ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 282 ใต้เท้ากำกับการ
ช่วงนี้ แม้ว่าหยุนชางจะพอจับลู่ทางของฉีหล่างได้บ้างแล้ว แต่ว่า เมืองคังหยางแห่งนี้เป็นถิ่นของฉีหล่าง หากไม่ประสบโอกาสเหมาะ นางก็ไม่อยากลงมือกับฉีหล่าง หากทำพลาดแล้วล่ะก็ แผนการที่เคยวางไว้ทั้งหมดก็จะเป็นอันสูญเปล่า
แต่ว่า……
หยุนชางมองไปที่ชายชุดดำที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้า นางขมวดคิ้ว “ข้าจำได้ ไม่กี่วันก่อนท่านมารายงานข้าว่า พวกท่านได้เข้าไปใกล้ค่ายทหารของแคว้นเซี่ยแล้ว และยังมีบางคนได้เข้าไปตรวจตราในค่ายมาแล้ว เหตุใด กองกำลังแคว้นเซี่ยบุกโจมตีที่เป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ จึงมิมีการรายงานล่วงหน้ามาก่อนเลย?”
ชายผู้นั้นรีบตอบ “แคว้นเซี่ยมิได้มีการเคลื่อนไหวที่เด่นชัด หม่อมฉันคาดเดาว่า พวกที่บุกโจมตีในวันนี้คงเป็นเหล่าทหารกองเอก จำนวนคนคงมีไม่เกิน 5 พันนาย หรือไม่ก็เป็นทหารอีกกลุ่มหนึ่งที่ตั้งค่ายทหารอยู่ทางอื่น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม ทหารกลุ่มนี้อาศัยโอกาสยามวิกาลบุกมา พวกหม่อมฉันจับการเคลื่อนไหวได้น้อยมาก พวกเขาคงจะมีกันไม่มากนัก จึงไม่กล้ามุ่งไปโจมตีวังหลวงพ่ะย่ะค่ะ”
หยุนชางนิ่งไป ในใจนางเห็นด้วยกับความคิดของเขา จริงๆแล้วไม่เพียงแต่ทหารสายลับ แม้แต่สายลับข้างกายนางเอง นางก็ส่งไปสืบความเคลื่อนไหวของกองกำลังแคว้นเซี่ย แต่ทว่า ไม่มีผู้ใดมารายงานเรื่องการเคลื่อนไหวในคืนนี้ของกองกำลังแคว้นเซี่ยเลย
หยุนชางพยักหน้า แล้วส่งสัญญาณมือสั่งให้พวกเขากลับไปทำงานต่อ เสียงรบกวนยังคงดังเข้ามาไม่ขาดสาย เห็นทีคืนนี้คงจะนอนไม่ได้เสียแล้ว หยุนชางเรียกเฉี่ยนอินเข้ามาหาแล้วให้นางช่วยแต่งตัวให้ พร้อมทั้งจุดโคมไฟให้สว่างทั่วห้อง หยุนชางนั่งลงบนตั่งแล้วหลับตา ทบทวนภาพแผนที่แคว้นหนิงและแคว้นเซี่ยที่ตนเองเคยวาด
มีเสียงเคาะประตูดังมาจากนอกห้อง หยุนชางหาได้ลืมตามาดูไม่ เฉี่ยนอินก็ยังคงยืนเฉย จากนั้นไม่นาน ก็มีเสียงฝีเท้าของคนสองคนดังมาจากด้านนอก ฝีเท้าหนึ่งนั้นเป็นบ่าวไพร่ที่ประจำอยู่ห้องโถง อีกฝีเท้าหนึ่งกลับเป็นเสียงที่ไม่คุ้นเคย
ในขณะที่กำลังใช้ความคิดอยู่นั้น ก็มีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “ทูลพระชายา กองกำลังแคว้นเซี่ยบุกโจมตีแล้วเพคะ หม่อมฉันเป็นบ่าวคนสนิทของฉีฮูหยิน ฮูหยินสั่งให้หม่อมฉันมากราบทูลพระชายาว่า คืนนี้หากเกิดเหตุวุ่นวายขึ้นด้านนอก ขอพระชายาอย่าทรงแตกตื่นไปเลยเพคะ”
“ข้ารู้แล้ว ฝากขอบคุณฮูหยินด้วย” หยุนชางเอ่ยทั้งๆที่ยังคงหลับตาแน่นิ่ง
สถานการณ์ด้านนอกยังดูปกติดี แต่หลังจากนั้นไม่นาน ก็ปรากฏเสียงฝีเท้ากำลังเดินห่างออกไปช้าๆ
หยุนชางเม้มปาก ฉีฮูหยินผู้นี้ดูท่าทางจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว นางเองเพิ่งจะได้ทราบข่าว แต่ฮูหยินกลับรู้เรื่องเป็นที่เรียบร้อย การปะทะครั้งนี้คงจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร คงไม่ร้ายแรงอย่างที่ตนได้จินตนาการเอาไว้
“พระชายาเพคะ ยังอีกนานกว่าจะเช้า ทรงบรรทมต่อก่อนไหมเพคะ?”เฉี่ยนอินเห็นท่าทางของหยุนชางไม่ค่อยดี จึงอยากให้นางได้พักผ่อน
หยุนชางส่ายหน้า “คืนนี้คงจะนอนไม่หลับแล้วล่ะ แม้จะเป็นเพียงกลุ่มทหารจำนวนน้อย แต่น่าจะเป็นแผนการของหลิ่วหยินเฟิง หลิ่วหยินเฟิงรู้จักกับฉีหล่างเป็นอย่างดี การบุกโจมตีในยามวิกาลเช่นนี้ คงไม่ได้มีจุดประสงค์เพียงแค่จะทำให้พวกเราตกใจเฉยๆหรอก”
เฉี่ยนอินได้ฟัง จึงไม่คะยั้นคะยอต่อ นางออกไปข้างนอกแล้วนำน้ำชามาถวาย โดยวางถ้วยน้ำชาเอาไว้บนโต๊ะ
ผ่านไปได้ไม่นาน ก็มีสายลับรีบวิ่งเข้ามารายงาน “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ กองกำลังที่บุกเข้ามานั้นมีมาราวๆ 4 พันนาย พวกเขาได้เข้ามาปะทะค่ายทหารแคว้นหนิงทางด้านประตูเมืองทิศเหนือแล้ว ทหารแคว้นหนิงบาดเจ็บและเสียชีวิตไปประมาณ 8 พันนาย หากแคว้นเซี่ยเป็นฝ่ายชนะ พวกเขาจะถอนกองกำลัง แต่ว่า……”
สายลับผู้นั้นเงียบไป ก่อนจะพูดต่อ “แม่ทัพฉีมองว่า นี่เป็นความท้าทายจากกองกำลังแคว้นเซี่ย ใช้ทหาร 4 พันนายเล่นงานทหาร 8 พันนาย แล้วยังกล้าถอนกองกำลังอีก ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกหยาม เขาเรียกประชุมแม่ทัพในทันที เห็นว่าจะให้แม่ทัพเป็นผู้คุมทหารออกไปตามล่ากองกำลังแคว้นเซี่ยพ่ะย่ะค่ะ”
หยุนชางเคาะฝาถ้วยน้ำชา ขมวดคิ้วแล้วถอนหายใจออกมา “ฉีหล่างผู้นี้……ช่างเป็นคนเลือดร้อนเสียจริงๆ……”
“พวกเขาออกไปนอกเมืองกันแล้วหรือ?” หยุนชางเอ่ยถาม
สายลับส่ายหน้า “เพิ่งจะเสร็จจากการหารือกับแม่ทัพคนอื่นๆ ตอนนี้กำลังคัดเลือกทหารอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
หยุนชางพยักหน้า นางลุกขึ้นยืน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว งั้นข้าจะขอไปดูด้วยตัวเองเสียหน่อย เตรียมม้า”
สายลับน้อมรับคำสั่งพร้อมทูลลาออกไป
เฉี่ยนอินได้ฟัง ก็รีบนำผ้าคลุมไหล่มาคลุมให้หยุนชาง นางผูกผ้าจนแน่น แล้วพูดเบาๆ “จะเข้าฤดูหนาวแล้ว กลางดึกน้ำค้างลงแรงนัก พระชายาสวมผ้าคลุมไหล่นี้ไว้นะเพคะ”
หยุนชางพยักหน้า “เกรงว่าคนในจวนฉีที่คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของข้าคงจะมีอยู่ไม่น้อย ข้าคงต้องปีนกำแพงออกไป เช่นนี้จึงจะรวดเร็วขึ้น เจ้าจงอยู่ที่นี่ หากมีคนมาถามหาข้า ก็ให้บอกว่าข้านอนแล้ว”
เฉี่ยนอินขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “พระชายาไม่ให้หม่อมฉันตามเสด็จอีกแล้วนะเพคะ หม่อมฉันหาได้เป็นตัวถ่วงของพระชายาไม่”
หยุนชางได้ฟังเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา “เจ้านี่นะ ข้าไม่ได้กลัวว่าเจ้าจะมาเป็นตัวถ่วง เพียงแต่มีเรื่องที่สำคัญกว่านั้นมอบหมายให้เจ้าดูแล เจ้าลองคิดดู หากคนในจวนฉีรู้ว่าข้าจะเข้าไปสังเกตการณ์ภายในกองทัพ พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้ข้าออกไปแน่ ถึงเวลานั้นคงจะยุ่งยากน่าดู เจ้าอยู่ที่นี่ คอยถ่วงเวลาคนพวกนั้นให้กับข้า หากว่าเจ้าไม่อยู่ แล้วผู้ใดจะเชื่อว่าข้ายังอยู่ในห้อง? คืนนี้คงจะมีคนแวะเวียนมาสอดส่องอยู่บ้าง เจ้าก็อย่าทำเสียเรื่องแล้วกัน”
เฉี่ยนอินยอมแพ้หยุนชาง นางได้แต่พยักหน้ารับอย่างอิดออด แล้วเอ่ยว่า “พระชายานี่หาข้ออ้างเก่งจริงๆเลยนะเพคะ”
เมื่อเตรียมตัวเสร็จแล้ว หยุนชางได้ให้ทหารสายลับแบ่งฝ่ายไปสำรวจค่ายทหารทางด้านนอกประตูเมืองทิศเหนือ ส่วนนางเลือกสายลับเอาไว้ 5 คน แล้วค่อยๆขี่ม้าออกไป
เมื่อมาถึงประตูเมืองทิศเหนือแล้ว หยุนชางไม่เสียเวลาเกลี้ยกล่อมให้คนเฝ้าประตูเปิดประตูให้ นางตัดสินใจให้สายลับของนางพานางเหาะข้ามกำแพงออกไป ไม่นานนัก ก็มาถึงค่ายทหารด้านนอกประตูเมืองทิศเหนือ
คงเป็นเพราะถูกบุกรุกมาไม่นาน ในค่ายทหารจึงไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางเท่าไร เสียงผู้คนฟังดูชุลมุนนัก
“เจ้าเป็นใคร ค่ายทหารเป็นเขตหวงห้าม คนนอกห้ามเข้า” ปืนยาวสองกระบอกยื่นมาขวางหน้าหยุนชาง พลันเหล่าทหารก็วิ่งมาเข้าแถวเตรียมพร้อมอยู่ตรงประตูค่าย พวกเขาจ้องมองหยุนชางอย่างไม่ไว้ใจ
หยุนชางมิได้เอ่ยคำใด สายลับที่ติดตามมาด้วยชักดาบออกมาปัดปืนยาวออกไป ขณะที่เหล่าทหารเตรียมจะลงมือนั้น เขาก็หยิบป้ายประจำตัวทหารสายลับออกมา “ข้าคือทหารสายลับประจำพระองค์”
ทหารคนอื่นๆแม้จะไม่เคยพบเห็นป้ายประจำตัวทหารสายลับ แต่พวกเขาก็พอรู้กิตติศัพท์ความเกรียงไกรของทหารสายลับอยู่บ้าง พวกเขาตกตะลึงกับป้ายนั้น แต่ก็ยังคงมองหยุนชางด้วยความระแวง
“นี่คือพระชายาของจิ้งอ๋อง นางเป็นใต้เท้ากำกับการที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้ง ใต้เท้ากำกับการจะเข้าไปในค่ายเพื่อหารือเรื่องการรบกับแม่ทัพฉี พวกเจ้ายังไม่ถอยไปอีก!” ทหารสายลับข้างๆหยุนชางทำเสียงเข้ม แล้วจ้องเขม็งไปยังเหล่าทหารที่อยู่ตรงหน้า
ทหารเหล่านั้นอึ้งไปสักพัก แล้วจึงรีบพูดขึ้นว่า “ขอท่านใต้เท้ายกโทษให้พวกข้าน้อยด้วย ในค่ายทหารไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไปข้างใน ขอให้ข้าน้อยได้ไปรายงานต่อท่านแม่ทัพก่อนนะขอรับ……”
หยุนชางพยักหน้า “ไปเถอะ ข้าจะรออยู่ที่นี่” แม้จะเป็นคำพูดเพียงไม่กี่คำ แต่หยุนชางก็ได้วางมาดสุขุมและน่าเกรงขามตามแบบจิ้งอ๋อง ทำให้เหล่าทหารที่อยู่ตรงประตูไม่อาจละสายตาไปจากนางได้
ไม่นานนัก หยุนชางก็ได้เห็นฉีหล่างเดินหน้าถมึงทึงเข้ามา เมื่อเขาได้พบหยุนชาง สายตาเขาแฝงไปด้วยความไม่พอใจ แต่ก็พยายามข่มอารมณ์เก็บอาการเอาไว้ เขารีบเดินมาหาหยุนชางแล้วทำการคารวะ “หม่อมฉันไม่ทราบว่าพระองค์จะเสด็จมาถึงที่นี่ จึงมิได้เตรียมการต้อนรับ ขอทรงอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หยุนชางยิ้มเล็กน้อย “แม่ทัพฉีลุกขึ้นเถิด ดูเหมือนว่าท่านจะลืมพระบรมราชโองการที่ข้าเดินทางมายังเมืองคังหยางแล้วกระมัง เสด็จพ่อทรงแต่งตั้งให้ข้ามาเป็นใต้เท้ากำกับการ กองกำลังแคว้นเซี่ยบุกโจมตีฐานทัพของเรา เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ เหตุใดท่านแม่ทัพฉีจึงมิรายงานให้ข้าได้รู้บ้าง หรือว่า ท่านแม่ทัพฉีคิดจะ……ขัดพระบัญชาของเสด็จพ่อ?”
ฉีหล่างยิ่งหน้าเสียมากขึ้นไปอีก เขารีบคุกเข่า “ข้าน้อยมิบังอาจ เพียงแต่ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกระทันหัน จึงไปรายงานใต้เท้าไม่ทัน ขอใต้เท้าโปรดอภัยด้วยขอรับ”
หยุนชางค่อยๆปรับสายตาให้อ่อนลง ก็ยังดี ที่เขายอมรับว่านางเป็นใต้เท้ากำกับการ มิได้เป็นเพียงชายาจิ้งอ๋องเท่านั้น
“แม่ทัพฉีคงมีเรื่องที่ต้องสะสางมากมาย ข้าเข้าใจ ข้าจึงได้เดินทางมาด้วยตัวเองอย่างไรล่ะ แต่ว่า แม่ทัพฉีจะพูดคุยกับข้าอยู่ที่ประตูค่ายเช่นนี้หรือ?”หยุนชางมองไปที่ฉีหล่างพลางทำมือแจ้งให้ลุกขึ้น
ฉีหล่างรีบลุกขึ้น “เชิญใต้เท้าขอรับ”
ฉีหล่างนำหยุนชางเข้าไปในกระโจมหารือ ในกระโจมมีชายสวมเครื่องแบบทหารนั่งอยู่จำนวนหนึ่ง ดูจากการแต่งกายของแต่ละคนแล้ว คงจะเป็นทหารชั้นผู้นำยศสูงๆ เมื่อพวกเขาเห็นหยุนชางเดินเข้าไปในกระโจม ก็พากันจ้องมองหยุนชาง
ฉีหล่างเชิญหยุนชางไปนั่งที่เก้าอี้หลัก สายลับคอยยืนอารักขาอยู่สองฝั่ง ฉีหล่างสังเกตเห็นเงาดำ 5 เงาที่ยืนอยู่หลังหยุนชาง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปประกาศต่อทหารคนอื่น “ท่านนี้คือพระชายาของจิ้งอ๋อง และเป็นใต้เท้ากำกับการที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้ง”
ทหารเหล่านั้นได้ยินเช่นนั้นแล้ว ก็มองหน้ากันไปมา ผ่านไปสักพัก จึงพากันคุกเข่า “ข้าน้อยขอคารวะใต้เท้ากำกับการ”