ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 281 กองกำลังแคว้นเซี่ยบุกโจมตีแล้ว
ฉีอวี้เฟิงมองไปที่ของกำนัล แววตาของเขาแฝงไปด้วยความรู้สึกอึดอัด “ข้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของพระชายา การอารักขาพระชายาเป็นความรับผิดชอบของข้าอยู่แล้ว การที่จะต้องรับของชิ้นนี้ทำให้ข้ารู้สึกละอายใจยิ่งนัก”
ผู้ชายรูปร่างกำยำที่ยืนอยู่ข้างๆรู้สึกไม่พอใจ “คุณชายของพวกเราได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ก็เพราะเข้าไปช่วยองค์หญิงอะไรนั่น แต่กลับนำของกำนัลอะไรก็ไม่รู้เช่นนี้น่ะหรือมามอบให้?”
เฉี่ยนอินยิ้มเล็กน้อย นางหาได้โกรธเคืองวาจาสามหาวของชายผู้นั้นไม่ นางเพียงเอ่ยว่า “ท่านแม่ทัพโปรดวางใจเถิด พระชายาทรงกราบทูลเรื่องเมื่อวานให้ฮ่องเต้ทรงทราบแล้ว ฮ่องเต้ทรงรักพระชายามาก พระองค์จะต้องทรงจดจำคุณชายเอาไว้แน่ แล้วอีกอย่าง พระชายาก็ได้ทรงเขียนจดหมายส่งไปให้จิ้งอ๋อง จิ้งอ๋องรู้สึกซาบซึ้งต่อคุณชายเป็นอย่างมาก”
ผู้ชายอีกคนก็พูดขึ้นมา “เกือบลืมไปเลย องค์หญิงฮุ่ยกั๋วอภิเษกไปแล้ว ในเมื่อทรงออกเรือนไปแล้ว เหตุใด กลางค่ำกลางคืน นางจึงมาอยู่กับคุณชายของพวกเราสองต่อสอง? หรือว่านางจะรู้สึกโดดเดี่ยว?”
เฉี่ยนอินนิ่งไป นึกไม่ถึงเลยว่า พระชายาจะทรงคาดการณ์ไว้ได้แม่นยำเช่นนี้ นางรู้ว่าจะต้องมีคนพูดถึงนางในทางไม่ดีเช่นนี้เป็นแน่ ยังดีที่นางได้ตระเตรียมวิธีการรับมือไว้กับเฉี่ยนอินเรียบร้อยแล้ว
“ข้าน้อยคอยติดตามพระชายาอยู่ตลอด นางมิได้ประทับกับคุณชายตามลำพัง แล้วอีกอย่าง พระชายาเพียงแค่ได้พบคุณชายระหว่างทางโดยบังเอิญเท่านั้น แต่เกรงว่าข้าน้อยอธิบายเช่นนี้แล้วจะไม่มีผู้ใดเชื่อ พระชายาได้ตรัสเอาไว้ว่า หากแม้นคุณชายต้องการเรียกร้องความดีความชอบ ในฐานะที่ได้ช่วยพระชายาไว้ จะอ้างว่าเขาและพระชายาลอบติดต่อกัน พระชายาก็หาได้รังเกียจไม่ ขอเพียงคุณชายไปบอกให้พระชายาทรงทราบ นางก็จะถวายคำร้องให้กับฮ่องเต้ แต่งตั้งคุณชายให้เป็นชายงามคนสนิทเจ้าค่ะ”
เฉี่ยนอินสายตาแน่วแน่ นางยิ้มเล็กน้อย ส่วนคนอื่นๆนั้น สีหน้าเริ่มไม่ค่อยดีเท่าไร โดยเฉพาะฉีอวี้เฟิง
“ฮะ เจ้าพูดอะไรของเจ้า คุณชายของพวกเรายังอายุน้อยนัก และยังเป็นถึงลูกชายของท่านแม่ทัพฉีหล่าง จะให้ไปเป็นชายงามคนสนิทให้กับสตรีนางหนึ่งได้อย่างไรกัน? นี่มันอะไรกันนี่!”
“องค์หญิงผู้นี้ช่างถือดีนัก คุณชายไม่ควรเข้าไปช่วยนางเลย น่าจะปล่อยให้นางถูกทำร้ายจนตายไปซะ”
เฉี่ยนอินยังคงเก็บอาการได้ดี นางยิ้ม “พระชายาเป็นผู้หญิงที่ฮ่องเต้ทรงรักมากที่สุดในตอนนี้ หากไม่ให้คุณชายไปเป็นชายงามคนสนิทของพระชายา แล้วให้ท่านแม่ทัพฉีหล่างไปเป็นแทน ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่าท่านแม่ทัพฉีหล่างอายุมากแล้ว รูปร่างหน้าตาก็……”
เฉี่ยนอินพูดเพียงเท่านี้ก็เงียบไป นางขมวดคิ้ว แล้วจึงพูดต่อ “เกรงว่าองค์หญิงจะไม่ชายตามองน่ะเจ้าค่ะ”
เฉี่ยนอินทำทีเป็นพูดกับตัวเอง “เห็นว่าคุณชายหลงไหลในความงามของพระชายามิใช่หรือ จึงได้มาดักเจอพระชายาในยามวิกาล? สถานที่ตรงนั้นเป็นทางเดินไปยังสวนชมดอกเบญจมาศ ใกล้ที่ประทับของพระชายานี่นา หากมิใช่ไปรอพบพระชายา คุณชายจะไปอยู่ที่นั่นด้วยเหตุใด แล้วอีกอย่าง ในงานเลี้ยงเมื่อวานนี้ทุกคนก็ได้เห็นแล้วว่า วิทยายุทธของข้าก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใต้เท้าท่านใดเลย แม้กระทั่งฝีมือคุณชายก็อาจจะสู้ฝีมือข้าไม่ได้ ตราบใดที่มีข้าอยู่ คนร้ายจะบุกมาทำร้ายองค์หญิงได้อย่างไรกัน? ข้าเห็นมากับตาว่า คุณชายฉีปราดไปรับคมดาบด้วยตัวเองต่างหาก”
พูดจบ ก็หันไปมองฉีอวี้เฟิง “แต่ว่าคุณชายโปรดวางใจเถิดเจ้าค่ะ พระชายาได้สั่งการณ์ให้คนไปสืบความจริงเรื่องนี้แล้ว คนของพระชายาล้วนเป็นทหารสายลับของฮ่องเต้ ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาไม่อาจสืบค้นได้ เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว การปองร้ายพระชายาเป็นฝีมือของผู้ใดกันแน่นั้น ก็คงจะทราบผลในเร็วๆนี้นะเจ้าคะ”
ทหารสายลับ เมื่อเอ่ยคำนี้ขึ้นมา ผู้คนก็พากันหน้าถอดสี เมื่อครั้งที่พวกเขาประจำการอยู่ที่ชายแดน พวกเขาได้ทราบมาว่าทหารสายลับคือทหารประจำพระองค์ที่อดีตฮ่องเต้ทรงจัดตั้งขึ้นมา เพื่ออารักขาคุ้มกันฮ่องเต้โดยเฉพาะ ทหารสายลับแต่ละคนนั้น ล้วนเป็นยอดฝีมือในทุกๆด้าน ไม่นึกเลยว่าฮ่องเต้จะพระราชทานทหารสายลับให้แก่หยุนชางด้วย……
สีหน้าของฉีอวี้เฟิงเริ่มซีดลงเรื่อยๆ
เขาฉลาดปราดเปรื่อง ท่านพ่อเองก็ชื่นชมเขาอยู่บ่อยครั้ง คิดไม่ถึงเลยว่า เขาจะมองหญิงงามปานเทพธิดาผู้น่าทะนุถนอมผิดไป เขายอมรับ เรื่องนี้เป็นเพราะพ่อของเขามีเรื่องไม่ลงรอยกับหนิงหยุนชาง เขาจึงยอมลงทุนจัดฉากเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมาเพื่อช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้กับพ่อ แต่เดาไม่ถูกเลยว่า กับโฉมงามผู้นั้น เขาจะรู้จักนางดีแค่ไหนกัน เขาคิดมาตลอดว่า แผนการยอมพลีชีพของเขา จะทำให้นางหันมามองเขาบ้าง เพียงเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ไม่คิดมาก่อนเลยว่า นางจะเก่งกาจถึงเพียงนี้ การจะให้ไปเป็นชายงามคนสนิท ก็เท่ากับว่าเป็นการผลักเขาให้ดิ่งลงเหวลึก
เขาลืมคิดไปว่า ฐานันดรศักดิ์ของนางนั้นสูงส่งเพียงใด
ฉีอวี้เฟิงครุ่นคิด แววตาของเขาเริ่มส่อประกายความเคียดแค้นออกมามากขึ้นเรื่อยๆ เขาพูดออกมาเบาๆ “อวี้เฟิงมิเคยคิดสิ่งใดเกินเลยกับพระชายา การเข้าไปช่วยพระชายานั้นเป็นการกระทำที่มาจากจิตใต้สำนึกในขณะนั้น ข้ามิเคยคิดอาจเอื้อม เจ้าจงไปบอกพระชายาว่าอย่าได้ทรงกังวลไปเลย”
เฉี่ยนอินยิ้ม “ข้าน้อยได้นำของกำนัลมามอบให้ท่านเรียบร้อย ไม่รบกวนคุณชายแล้วเจ้าค่ะ ข้าน้อยขอตัว”
เมื่อเฉี่ยนอินเดินออกไป ในห้องนั้นก็เหมือนมีระเบิดปะทะขึ้นมาอย่างรุนแรง “ผู้หญิงคนนั้นช่างร้ายกาจจริงๆ นึกว่าที่นี่เป็นวังหลวงหรืออย่างไร นี่คือเมืองคังหยาง เมืองคนแซ่ฉี หาใช่แซ่หนิง คุณชายไม่ต้องกังวลไป ข้าจะไปสั่งสอนผู้หญิงสิ้นคิดคนนั้นเอง”
แต่ก็มีคนสงสัย “คุณชายคงจะไม่ได้หลงไหลพระชายานางนั้นจริงๆหรอกนะ? นางเป็นถึงชายาของจิ้งอ๋อง ในแคว้นหนิงนั้น จิ้งอ๋องถือเป็นคนที่มีฝีมือร้ายกาจไม่เบาเลย”
ฉีอวี้เฟิงก้มหน้า จิ้งอ๋องจิ้งอ๋อง จิ้งอ๋องแล้วอย่างไรล่ะ หากมีวันหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นตกมาอยู่ในกำมือของเขาได้ ก็ไม่รู้ว่าจะยังลำพองตนวางตัวสูงส่งเช่นนั้นต่อไปได้อีกหรือไม่ จิ้งอ๋องนั่นจะยังยอมรับนางได้อีกหรือเปล่า?
เขาคิดในใจ พลันสายตาก็แวววายขึ้นมาอีกครั้งแต่ก็ยังคงแฝงไปด้วยความเคียดแค้น
เฉี่ยนอินกลับมาหาหยุนชางแล้ว นางรายงานไปหัวเราะไป “ฮ่าๆ พระชายา หากท่านอ๋องทรงได้ยินสิ่งที่หม่อมฉันพูดกับฉีอวี้เฟิงไปเมื่อครู่นี้ก็คงจะรู้สึกทึ่งไม่น้อย พระชายา พระองค์ช่างกล้าหาญจริงๆเลยเพคะ ถึงกับกล้าพูดเรื่องที่จะให้ฉีอวี้เฟิงมาเป็นชายงามคนสนิทของพระองค์ได้”
หยุนชางยิ้มตาม แม้จะไม่ค่อยรู้จักฉีอวี้เฟิงมากนัก แต่ก็พอรู้ข้อมูลของเขาอยู่บ้าง นางรู้ว่าเขาเป็นผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นที่สุดในบรรดาลูกชายทั้งหมดของฉีหล่าง ก็คงจะภาคภูมิใจในตัวเองเป็นธรรมดา แถมยังมีผู้คนคอยแห่แหน ก็ยิ่งทำให้เขาเป็นคนอวดดี ไม่อาจยอมรับการดูถูกจากใครได้ นางวางแผนให้เฉี่ยนอินไปบอกให้ฉีอวี้เฟิงมาเป็นชายงามคนสนิท ก็เพื่อที่จะเอาเกียรติภูมิของเขามาเหยียบไว้แทบเท้า เขาคงกลัวจนไม่คิดที่จะทำเรื่องโง่ๆแบบนี้ขึ้นอีกแน่ ในแคว้นหนิง การเป็นชายงามคนสนิทนั้น นับเป็นความอัปยศอย่างหนึ่งเลยทีเดียว
“กับคนอวดดีก็ต้องใช้วิธีที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้” หยุนชางปิดหนังสือ แล้วนวดตาวนไปมา ไม่รู้เพราะเหตุใด วันนี้หนังตาของนางจึงกระตุกแรงนัก
หยุนชางคิดในใจ หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับจิ้งอ๋อง นางกัดริมฝีปาก พยายามขับไล่ความคิดไม่เป็นมงคลเช่นนั้นออกไปจากหัว นางปลอบใจตัวเอง “ไม่มีอะไรหรอก จิ้งอ๋องเก่งราวกับเทพขนาดนั้น จะเป็นอะไรไปได้อย่างไร”
ท้องฟ้าเริ่มมืด หยุนชางเสวยมื้อเย็นเสร็จก็ไปสรงน้ำแล้วรีบมาพักผ่อน ในช่วงที่กำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น ก็ได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากด้านนอก หยุนชางขมวดคิ้ว หลับตาต่อไป แต่ว่าเสียงนั้นกลับดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นางไม่อาจข่มตานอนต่อไปได้ นางจ้องไปรอบๆห้องที่มืดสนิทด้วยความไม่พอใจ แล้วทนฟังเสียงนั้นต่อไป
หยุนชางพยายามตั้งใจฟัง นางเริ่มสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ นอกจากเสียงคนแล้ว ยังมีเสียงอื่นปนอยู่ด้วย คล้ายกับว่าเสียงนั้นดังมาจากที่ที่ไกลออกไป แต่ก็ดังมากๆ หยุนชางสังเกตเสียงนั้น แล้วนางก็ฉุกคิดบางอย่างขึ้นมา นางลุกจากเตียงพร้อมทั้งชุดที่สำหรับใส่นอน
“เฉี่ยนอิน เฉี่ยนอิน……”
เฉี่ยนอินถือตะเกียงเดินเข้ามา นางรีบนำชุดคลุมมาใส่ให้หยุนชาง พลางพูดอย่างร้อนใจ “เมื่อครู่นี้หม่อมฉันได้ยินเสียงแปลกๆ จึงให้สายลับออกไปสืบดูแล้ว คงจะทราบความในอีกไม่นานเพคะ”
หยุนชางพยักหน้า นางรู้สึกไม่สบายใจ
หลังจากนั้นไม่นาน คนชุดดำกลุ่มหนึ่งก็รีบเดินเข้ามา พวกเขาคุกเข่าลงตรงหน้าหยุนชาง “ทูลพระชายา กองกำลังแคว้นเซี่ยบุกโจมตีแล้วพ่ะย่ะค่ะ……”
หยุนชางได้ฟังดังนั้นแล้วก็ถึงกับอึ้ง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงรู้สึกตัว ตลอดเวลาที่นางประทับอยู่ในจวนฉีแห่งนี้ คนในจวนฉีดูเหมือนจะพยายามปกปิดนางเรื่องศึกสงคราม แต่นางก็ส่งคนไปสืบข่าวมาบ้างแล้ว สิ่งที่นางได้รับรายงานมาหามีสิ่งใดน่ากังวลไม่
บวกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสองวันนี้ หยุนชางยุ่งอยู่กับการรับมือคนในจวนฉี จนกระทั่งลืมคิดไปว่า ในตอนนี้ นางนั้นอยู่ที่ชายแดน ซึ่งอยู่ใกล้กับสนามรบมากที่สุด