ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 276 ฉีอวี่จือโดนเฆี่ยน
ฉีหล่างไม่สนใจกระไร เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวว่า “ตามกฎหมายของแคว้นหนิง เจ้าควรรับโทษเฆี่ยนตีห้าสิบที และชดเชยผู้ได้รับบาดเจ็บด้วยเงินจำนวนหนึ่ง”
เมื่อหยุนชางได้ยินเช่นนี้ ก็เผยยิ้มออกมาเล็กน้อย มองจ้องไปที่ฉียวี่จือที่กำลังเหม่อลอย จากนั้นก็หันไปมองที่พ่อบ้านจวนฉีที่ตัวสั่นอย่างมาก แล้วจึงก้มหน้ามองดูดอกพีชสีเงินที่ปักอยู่ที่ชายเสื้อของตน พร้อมกล่าวอย่างแผ่วเบา “เช่นนั้นหรือ? ข้าได้ยินมาว่า เที่ยงวันของวันนี้ คุณชายสามฉีมาที่ภัตตาคารเซียนเค่อไหลและได้สั่งให้คนใช้ทำร้ายคุณชายของตะกูลหลี่ทางทิศตะวันตกของเมือง เช่นนี้แม่ทัพฉีคิดว่าควรจัดการเช่นไรดีหรือ?”
ฉีหล่างสั่นสะท้านไปทั้งตัว มือของเขาก็กำหมัดแน่น และร่างกายของเขาเผยกลิ่นอายของความโกรธแค้นออกมา หยุนชางกลับทำเมินเหมือนไม่เห็น นางยังคงยิ้มแย้ม และหันไปมองปลาในบ่อน้ำ “โบราณเชาว่ากันว่า หากองค์ชายได้ทำผิดกฎบ้านเมืองก็ต้องรับโทษเทียบเท่าประชาชน ข้าได้ยินจิ้งอ๋องพูดถึงแม่ทัพอยู่บ่อยครั้ง ท่านกล่าวว่า ท่านแม่ทัพนั้นสั่งสอนลูกน้องได้ดี มีการแบ่งแยกเรื่องโทษเรื่องอวยได้อย่างชัดเจน วันนี้เมื่อมาถึงเมืองคังหยาง แล้วพบว่าประชาชนในเมืองคังหยางเคารพท่านแม่ทัพเป็นอย่างมาก ข้าคิดว่าท่านแม่ทัพคงจะไม่ทำให้ประชาชนหลายคนผิดหวังแน่นอนใช่หรือไม่?”
ผ่านไปอยู่นานไม่มีเสียงตอบรับใดๆ แต่หยุนชางก็ไม่รีบร้อนและนั่งอยู่เงียบ ๆ
“โดยธรรมชาติแล้ว หากกฎหมายไม่เข้มงวด ก็ไม่สามารถปกครองบ้านเมืองได้ หากกฎหมายไม่เข้มงวด ประชาชนก็ไม่เคารพกฎหมาย แน่นอนว่าหม่อมฉันจะจัดการตามกฎหมายบ้านเมืองขอรับ” น้ำเสียงของฉีหล่างมีความไม่พอใจเล็กน้อย
ทันทีที่กล่าวจบ หยุนชางก็ได้ยินฉียวี่จือกัดฟันไว้และตะโกนเรียก “ท่านพ่อขอรับ”
ฉีหล่างกวาดสายตาไปที่ฉียวี่จืออย่างดุเดือด จากนั้นก็คุกเข่าลงบนพื้นด้วยความเคารพ ใบหน้าของเขาขาวซีดเล็กน้อย
หยุนชางหันไปมองและเหลือบมองเส้นเลือดที่เผยอยู่บนหน้าผากเขา สีหน้าของฉียวี่จือไม่พอใจอย่างมาก จึงทำให้นางอยากหัวเราะอีกครั้ง “แม่ทัพฉีเป็นอย่างที่ท่านอ๋องกล่าวเสียจริง แบ่งเรื่องโทษเรื่องอวยได้อย่างชัดเจน หากเป็นเช่นนี้ ข้าจะไม่รบกวนแม่ทัพฉีจัดการเรื่องนี้แล้ว ดูเหมือนว่าคนของตระกูลหลี่กำลังรอแม่ทัพฉีอยู่ที่ห้องโถงด้านหน้านะ” ขณะที่พูด หยุนชางก็เหลือบมองไปที่พ่อบ้านตระกูลฉีที่ทำสีหน้าตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นนางก็ยืนขึ้น และเฉี่ยนอินก็พยุงตัวนางกลับไปที่สวนชมดอกเบญจมาศ
“พระชายาเพคะ วันนี้ท่านได้สั่งให้แม่ทัพเฆี่ยนตีบุตรชายของเขาเช่นนี้ แม่ทัพฉีจะมีความคิดที่ทรยศเพราะเหตุนี้หรือไม่เพคะ? ตอนนี้เรายังคงอาศัยอยู่ในจวนฉี หากว่าเราทำให้คนของจวนฉีโกรธเคือง แล้วพวกเขาพยายามหาวิธีมาจัดการกับเราเช่นนี้จะทำอย่างไรเพคะ? โบราณเขาว่าแม้มังกรที่แข็งแกร่งก็ยากที่จะข่มงูเจ้าถิ่นได้นะเพคะ…………” เฉี่ยนอินกังวลเล็กน้อย และคิดเกี่ยวกับสีหน้าเมื่อสักครู่ของแม่ทัพฉี จากนั้นก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา
สีหน้าของหยุนชางนั้นสงบอย่างมาก พร้อมทั้งยังมีด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า นางค่อย ๆ ส่ายหน้า ” ในเมื่อข้าได้ขอพระราชโอกางเพื่อมาที่เมืองคังหยางนี้ เช่นนั้นก็ยิ่งไม่ควรแสร้งทำเป็นว่าอ่อนแอไม่มีทางสู้ ยิ่งข้าอ่อนแอเท่าไหร่ ฉีหล่างก็จะไม่เห็นหัวข้ามากเท่านั้น เมื่อถึงเวลานั้น หากทหารแคว้นเซี่ยมาโจมตี ไม่ว่าข้าจะออกความคิดเห็นอย่างไร ข้าก็เกรงว่าเขาก็คงไม่สนใจหรอก”
เขาถอนหายใจเบา ๆ “ข้าทำเช่นนี้ เจตนาเพื่อให้ฉีหล่างได้ทราบว่า ข้ามิได้อ่อนแอเหมือนที่เขาลือกัน แม้ว่าข้าจะอยู่ใต้การควบคุมของเขา แต่ก็ยังมีวิธีที่จะเห็นทุกอย่างในเมืองคังหยางนี้ เช่นนี้ เขาก็จะเกรงกลัวข้าอยู่บ้างเล็กน้อย อีกทั้งตำแหน่งที่ข้ามีในตอนนี้ เขาสามารถไม่แยแสที่ข้าเป็นองค์หญิง แต่เขาไม่สามารถเพิกเฉยได้ว่าข้างหลังข้ายังมีจิ้งอ๋องคอยสนับสนุนอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว แม้ว่าจะเป็นการเสแสร้ง เขาก็ต้องแสร้งทำให้เรื่องนี้จบสิ้น ด้วยความที่เขาไม่อยากให้ข้าจับผิดได้ เมื่อถึงเวลานั้น เขาจะต้องให้ข้าทำหน้าที่เป็นผู้คุมกองบังบัญชาการอย่างแน่นอน แต่เขาจะหาวิธีลงมือกับข้า ข้าเพียงต้องเลี่ยงกับดักของเขา จากนั้นข้าก็จะเข้าถึงสนามรบที่แท้จริง….”
หยุนชางมองจ้องไปที่ลวดลายบนโต๊ะ แล้วเหม่อลอย ใครเขาว่ากันว่าบอกว่าพวกคนหยาบที่เอาแต่สู้รบนั้นจะไม่รู้เรื่องเล่ห์เหลี่ยม? ข้าเกรงว่าพวกเขาจะเหลี่ยมไม่แพ้กับเหล่านางสนมในพระราชวังที่เอาแต่คิดหากลวิธีทำร้ายคนอื่นตลอดเวลาน่ะสิ
หลังจากผ่านเรื่องวุ่นวายเช่นนี้มา หยุนชางก็เหนื่อยมากเช่นกัน ฉีหล่างอยู่ในสนามรบมาเป็นเวลานาน ซึ่งนั้นเป็นสถานที่ที่สู้รบด้วยดาบและหอกอย่างแท้จริง ตัวเขาเผยกลิ่นอายของความอาฆาตเล็กน้อย เมื่อเผชิญหน้ากับเขา ออร่าแห่งการสังหารนั้นแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ซึ่งทำให้คนที่สัมผัสนั้นรู้สึกเหนื่อยล้าไปทั่วร่างกายและหมดกำลังทางจิตใจ
หยุนชางนอนอยู่บนเตียงอยากจะพักผ่อนสักพัก แต่ไม่คาดคิด ว่านอนหลับครั้งนี้เมื่อตื่นมาอีกครั้งก็เป็นเช้าของวันที่สองแล้ว หลังจากที่หยุนชางตื่นขึ้นมา นางก็รู้สึกปวดหัวเล็กน้อยอาจจะเป็นเพราะเป็นหวัด
หยุนชางขมวดคิ้วอย่างห้ามไม่ได้ ตั้งแต่ฝึกศิลปะการต่อสู้มา ร่างกายของตนก็ดีขึ้นอย่างมาก น้อยครั้งมากที่จะป่วย เพียงแต่เมื่อป่วยขึ้นมาก็จะทรมานอย่างมาก
นางตามตัวเฉี่ยนอินเข้ามาปรนนิบัติ เฉี่ยนอินได้ยินของหยุนชางดูผิดปกติเล็กน้อย จึงรีบสั่งให้สายลับไปเชิญตัวท่านหมอมา และนางไม่สลายจริงด้วย หมอได้สั่งยา และให้เฉี่ยนอินไปต้มยาด้วยตนเอง
หลังจากดื่มยาแล้ว จึงรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังรู้สึกอ่อนเพลียอยู่บ้าง จึงนอนบนเบาะแล้วอ่านหนังสือ
“พระชายาเพคะ หม่อมฉันได้ยินว่าเมื่อวานนี้แม่ทัพฉีได้สั่งให้คนเฆี่ยนคุณชายสามฉีห้าสิบทีจริงๆ เพคะ ตอนนั้นท่านนอนหลับไปแล้ว หม่อมฉันได้ไปดูโดยเฉพาะ ฮ่าฮ่า เสียงร้องที่ทรมานของคุณชายสามฉีนั้นได้ยินไปทั่วจวนฉีเลยเพคะ” เฉี่ยนอินหัวเราะด้วยความเยาะเย้ยอยู่เป็นเวลานาน แล้วพูดอีกครั้งว่า “หม่อมฉันได้ยินมาว่าเมื่อวานนี้ ฮูเหรินทั้งห้าแทบจะตามหมอทั้งเมืองมาที่จวนแล้วเพคะ และร้องไห้อย่างหนัก แต่ดูเหมือนว่าจะถูกแม่ทัพฉีตำหนิไป”
หยุนชางยิ้มมุมปาก มารดาของฉียวี่จือคือฮูเหรินห้าของจวนฉี ได้ยินมาว่านางเคยเป็นลูกสาวของชายที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองคังหยาง และได้รับความโปรดปรานในจวนนี้เป็นอย่างมาก อาจเป็นเพราะเบื้องหลังของนางนั้นมีชายที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองคังหยางคอยสนับสนุน ฉะนั้นฉียวี่จือจึงได้ถูกตามใจมาตลอด และได้กลายเป็นคนที่เอาตัวเป็นใหญ่และไม่เคารพผู้อื่นเช่นนี้
“ข้าไม่กลัวฉีหล่างและฉียวี่จือหรอก แต่ว่าฮูเหรินห้านี้ เจ้าต้องสั่งให้คนจับตาดูนางให้ดี ฮูเหรินห้าคนนี้ไม่ธรรมดา” หยุนชางกุมขมับ เสียงของนางแหบเล็กน้อย นางรู้ดีที่สุดว่าเล่ห์เหลี่ยมของหญิงในจวนลึกหลังนี้มีอยู่ไม่น้อย และแน่นอนนางจะไม่ประมาท
เฉี่ยนอินตอบกลับและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า ” พระชายาเพคะ เมื่อวานนี้มีคนติดต่อหม่อมฉัน และหม่อมฉันจึงได้ทราบว่า หัวหน้าได้เปิดร้านในเมืองคังหยางที่ห่างไกลเช่นนี้ด้วย ซึ่งน่าทึ่งจริงๆ เพคะ มีอีกเรื่องหนึ่งเพคะ หัวหน้ามีจดหมายฉบับหนึ่งที่ให้หม่อมฉันมอบให้กับพระชายาเพคะ” เฉี่ยนอินพูดพร้อมหยิบกระดาษหนังแพะออกมาจากแขนแล้วยื่นให้หยุนชาง
หยุนชางรับมาและมองดูอย่างละเอียด จากนั้นก็ยิ้มกว้างขึ้นมา ” เจ้าพูดถูกแล้ว หนิงเฉี่ยนนี่น่าทึ่งเสียจริง นางไปถึงเมืองหลวงของแคว้นเซี่ยเพียงไม่กี่วัน องค์หญิงใหญ่ของแคว้นเซี่ยก็ชอบนางเข้าแล้ว และยังพานางไปที่ตำหนักองค์หญิงอีกด้วย”
เฉี่ยนอินพูดด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “องค์หญิงใหญ่หรือ? หัวหน้ากลายเป็นคนชอบทั้งหญิงและชายไปตั้งแต่เมื่อใด? หรือว่าองค์หญิงนั้นชอบผู้หญิงเช่นกัน? หรือว่าท่านคิดจะเลือกนางสนมให้พระสวามีของท่าน?”
หยุนชางอดหัวเราะไม่ได้ และเอากระดาษเคาะหัวเฉี่ยนอิน”เจ้าคิดบ้ากระไรอยู่? องค์หญิงใหญ่นั้นเป็นพี่สาวของจักรพรรดิเซี่ยแห่งแคว้นเซี่ย และนางต้องการเลือกเหม่ยเหรินให้กับฮ่องเต้แคว้นเซี่ยเพื่อถวายให้กับจักรพรรดิเซี่ยต่างหาก หนิงเฉี่ยนมีรูปลักษณ์และความเฉลียวฉลาดที่โดดเด่นกว่าผู้อื่น ดังนั้นองค์หญิงใหญ่จึงเลือกนางไปโดยธรรมชาติ บางทีหลังจากนั้นไม่นานหนิงเฉี่ยนก็คงได้เข้าวังเป็นนางสนมของแคว้นเซี่ยแล้ว”
“เช่นนี้หรือ?” เฉี่ยนอินตะลึงแล้วหัวเราะออกมา “เป็นเช่นนี้นี่เอง…หากว่าหัวหน้าได้เป็นนางสนม เช่นนั้นหลายๆ เรื่องก็คงจัดการได้ง่ายใช่หรือไม่เพคะ?”
หยุนชางพยักหน้า “ใช่แล้ว นี่ถือว่าเป็นข่าวดี…” หยุนชางคืนกระดาษหนังแพะให้เฉี่ยนอิน “ไปจัดการกระดาษนี้เสีย”
เฉี่ยนอินพยักหน้าแล้วหยิบเตาเพลิงออกมา จุดไฟด้วยและโยนมันลงในเตา เมื่อเห็นกระดาษหนังแพะนั้นถูกไฟเผาจนเหลือเพียงขี้เถ้า นางจึงเทน้ำดับไฟแล้วยกเตาออกไป
หยุนชางเสวยพระกระยาหารเช้าในห้อง จากนั้นนอนพักสักครู่ และเสวยพระกระยาหารกลางวันอีกครั้ง นางกำลังคิดจะออกไปเดินเล่น ก็ได้ยินเสียงที่เหน็ดเหนื่อยเล็กน้อยดังขึ้น ” นายหญิงแห่งตระกูลฉีขอเข้าพบพระชายาจิ้งอ๋องเพคะ”
หยุนชางชะงักเล็กน้อย จากนั้นเดินไปที่นั่งที่เก้าอี้ และพยักหน้าใส่เฉี่ยนอิน
เฉี่ยนอินเปิดม่านขึ้นและเดินออกไป ไม่นานก็มีหญิงวัยกลางคนเดินเข้ามา นางมีอายุประมาณสี่สิบ ปี รูปลักษณ์ธรรมดา อวบอิ่มเล็กน้อย เพียงแต่ว่าสีหน้าของนางขาวซีดอย่างมาก ราวกับคนที่ป่วยไข้มานาน
“หม่อมฉันของถวายบังคมต่อพระยาชาเจ้าค่ะ………” ฉีฮูเหรินถวายบังคมต่อหยุนชาง