ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 277 งานเลี้ยงต้อนรับ
หยุนชางยืนขึ้นและยื่นมือพยุงนางให้ยืนขึ้นแล้วพูดเบา ๆ ว่า “ฉีฮูเหรินมิต้องมากพิธีหรอก ตอนนี้ข้าเป็นแขกของจวนฉี ฉะนั้นตามหลักแล้ว ควรเป็นข้าที่ไปเข้าพบฮูเหริน เพียงแต่ว่าสองสามก่อนที่ผ่านมาข้าเร่งรีบในการเดินทาง จึงเหนื่อยล้าเล็กน้อย ฉะนั้นจึงได้พักผ่อนตั้งแต่เนิ่นๆ วันนี้เมื่อตื่นขึ้นมาก็ไม่สบายตัวเล็กน้อย และกลัวว่าจะทำให้ฮูเหรินไม่สบายไปด้วย จึงมิได้เข้าไปทักทายเพคะ”
“หม่อมฉันรับไม่ไหวเพคะ” ฉีฮูเหรินยิ้มและตอบกลับอย่างรวดเร็ว มีความเกร็งใจเล็กน้อยปรากฏขึ้นที่ใบหน้าของนาง ผ่านไปครู่หนึ่งนางจึงกล่าวว่า “พระชายาเจ็บไข้ได้เชิญท่านหมอมาหรือยังเพคะ?”
หยุนชางพยักหน้า “เมื่อเช้าตื่นมาข้ารู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อย และได้สั่งให้สาวใช้ตามหมอมาดูแล้ว ไม่เป็นกระไรมากหรอก แค่ร่างกายของข้าไม่ดีอยู่แล้ว อีกทั้งข้าได้เดินทางทั้งวันทั้งคืน ฉะนั้นจึงเกิดไม่สบายขึ้นมา ไม่เป็นกระไรมากหรอก ข้ากินยาไปแล้ว ว่าแต่ฉีฮูเหรินสบายดีขึ้นหรือยัง? เมื่อวานนี้ข้าเห็นฮูเหรินเจ็ดรอต้อนรับที่ห้องโถงด้านหน้า หลังจากถามแม่ทัพฉีแล้วจึงทราบว่าร่างกายของฮูเหรินไม่ค่อยดีนัก…”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของฉีฮูเหรินชะงัก แววตาของนางดูหมิ่นดูแคลน แม้ว่าแววตานั้นจะผ่านไปเร็วมาก แต่หยุนชางก็เห็นได้อย่างชัดเจน “เมื่อคนเริ่มอายุเยอะแล้ว ร่างกายก็ไม่ค่อยดีเท่าเมื่อก่อนนัก เป็นแค่โรคเดิมๆ เพคะ ขอบพระคุณพระชายาทรงคิดถึงหม่อมฉันตลอดเพคะ”
“หากว่าฮูเหรินต้องการยากระไร เอ่ยปากได้เลย ข้าพบยาสมุนไพรมาจำนวนมาก มีทั้งยาบางชนิดที่หายากด้วย” หยุนชางยิ้มและกล่าวว่า “เมื่อวานนี้ข้าเห็นบุตรชายทั้งสองของฮูเหรินแล้ว พวกเขาทั้งรูปหล่อและมากพรสวรรค์เสียจริง ฮูเหรินโชคดียิ่งนัก”
เฉี่ยนอินนำชามาวางบนโต๊ะข้างๆ ทั้งสอง หยุนชางหยิบแก้วน้ำชาขึ้นมา อุณหภูมิของน้ำกำลังพอดี หยุนชางเปิดฝาขึ้นปาดใบชาที่ลอยอยู่บนผิวน้ำออก เมื่อนางก้มหน้าลง ขนตาของนางสั่นเล็กน้อย ลักษณะอ่อนโยนอย่างมาก จนทำให้ฉีฮูเหรินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงยิ้มและกล่าวว่า ” พระชายาทรงชมเกินจริงเพคะ พวกเขาเป็นเด็กชายสองคน ต่างจากคำว่ารูปหล่อและมากพรสวรรค์อีกมากเพคะ ” แม้ว่านางจะพูดเช่นนี้ แต่ดวงตาของนางแต่งแต้มไปด้วยภูมิใจเล็กน้อย
หยุนชางอมยิ้ม จิบชาแล้วพูดเบา ๆ “ข้าได้ยินมาว่าคุณชายคนสามฉีถูกแม่ทัพฉีเฆี่ยนตีห้าสิบที ไม่ทราบว่าร่างกายเขาเป็นอย่างไรบ้างหรือ?”
รอยยิ้มที่มุมปากของฉีฮูเหรินเริ่มเย็นชาลง “ขอบพระคุณพระชายาที่เป็นห่วงเป็นใยเพคะ เป็นเพราะวี่จือที่ดื้อรั้นเกินไปเพคะ เฆี่ยนห้าสิบทีนี้เป็นการลงโทษที่เขาสมควรได้รับเพคะ เขายังหนุ่ม ร่างกายแข็งแรงอย่างมากเพคะ ไม่เป็นกระไรมากหรอก”
“เช่นนั้นย่อมดี” หยุนชางยิ้มอย่างอ่อนโยน
“พระชายามีโอกาสมาที่เมืองคังหยางแห่งนี้ แม่ทัพจึงสั่งให้หม่อมฉันเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับให้กับพระชายาเพคะ เดิมทีวางแผนไว้ว่างานจะจัดในคืนพรุ่งนี้ แต่หากพระชายาไม่สบาย เช่นนั้นก็เลื่อนออกไปสองสามวันก็ย่อมได้เพคะ” ฉีฮูเหรินได้เผยจุดประสงค์ที่แท้จริงของนางที่มาในครั้งนี้
หยุนชางยิ้มและพยักหน้า “ฉะนั้นก็เลื่อนออกไปสักสองสามวันเถอะ ร่างกายของข้านั้นเป็นปัญหายิ่งนัก เมื่ออาการดีขึ้น ข้าจะสั่งให้คนไปรายงานฮูเหรินอย่างแน่นอน เมื่อนั้นฮูเหรินค่อยจัดการอีกครั้งก็ย่อมได้”
ดูเหมือนว่าฉีฮูเหรินได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นนางก็พูดคุยกับหยุนชางอีกสักพัก ห่วงใยว่านางคุ้นเคยกับจวนนี้หรือไม่ จากนั้นจึงออกจากสวนชมดอกเบญจมาศไป
หยุนชางเอนกายลงบนเบาะ และอมยิ้ม ดูเหมือนว่าจวนฉีนี้ไม่ใช่สถานที่สันติเท่าไหร่
เฉี่ยนอินส่งฉีฮูเหรินออกไป แล้วจึงกระซิบว่า “ดูรูปลักษณ์ของฉีฮูเหรินแล้ว ท่านคงจะไม่ได้รับการโปรดปรานมาหนักใช่หรือไม่เพคะ? มิน่าล่ะแม่ทัพฉีไม่ยอมให้ท่านออกมาพบแขก คงมิใช่เพราะว่าท่านป่วยหรอก แต่เป็นเพราะรู้สึกอายผู้อื่นเสียมากกว่า”
“เจ้าน่ะเห็นเพียงแต่ภายนอก แต่ไม่เห็นส่วนที่ซ่อนอยู่ข้างใน” หยุนชางกล่าว เมื่อเห็นดวงตาของเฉี่ยนอินมองมาที่หยุนชางด้วยความสงสัย หยุนชางก็กระซิบ “เมื่อตอนที่ฉีฮูเหรินแต่งงานกับฉีหล่าง ฉีหล่างเป็นเพียงชาวนาธรรมดาๆ ในชนบท มันไม่ง่ายเลยที่ฉีฮูเหรินจะติดตามแม่ทัพฉีมาจนถึงทุกวันนี้ ฉีหล่างมีบุตรชายทั้งหมดสามคน ซึ่งมีสองคนคือบุตรชายของฉีฮูเหริน แม้ว่าฉีฮูเหรินจะไม่มีรูปลักษณ์ที่งดงาม แต่ตำแหน่งที่นางอยู่ในใจแม่ทัพฉีนั้นไม่สามารถถูกแทนที่ด้วยของสิ่งอื่นใดได้ อีกทั้งข้าเกรงว่านางคงมีเล่ห์เหลี่ยมที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน ตอนนี้แม่ทัพฉีมีนางสนมอยู่มากมาย แต่กลับมีเพียงห้าฮูเหรินเท่านั้นที่มีบุตรชาย คนอื่นๆ กลับไม่มีเลย ฉะนั้น อย่างได้ประเมินผู้หญิงคนนี้ต่ำไป…”
เฉี่ยนอินเบิกตากว้างและพยักหน้าซ้ำๆ “พระชายาทรงเก่งกาจจริงๆ เพคะ”
ไม่กี่วันต่อจากนี้ ฮูเหรินเกือบทุกคนในจวนก็มาเข้าเฝ้ากันหมดแล้ว เว้นแต่ฮูเหรินห้าและฮูเหรินเจ็ดเท่านั้น
หยุนชางเคาะที่โต๊ะ แววตาของนางครุ่นคิดเล็กน้อย ตนได้ทำให้ฮูเหรินทั้งสองขุ่นเคือง ฮูเหรินเจ็ดโกรธเคืองเพราะวันที่ตนเข้าจวนนั้นได้ตำหนิแม่ทัพฉีที่ให้นางสนมมาต้อนรับ ส่วนฮูเหรินห้านั้น อาจเป็นเพราะเรื่องฉีวี่จือ
ร่างกายของหยุนชางค่อยๆ ฟื้นตัว หยุนชางจึงส่งสารถึงฉีฮูเหริน ฉีฮูเหรินตอบกลับมาว่า อีกสองวัน จะจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้กับนางในจวนฉี
วันนี้เป็นวันที่เจ็ดที่หยุนชางอยู่เมืองคังหยางแล้ว กองทหารแคว้นเซี่ยเป็นดั่งที่เสี่ยวเอ๋อร์กล่าวจริงๆ เว้นแต่ว่าบางครั้งจะสั่งให้กองทหารเล็กๆ มาท้าทายอยู่ห่างๆ แต่ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอื่นใด
องค์รัชทายาทของแคว้นเซี่ยและหลิ่วหยินเฟิง พวกเขาต้องการทำอะไรกันแน่? หยุนชางขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่นาน แต่ก็คิดหาคำตอบไม่ได้
“พระชายาเพคะ มีจดหมายจากท่านอ๋องเพคะ…” เฉี่ยนอินรีบวิ่งเข้ามา พร้อมถือซองจดหมายไว้ในมือ
หยุนชางตกตะลึง เมื่อนึกได้ว่าตนนั้นรีบออกเดินทางเกินไป เมื่อตัวเองไปแล้วพ่อบ้านจวนท่านอ๋องก็คงส่งจดหมายถึงจิ้งอ๋องทันทีกระมั้ง
เขา… คงจะโกรธใช่หรือไม่? หยุนชางคิดในใจ ก่อนหน้านี้ตนเคยแสดงความคิดที่อยากจะมาเมืองคังหยาง แต่ถูกเขาปฏิเสธไป ตนมาที่นี่โดยไม่ได้คุยกับเขา……..
หยุนชางรับจดหมายมา แต่นานก็ยังไม่ได้เปิดอ่าน
“พระชายาเพคะ? ท่านอ๋องเขียนจดหมายถึงท่าน ทำไมท่านจึงไม่เปิดอ่านเพคะ?” เฉี่ยนอินอดไม่ได้ที่จะเร่งนาง ใบหน้านางเผยความหยอกล้อออกมา
หยุนชางยิ้มและส่ายหน้า นึกได้ว่าตนกำลังคิดมากทั้งที่ยังไม่ได้อ่านจดหมาย นี่ไม่เหมือนวิธีการทำงานของนางเอาซะเลย ดังนั้นนางจึงเปิดซองจดหมาย ด้านในนั้นมีกระดาษหนึ่งแผ่น หยุนชางหยิบออกมา เหตุใดกระดาษนี้จึงดู….ยับยู่ยี่?
นางสงสัยในใจ แต่ก็คลี่กระดาษที่พับอยู่ออกมา จากนั้นก็ผงะ แล้วพลิกดูจดหมายอีกครั้ง
ไม่มี? หยุนชางเบิกตากว้างและจ้องไปที่กระดาษในมือ พลิกมองไปเรื่อยๆ จดหมายนี้ไม่มีตัวอักษรอะไรเลยจริงๆ หรือ?
“ว่าอย่างไรนะเพคะ?” เฉี่ยนอินเปล่งเสียงงุนงงออกมา แล้วหยิบกระดาษในมือของหยุนชางมา มองดูอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “พระชายาเพคะ ท่านอ๋องหยิบกระดาษผิดไปหรือไม่เพคะ? แล้วเหตุใดกระดาษแผ่นนี้จึงไม่มีตัวอักษรอะไรเลยเพคะ?”
หยุนชางมิได้ตอบกลับ นางครุ่นคิดไม่ได้ว่าเกิดกระไรขึ้น จึงถอนหายใจ แล้วหยิบกระดาษจดหมายกลับจากมือของเฉี่ยนอิน ใส่กลับไปในซองแล้ววางลง
“คงจะหยิบผิดกระมั้ง” หยุนชางพึมพำเบา ๆ ระงับความรู้สึกเสียใจในใจไว้
เมื่อถึงวันที่จวนฉีได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับหยุนชาง เฉี่ยนอินแต่งกายให้หยุนชางเรียบร้อยตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่อใกล้ถึงเวลา พวกนางก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ฉีฮูเหรินกล่าว
สถานที่จัดงานเลี้ยงอยู่ในลานหลังห้องโถงหน้าของจวนฉี ทั้งสี่ทิศของลานบ้านถูกล้อมรอบด้วยโถงทางเดิน ทางเดินเต็มไปด้วยโคมไฟ ซึ่งทำให้ลานกว้างนั้นดูสว่างราวกับแสงตะวัน มีเวทีอยู่ทางทิศใต้ของลานกว้าง ด้านล่างนั้นมีการจัดโต๊ะไว้มากมาย
เมื่อหยุนชางมาถึง ภายในลานก็เต็มไปด้วยผู้คนแล้ว ฉีหล่างและฉีฮูเหรินยืนอยู่หน้าประตูเพื่อรอรับหยุนชาง เมื่อหยุนชางมาถึงทั้งสองก็รีบพาหยุนชางเดินไปที่โต๊ะที่ตั้งเหนืออัฒจันทร์ทางทิศเหนือแล้วนั่งลง
ทันทีที่หยุนชางนั่งลง ก็รู้สึกถึงแววตาที่จ้องมองมาจากทุกทิศทุกทาง แต่นางก็เงียบแล้วอมยิ้มอย่างสงบพร้อมพูดคุยกับฉีฮูเหริน
ที่โต๊ะหลัก ยกเว้นฉีหล่างและฉีฮูเหรินแล้ว คนที่มางานนั้นล้วนเป็นคนที่หยุนชางไม่รู้จักมาก่อน มีทั้งชายและหญิง หยุนชางกวาดสายตาไปรอบๆงาน แววตาของนางจับจ้องไปบนเวทีที่อยู่ไกลๆ อย่างเงียบ ๆ บนเวทีนั้นมีนักแสดงหลายคนบ้างก็นั่งบ้างก็ยืน บ้างก็เล่นขิม บ้างก็ตีระฆัง และบางคนก็ตีกลอง
ฉีหล่างยืนขึ้น เสียงของเขาดังก้อง “การจัดงานเลี้ยงขึ้นในวันนี้ ก็เพื่อเป็นการต้อนรับพระชายา พระชายาจิ้งอ๋องเดินทางมาแต่ไกล อีกทั้งมาพร้อมความห่วงใยและคำอวยพรของฝ่าบาท วันนี้ พวกเราที่ถือพอเป็นตัวแทนได้ จึงขอเป็นตัวแทนของประชาชนนับหมื่นของเมืองคังหยาง เพื่อน้อมขอบพระคุณพระกรุณาธิคุณของฝ่าบาทขอรับ”
ทุกคนลุกขึ้น หยิบแก้วสุราขึ้นมา หยุนชางอมยิ้มและยืนขึ้นเช่นกัน จากนั้นก็ยกแก้วสุราขึ้นเพื่อตอบรับทุกคน จากนั้นก็ดื่มจนหมดสิ้น
ทุกคนล้วนปรบมือว่าดี จากนั้นก็ดื่มสุราในมือจนหมดสิ้น
เมื่อทุกคนนั่งลง การแสดงบนเวทีก็เริ่มขึ้น นักแสดงเริ่มร้องเพลง เพลงที่ร้องคือ “มู่หลาน”
นักแสดงบนเวทีที่รับบทเป็น มู่หลาน เป็นหญิงสาวที่สวยงามผุดผ่องอย่างมาก ไร้ร่องรอยของความกล้าหาญ และการแสดงของนางทำให้ความกล้าหาญของแม้ทัพหญิงอย่างมู่หลานนั้นหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงแต่ความอ่อนโยนที่ราวกับสายน้ำของผู้หญิง
หยุนชางได้ยินเสียงไม่สบอารมณ์ดังขึ้นจากด้านล่าง “เป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาที่รู้เพียงเรื่องสวยเรื่องงาม คิดว่าจะเป็นวีรบุรุษกอบกู้บ้านเมืองได้ในยามทุกข์ยากอย่างนั้นหรือ… เป็นแม่หญิงก็ควรอาศัยอยู่ในเรือนหอ เย็บปักถักร้อยบ้างครั้งคราวก็เพียงพอแล้ว ยังคิดที่จะร่วมสนามรบเพื่อฆ่าศัตรูอีกหรือ? ข้าเกรงว่าเมื่ออยู่ในสนามรบจริงๆ คงกลัวจนขาอ่อนแรงกระมั้ง”