พวกเขาก็เพียงแค่ถอนหายใจ จากนั้นก็ใช้ชีวิตไปตามปกติ
หลังจากถอนหายใจอย่างแผ่วเบา หยุนชางก็ลืมตาขึ้นมองเฉี่ยนอิน “ช่วงนี้ ให้คนซื้อเมล็ดพืชไว้บ้าง เผื่อมีกรณีฉุกเฉิน”
เฉี่ยนอินพยักหน้า และได้ยินเสียงพ่อบ้านมาจากด้านนอก “พระชายาขอรับ พระชายาซุ่นชิ่งมาเยี่ยมขอรับ”
พระชายาซุ่นชิ่ง หยุนชางหยุดงานในมือ นางมาทำอะไร โดยจำได้ว่า หนิงเย่อยู่ในจวนของทานมาหลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าซุ่นชิ่งอ๋องและพระชายาซุ่นชิ่งรู้เรื่องนี้หรือไม่
หยุนชางวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะ ยืนขึ้น “ไปกันเถอะ ข้าจะไปที่ห้องโถงด้านหน้าดูกันเถิด”
เมื่อเทียบกับครั้งสุดท้ายที่พบ พระชายาซุ่นชิ่งดูชรากว่ามาก มีผมหงอกเยอะขึ้น หยุนชางถอนหายใจ ในช่วงเวลานี้ จวนซุ่นชิ่งอ๋องก็เกิดเรื่องขึ้นมากมาย ลูกสะใภ้คนหนึ่งสมรู้ร่วมคิดกับฮองเฮา และเกือบจะฆ่านาง ลูกสะใภ้อีกคนก็หายตัวไปยังไม่พบ นอกจากนี้ยังมีบุตรชายคนหนึ่งที่กลายเป็นอีกคนหนึ่ง ยังสมรู้ร่วมคิดกับแคว้นเซี่ย ทุกๆเรื่องเป็นเหมือนหมัดที่หนักหน่วงชกใส่ในหัวใจของนาง
หยุนชางลังเลที่จะก้าวขึ้น แล้วเดินเข้าไปในห้องโถงด้านหน้า “ชางเอ๋อร์คารวะพระชายาซุ่นชิ่ง… ” หลังจากทำความเคารพ นางก็เดินไปที่ที่นั่งหลัก และนั่งลงโดยสั่งสาวใช้ให้นำชาและขนมมา ยิ้มและพูดว่า “วันนี้พระชายาซุ่นชิ่งมาถึงที่จวน ต้องการรับสั่งอะไรหรือไม่เพคะ”
ดวงตาของพระชายาซุ่นชิ่งจ้องไปที่หยุนชาง หลังจากนั้นไม่นาน นางก็เปิดปากของนางและพูดว่า “เดิมทีไม่อยากรบกวนพระชายา แต่ตอนนี้ จิ้งอ๋องไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง และข้าไม่มีทางเลือกอื่น ที่ข้ามาในวันนี้ เพราะเรื่องของลูกชายข้า…” หลังจากหยุดชั่วคราว นางก็ถอนหายใจ “จะว่าไปแล้ว เขาไม่ใช่ลูกชายของข้า”
หยุนชางฟัง ก็รู้ว่านางกำลังพูดถึงหนิงเย่
พระชายาซุ่นชิ่งยิ้มอย่างขมขื่น “ท้ายที่สุด ทั้งชีวิตของข้าได้ให้กำเนิดบุตรชายสี่คน หนิงเย่ที่อายุน้อยที่สุดเกิดมาพร้อมกับนิสัยดื้อรั้น เป็นคนที่ทำให้ข้าและท่านอ๋องกังวลใจมากที่สุด แม้ว่าในอดีตจะดูเกเร แต่ก็เริ่มรู้เรื่องขึ้นเยอะ ข้าและท่านอ๋องยังไม่ทันได้ชื่นใจ ก็ได้รู้ว่า ที่จริงแล้ว คนผู้นั้นไม่ใช่ลูกชายของเรา…” ริมฝีปากของพระชายาซุ่นชิ่งสั่นเล็กน้อย “หนิงเย่ของข้า ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสียเขาไปแล้ว”
หยุนชางฟังอย่างเงียบๆ และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างเงียบๆ สงสารยิ่งใจพ่อแม่แด่ลูกเอย
เมื่อพระชายาซุ่นชิ่งกล่าว นางก็หยุดอีกครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน นางก็อ้าปากสั่น นัยน์ตาแดงก่ำ และเสียงของนางสั่นเล็กน้อย “ข้ามาขอให้พระชายาจิ้งอ๋อง ส่งจดหมายถึงจิ้งอ๋อง ถ้าในสนามรบเจอหนิง… ได้เจอคนๆนั้น… ถ้าจับเป็นได้ ก็พยายามจับเป็นด้วย ท่านอ๋องกับข้าแค่อยากจะถามเขาว่า ศพของหนิงเย่ของข้าอยู่ที่ไหน…”
หยุนชางมือของนางสั่นเล็กน้อย และใช้เวลานานในการตอบรับ “ได้เพคะ”
หลังจากที่พระชายาซุ่นชิ่งจากไป กงกงท่านหนึ่งในวังมาแจ้งว่า พระสนมจิ่นเรียกนางไปเข้าเฝ้าในวัง
หยุนชางแต่งตัวและเปลี่ยนเป็นชุดวังสีชมพู และเข้าวัง พระสนมจิ่นกำลังดูแม่นมกำลังให้นมกับเฉินซี นางเฝ้ามองด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
“เสด็จแม่” หยุนชางโค้งคำนับ และพระสนมจิ่นดึงนางให้นั่งลงข้างๆนาง
“ตั้งแต่กลับวังมานี้ ข้าไม่เห็นเจ้าเข้าวังเลย เจ้าทำอะไรที่จวนรึ?” แม่นมให้นมเฉินซีเสร็จแล้ว พระสนมจิ่นก็รับเฉินซีมาและอุ้มไว้ในอ้อมแขนของนาง ถามด้วยรอยยิ้ม
หยุนชางส่ายหัว “ไม่ได้ทำอะไรเพคะ เพียงแค่อ่านหนังสือ”
พระสนมจิ่นเหลือบมองนางก่อนพูดว่า “วันนี้จิ้งอ๋องส่งข่าวมาแล้วว่า เขากำลังเข้าใกล้วูฉีแล้ว และพบกับการซุ่มโจมตีไม่ไกลจากวูฉี อย่างไรก็ตาม จิ้งอ๋องได้เตรียมการมาเป็นอย่างดี จึงไม่ได้รับความเสียหายอะไรมากนัก”
มีคนของหยุนชางอยู่ข้างกายจิ้งอ๋อง หยุนชางได้ทราบข่าวแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่ตกใจอะไรมากนัก พยักหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อเห็นการท่าทางของหยุนชาง พระสนมจิ่นก็มอบเฉินซีให้กับแม่นม และขอให้นางอุ้มออกไป จากนั้นดึงมือหยุนชางแล้วกล่าวว่า “ข้าถามท่านตาของเจ้าด้วยตัวเอง ท่านบอกว่า หลายปีมานี้เจ้าได้เรียนรู้จากเขามาไม่น้อย ท่านตาของเจ้ามั่นใจในพรสวรรค์ของเจ้ามาก และพูดตรงๆ แม้จะมีข้าถึงสามคนเกรงว่าก็จะไม่สามารถเทียบเจ้าได้”
หยุนชางยิ้มเล็กน้อย “เสด็จแม่ชมข้าเยี่ยงนี้นี้ ทำให้ชางเอ๋อร์ตกตะลึงจากความชื่นชมที่คาดไม่ถึงนะเพคะ”
พระสนมจิ่นอดหัวเราะไม่ได้ และหลังจากนั้นไม่นานจึงพูดขึ้นว่า “ข้าได้ยินจากเสด็จพ่อของเจ้ามาว่า เจ้าตั้งใจจะไปคังหยาง?”
สีหน้าของหยุนชางชะงักเล็กน้อย หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง นางพยักหน้า นางเคาะนิ้วลงบนโต๊ะสามครั้ง ผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงนกร้องมาจากด้านนอก หยุนชางกล่าวว่า “เสด็จแม่เพคะ จิ้งอ๋อง…เป็นคนแคว้นเซี่ย”
พระสนมจิ่นตกใจ มือของนางหดกลับอย่างกะทันหัน และนางบังเอิญแตะถ้วยน้ำชาบนโต๊ะ ทำให้ถ้วยน้ำชาตกลงพื้น เสียงชามชาดัง”เพล้ง” และน้ำชาก็หกไปทั่วพื้น
“พระสนม?” เสียงของนางกำนัลดังมาด้วยความสงสัยเล็กน้อย
“มิเป็นไร ข้าพลั้งมือทำถ้วยน้ำชาตก เข้ามาเก็บกวาดเถิด” พระสนมจิ่นสงบลงและพูดด้วยเสียงอันดัง
สาวใช้รีบเปิดม่านลูกปัดและเดินเข้าไป เก็บถ้วยน้ำชาที่แตกบนพื้น แล้วรีบถอยกลับ เสียงม่านลูกปัดกระทบกัน สีหน้าของพระสนมจิ่นเปลี่ยนไปหลายครั้งก่อนจะถอนหายใจ “เจ้ารู้แล้วนานแล้วรึ?”
หยุนชางส่ายหัว “ไม่นานเพคะ แค่ไม่กี่วันก่อน เขา… ไม่เพียงแค่ใช่คนแคว้นเซี่ยเท่านั้น แต่ยังเป็นโอรสคนโตของฮ่องเต้แคว้นเซี่ยอีกด้วย…”
ดวงตาของพระสนมจิ่นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย และใช้เวลานานในการเรียกสติคืน และพึมพำกับตัวเอง “ถ้าเป็นเช่นนั้น…” หยุดชั่วขณะ ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ และมีตกใจในดวงตาของนาง “แล้วตอนนี้จิ้งอ๋องและแคว้นเซี่ย…”
หยุนชางถอนหายใจ “ท่านอ๋องรู้สึกขอบพระทัยบุญคุณที่ฮ่องเต้องค์ก่อนได้ช่วยชีวิตและฝึกฝนเขา ในช่วงเวลานี้ เขาคงไม่ทรยศเสด็จพ่อ แต่ไม่ว่ายังไงแคว้นเซี่ยก็เป็น…”
แต่สุดท้ายก็พูดอะไรไม่ออก สักพักนางจึงพูดต่อว่า “ข้าไม่อยากเห็นเขาลำบากใจ แต่ข้าไม่ยินยอมให้แคว้นเซี่ยมามีความคิดอะไรต่อแคว้นหนิงได้ตามอำเภอใจโดยไม่ต้องเกรงกลัวใคร ทุกวันนี้ ข้าอ่านข้อมูลมากมาย แม้ว่าข้าจะหลับตา ข้าก็ยังสามารถวาดแผนที่ของแคว้นเซี่ย แคว้นเย้หลาง และแคว้นหนิงได้อย่างแม่นยำ และพอรู้ข้อมูลของแม่ทัพที่อยู่ตามชายแดน รวมถึงสมาชิกในตระกูล นิสัยใจคอของพวกเขา และความชอบของพวกเขา แม้ว่า ข้าไม่เคยได้สั่งการการออกศึกจริงๆ แต่ก็ไม่น่าจะเลวร้ายไปกว่านี้ ไม่รู้ว่าท่านตาได้บอกเสด็จแม่หนือไม่ว่า เมื่อหลายปีก่อนข้าได้ปลูกกองกำลังลับไว้ทุกเมืองในทุกแคว้น…”
พระสนมจิ่นเงียบไปครู่หนึ่งและในที่สุดนางก็พยักหน้า มีความกังวลเล็กน้อย “แต่ว่า เจ้าเป็นผู้หญิง…” ในตอนท้ายดูเหมือนถอนหายใจ
หยุนชางยิ้ม “เสด็จพ่อก็ทรงทอดถอนพระทัยเหมือนกัน น่าเสียดายที่ข้าไม่ใช่ผู้ชาย ตอนนี้กองกำลังในราชสำนักปั่นป่วน การกบฏจากท่านเสนาบดีหลี่ เกรงว่าที่ในพระตำหนักจินหลวนจะว่างหลายที่ อยากฟื้นฟูกลับมาก็คงต้องใช้เวลาสักพักใหญ่ ตอนนี้เป็นช่วงวิกฤต ทหารที่ชายแดน ไม่รู้ว่าในใจของพวกเขาอยู่ฝั่งไหนจริงๆ ข้าเลยอยากไปดู”
“ชางเอ๋อร์…”
หยุนฉางขัดจังหวะพระสนมจิ่น กล่าวอีกว่า “ตอนนี้ในวังนี้ แทบไม่มีคนที่เป็ยภัยต่อเสด็จแม่แล้ว การไปครั้งนี้ของชางเอ๋อร์ ชางเอ๋อร์ก็วางใจมาก ข้าคิดว่าแผ่นดินนี้ไม่ช้าก็เร็ว เมื่อถึงเวลามันจะถูกส่งมอบให้กับเฉินซี ข้าไม่ต้องการให้ ตอนที่เฉินซีได้รับคือบ้านเมืองที่ปั่นป่วน”
หยุนชางถอนหายใจ นางตัดสินใจครั้งนี้ ครึ่งหนึ่งเพื่อจิ้งอ๋อง และอีกครึ่งหนึ่ง ทำเพื่อเฉินซี ชาติก่อนนางติดหนี้บุญพระสนมจิ่นไว้มาก ในชีวิตนี้ นางจึงต้องการชดเชยสิ่งที่ดีที่สุดในโลกนี้ให้กับนาง
ขณะพูดก็มีเสียงตะกุกตะกักจากด้านนอก “แย่แล้ว เกิดเรื่องแล้ว”
หยุนชางขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ แล้วหันไปมองนางกำนัลที่รีบเข้ามา นางรู้จักนางกำนัลผู้นี้ นางคือผู้ที่อยู่เคยงข้างเสด็จแม่ ตั้งแต่เสด็จแม่ออกจากตำหนักเย็น นามว่า หยิงยวี่ ผู้คิดว่าคงเป็นผู้ที่เสด็จแม่ไว้วางใจได้
“มีหมาป่ากำลังไล่ล่าเจ้าอยู่หรือ?” พระสนมจิ่นยิ้มและมองหยิงยวี่ “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?”
หยิงยวี่กระทืบเท้าของนางและพูดอย่างโกรธเคืองว่า “หม่อมฉันได้ยินกงกงที่อยู่นอกตำหนักจินหลวนกล่าวว่า ในเช้าวันนี้ขุนนางหลายท่านเสนอให้มีการคัดเลือกนางสนม โดยกล่าวว่าฝ่าบาทมีทายาทไม่เพียงพอ และต้องการเพิ่มพูนวังหลังและต่อสายเลือดราชวงศ์ ฝ่าบาท…ฝ่าบาททรงตอบตกลงแล้วเพคะ…”
หยุนชางเห็นท่าทีของพระสนมจิ่นตกตะลึงเล็กน้อย แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น นางก็กลับสู่ความสงบตามปกติ “อือ ข้าทราบแล้ว”
หยิงยวี่เห็นพระสนมจิ่นมีท่าทีที่ไม่สนใจอะไรมากนัก ก็ยิ่งวิตกกังวลมากขึ้นไปอีก กำลังจะพูด พระสนมจิ่นก็โบกมือหยุดนาง “ถอยออกไปเถิด”
หยิงยวี่กระทืบเท้าของนาง แต่นางก็ถอยออกไปอย่างเชื่อฟัง
ห้องโถงเงียบไปครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงของพระสนมจิ่น “ตอนนี้ในราชสำนักวุ่นวาย เป็นเรื่องปกติที่เขาจะใช้การแต่งตั้งนางสนม เพื่อทำให้จิตใจของผู้คนมั่นคง”
หยุนชางเพียงรู้สึกเจ็บปวดในใจเล็กน้อย “เสด็จแม่…”
พระสนมจิ่นก็หันไปมองหยุนชางทันที “ถ้าเจ้าต้องการไปที่คังหยาง ข้าจะเอ่ยกับฝ่าบาทให้ในภายหลัง”
หยุนชางตกตะลึง แต่เห็นดวงตาของพระสนมจิ่นมีความมุ่งมั่นระดับหนึ่ง “เมื่อก่อนตอนที่ข้าอยู่ในตำหนักเย็น ท่านพ่อของข้าลาออกกลับไปใช้ชีวิตธรรมดา ข้าไม่มีที่พึ่งในวัง ในเมื่อง้ป็นเช่นนี้ อะไรที่ควรทำก็ต้องทำ เพื่อที่เฉินซีจะได้ไม่ต้องเสียเปรียบในภายหลัง”
หยุนชางหยุดเล็กน้อย จากนั้นนางก็เข้าใจความนัยที่แฝงอยู่ของพระสนมจิ่น พยักหน้าและกล่าวว่า “ชางเอ๋อร์เข้าใจแล้วเพคะ”