ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 284 เป็นที่เคารพยกย่องของผู้คน
“ฮี่……” เสียงบัญชาการที่ตะโกนเข้ามากระทันหันทำให้ม้าของคณะหยุนชางตกใจ ฝูงม้าพากันแตกตื่น มีทั้งเสียงบัญชาการสั่งฆ่า และเสียงความชุลมุนของฝูงม้าดังปนกันไปหมด
“ท่านแม่ทัพ นี่มัน……” นายทหารด้านหลังตะโกนมาด้วยความงุนงง ฉีหล่างมิได้เอ่ยคำพูดใดออกมา หยุนชางครุ่นคิด เวลานี้ เกรงว่าฉีหล่างคงกำลังรู้สึกไม่ดีเป็นแน่
ไม่นานนัก ฉีหล่างจึงพูดเบาๆขึ้นมาว่า “ในเมื่อใต้เท้าได้ส่งแม่ทัพจำแลงออกไปปะทะแล้ว และพวกเขาล้วนมีฝีมือเก่งกาจรู้จักทางหนีทีไล่ ทหารที่ติดตามไปด้วยก็เป็นถึงทหารกองเอก จะบาดเจ็บหรือตายไปก็นับว่าเป็นความสูญเสียของแคว้นหนิง”
หยุนชางหัวเราะในใจ “แม่ทัพฉีคงจะลืมไปแล้วว่า หากไม่ใช่ข้าคอยห้ามความคิดของท่านไว้ เกรงว่าคนที่อยู่กลางร่องเขานั้นจะเป็นท่านไปเสียแล้ว……”
จากนั้นเสียงก็ได้เงียบลง หยุนชางครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ข้าขอแสดงความนับถือแม่ทัพผู้อาวุโสทุกท่าน เห็นทีว่าจำนวนครั้งที่พวกท่านออกศึก จะมากกว่าจำนวนข้าวที่ข้าเคยกิน แต่ในบางครั้ง ข้าก็หวังว่าพวกท่านจะไม่หลงไหลได้ปลื้มในความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของตนเองจนเผลอใช้อารมณ์ในการวางแผนการรบ”
หยุนชางไม่อยากระบุถึงใครคนใดคนหนึ่ง นางรู้ว่า ฉีหล่างผู้นี้ หากรู้จักคิดรู้จักทำก็จะเกิดผลดีขึ้นมาไม่น้อย เปรียบดั่งดาบชั้นยอด แต่หากทำงานผิดๆ เกรงว่าจะนำภัยมาสู่แคว้นหนิงได้ คำพูดของนางในวันนี้ เพียงแค่ต้องการให้เขาจดจำความชอกช้ำในวันนี้ไว้ ต่อจากนี้ไป จะคิดการใดก็ต้องไตร่ตรองให้ถ้วนถี่กว่านี้แล้วจึงตัดสินใจภายหลัง
หยุนชางหยิบปี่หยกออกมาจากใต้แขนเสื้อ นางเป่าปี่ พลันชายชุดดำทั้งสามก็ปรากฏกายคุกเข่าลงเบื้องหน้าม้าของหยุนชาง ทหารที่ติดตามหยุนชางต่างพากันตกตะลึง นึกไม่ถึงเลยว่า จะมีคนคอยแอบตามพวกเขามาโดยตลอด
“สั่งการลงไปว่า ให้สายลับกลุ่มแรกกลับมายังปากทางเข้าร่องเขา จัดการทหารเฝ้าประตูของแคว้นเซี่ยให้เรียบร้อย กลุ่มที่ 2 และ 3 ค่อยๆลอบเข้าไปในป่าทึบ อาศัยจังหวะที่ทหารแคว้นเซี่ยไม่รู้ตัว จัดการเก็บพวกเขาทีละคนๆ! กลุ่มที่ 4 และ 5 ไปหลบซ่อนตัวให้ห่างออกไป รอเวลาชูธงโห่ร้องว่าจัดการทหารแคว้นเซี่ยได้ ฆ่ามัน! ส่วนกลุ่ม 6 ให้เฝ้าอยู่ด้านล่างร่องเขา หากมีผู้ใดกระโดดลงไปก็จงสังหารเสียให้หมด!” หยุนชางกำชับเบาๆ น้ำเสียงของนางไร้ซึ้งความรู้สึก แม้กระทั่งเหล่าทหารที่คุ้นชินกับการรบราฆ่าฟันก็ยังอึ้ง พวกเขาจ้องมองหยุนชางด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ
สายลับรับคำแล้วถอยออกไป หลังจากนั้นไม่นาน เสียงก้อนหินก้อนใหญ่เกลือกกลิ้งก็ดังขึ้นมาไม่ขาดสาย
“ใต้เท้าขอรับ ทหารสายลับเหล่านี้ ท่านเตรียมมาจำนวนเท่าใดหรือขอรับ?”คนที่อยู่ข้างหลังถามขึ้นมา
หยุนชางยิ้มแล้วตอบไปว่า “จะสร้างทหารสายลับขึ้นมาสักคนไม่ใช่เรื่องง่าย ทหารสายลับที่คอยติดตามเสด็จพ่อก็มิได้มีมากนัก ทหารสายลับที่ข้านำมาเมืองคังหยางในครานี้ มีไม่ถึง 1 พันนาย”
เสียงที่ดังมาจากด้านหลังดูเหมือนจะลังเลเล็กน้อย “แต่ว่า ฝ่ายตรงข้ามมีไพร่พลไม่ต่ำกว่า 3-4 พันนายเลยนะขอรับ……”
“แล้วอย่างไรล่ะ?” หยุนชางเอ่ยถาม “ทหารสายลับมีดีที่ปฏิภาณไหวพริบ ทักษะการอำพรางตัว ลอบฆ่า ล้วนเป็นยอดฝีมือทุกด้าน หากจะให้มารับมือกับทหารกองเอกของศัตรู ปะทะกัน 1 ต่อ 10 ก็มิใช่ปัญหา ท่านแม่ทัพโปรดรอดูเถิด อย่างน้อยๆ ข้าก็ไม่ยอมส่งคนของตัวเองให้ออกไปตายเปล่าแน่นอน”
ทุกคนในที่นั้นเข้าใจดีว่าหยุนชางกำลังหมายถึงผู้ใด แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรต่อ
ผ่านไปไม่นาน เสียงสั่งฆ่าเริ่มเบาลงและเงียบไป เสียงที่ตามมาหลังจากนั้นคือเสียงฝีเท้าของฝูงม้า ฟังดูแล้ว คงมีคนมากกว่า 3-4 หมื่น
“แย่แล้ว หรือว่ากำลังเสริมของแคว้นเซี่ยกำลังมา?”
หยุนชางยิ้ม “ไม่ใช่กำลังเสริมของแคว้นเซี่ยหรอก……”
เมื่อพูดจบ พลันได้ยินเสียงโห่ร้อง “จัดการทหารแคว้นเซี่ยได้ ฆ่ามัน……”
เสียงนั้นดังกึกก้องมาก เสียงนั้นรับกันเป็นทอดๆ ราวกับมีคนโห่ร้องอยู่เป็นจำนวนมาก
นายทหารที่ติดตามมาด้านหลังล้วนได้ยินคำสั่งของหยุนชาง เสียงโห่ร้องในตอนนี้เหมือนเสียงที่หยุนชางกำชับไว้ไม่มีผิด พวกเขาเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง แต่ก็ยังรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย พวกเขาเริ่มเข้าใจว่าเสียงฝีเท้าของฝูงม้าและเสียงสั่งฆ่า ก็คือเสียงตัวแทนของทหารสายลับทั้งสองฝั่ง หากเป็นไปตามที่หยุนชางคาดเดา ทหารสายลับทั้งสองฝั่ง ก็คงจะมีไม่ถึงร้อยคน”
…………..
ทุกคนเห็นเงาคนค่อยๆจางหายไป พลันเกิดเสียงที่ตกอกตกใจดังขึ้น “เร็วเข้าๆ พวกเราโดนกลศึก ทหารแคว้นหนิงส่งกำลังเสริมเข้ามา รีบสลายทัพเดี๋ยวนี้ พวกเราจะไปรายงานท่านกุนซือ ไม่ให้ท่านกุนซือหลงกลศึก รีบ……”
พูดยังไม่ทันจบ ก็เหลือบไปเห็นเงาดำหายวับผ่านไป พวกเขาตกใจหน้าถอดสี
เสียงร้องตกใจดังขึ้น แต่ก็ดังขึ้นเพียงไม่นานก็ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาอีกเลย
หยุนชางยืนนิ่ง แม้ทหารแคว้นเซี่ยจะไม่เคยปราณีศัตรู แต่เมื่อมาเห็นพวกเขาถูกสังหารโดยไม่ทันได้ตั้งตัวเช่นนี้ ในใจของนางก็อดสงสารไม่ได้
จากนั้นไม่นาน เสียงร้องจากป่าทึบก็ค่อยๆสงบลง หยุนชางพูดเสียงเบาว่า “ไปกันเถอะ พวกเราลงไปรอที่ด้านล่าง” พูดจบก็ถือเชือกจูงม้าเดินต่อไป
เมื่อออกมาจากป่าทึบ เตรียมมุ่งหน้าไปที่ปากทางลงสู่ร่องน้ำ ท้องฟ้าก็เริ่มสว่างขึ้น สายลับผู้ที่แปลงโฉมเป็นฉีหล่างคอยเฝ้าปากทางอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว เมื่อเห็นหยุนชางเสด็จลงมา เขาก็รีบคุกเข่า “หม่อมฉันทำตามพระประสงค์ของพระชายาไม่ได้ ทหารเอก 8 พันนาย พวกเขาต้องบาดเจ็บไปถึง 400 นาย”
หยุนชางพยักหน้า “ลำบากท่านจริงๆ” พูดจบ ก็หันหลังไปดูนายทหารด้านหลัง ภายใต้แสงแดดยามเช้า สีหน้าของพวกเขาดูสดใสขึ้นมาก
“รอคนอื่นๆมารวมตัวกันอีกหน่อยนะ” หยุดชางเอ่ย
ไม่นานนัก ก็มีสายลับ 3 คนเหาะลงมาแล้วคุกเข่า “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ พระชายา”
หยุนชางพยักหน้าพลางเอ่ยถาม “เป็นอย่างไรบ้าง?”
“กองกำลังแคว้นเซี่ยมีทั้งหมด 3,700 นาย มี 2 นายที่หม่อมฉันไว้ชีวิตให้พวกเขาไปส่งข่าว ส่วนคนอื่นๆหม่อมฉันสังหารเรียบร้อยแล้ว สายลับของเราไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแม้แต่คนเดียวพ่ะย่ะค่ะ”
หยุนชางยิ้มกว้าง “ดีมาก!” นายทหารที่ติดตามหยุนชางมาก็มองหน้ากันด้วยสีหน้าชื่นชม ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต เห็นทีว่านอกจากความสามารถส่วนตัวของสายลับแล้ว แผนการที่หยุนชางสั่งให้พวกเขาทำก็มีส่วนในความสำเร็จครั้งนี้ไม่น้อยเลย
จากนั้น ก็มีสายลับเข้ามารายงานอีก “หม่อมฉันไปตรวจสอบมาแล้ว รัชทายาทแคว้นเซี่ยและกุนซือคัดเลือกทหารมา 4 แสนนาย กำลังเตรียมการอยู่ในจุดที่ห่างจากตรงนี้ออกไป 50 ลี้ ดูเหมือนว่าจะรอฟังข่าวจากทางนี้อยู่ก่อนที่จะลงมือพ่ะย่ะค่ะ”
หยุนชางพยักหน้า “หลิ่วหยินเฟิงเป็นยอดฝีมือขนานแท้ ข้าเกรงว่า ทหารหลักแสนครานี้ จะทำให้แม่ทัพฉีหากไม่เสียชีวิตก็คงได้รับบาดเจ็บสาหัส หากแม่ทัพใหญ่เป็นอะไรไป ก็จะทำให้ไพร่พลเสียขวัญ การบุกโจมตีในเวลานี้ จึงเป็นโอกาสที่เหมาะสมที่สุด”
สีหน้าของฉีหล่างเริ่มเปลี่ยนไป สักพักหนึ่งเขาก็เดินมาคุกเข่าลงตรงหน้าของหยุนชาง “ข้าน้อยขอขอบคุณใต้เท้าที่ช่วยชีวิตข้าน้อยเอาไว้ขอรับ”
“ไม่ต้องขอบคุณให้มากความไปหรอก ในเรื่องนำทัพทำสงคราม ข้าก็เป็นเพียงคนนอกที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ ดีที่วันนี้เราได้ชัยชนะ ซี่งเป็นเพราะว่าหลิ่วหยินเฟิงไม่รู้จักข้าดีพอ ส่วนตัวข้านั้น หลายวันมานี้ได้พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับหลิ่วหยินเฟิงเอาไว้มากมาย ในการออกรบ รู้เข้ารู้เรา รบร้อยครั้งก็ชนะร้อยหน สิ่งที่หลิ่วหยินเฟิงรู้มา ก็อาจเป็นสิ่งที่แม่ทัพฉีไม่เคยรู้มาก่อน ชีวิตคนเรายังมีเรื่องให้เรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด ท่านเป็นแม่ทัพใหญ่ของแคว้นหนิง การที่ข้าได้ช่วยท่านไว้ในครานี้ ก็เพราะไม่อยากให้แคว้นหนิงสูญเสียคนมีฝีมือเช่นท่านไป แต่ข้าก็หวังว่าท่านจะมองเห็นและยอมรับจุดอ่อนของตนเอง อย่าหลงระเริงเกินพอดี ในการทำศึกแต่ละครั้ง การรักษาชีวิตให้รอดเป็นสิ่งที่สำคัญมาก” หยุนชางอธิบายในขณะที่ยังนั่งอยู่บนหลังม้า ผ้าคลุมไหล่สีขาวถูกลมพัดปลิวไสว
ฉีหล่างกำหมัดไว้ข้างตัวอย่างแน่น เขาเกร็งไปทั้งตัว ก่อนจะพูดว่า “ขอรับ คำสอนของใต้เท้า ข้าน้อยจะจำเอาไว้”
หยุนชางรู้ดีว่าเขารู้สึกเสียหน้าในครานี้และอาจจะไม่ได้เข้าใจถึงเจตนารมณ์ของนางได้อย่างชัดเจน เรื่องราวในวันนี้คงจะฝังลึกในใจเขาไปอีกนาน แต่เพียงแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
“กลับค่ายกันได้แล้ว” หยุนชางเอ่ย
นางขี่ม้าไปอยู่แถวหน้า เตรียมนำขบวน
เมื่อกลับมาถึงค่าย หยุนชางก็เอ่ยลาแม่ทัพทุกท่าน แล้วเดินทางกลับมายังจวนฉี
เฉี่ยนอินเห็นหยุนชางกลับมาแล้วก็รีบเข้าไปรับหยุนชาง นางช่วยแกะผ้าคลุมไหล่ออก พลางสั่งคนไปนำน้ำมาถวาย ระหว่างนี้นางก็เอ่ยว่า ข้างนอกมีน้ำค้าง พระชายาอย่าเพิ่งบรรทมทั้งๆที่ร่างกายเปียกชื้นเช่นนี้เลย ทรงสร่งน้ำก่อนเถิดเพคะ”
หยุนชางพยักหน้า นางไปสรงน้ำก่อน แล้วจึงกลับเข้ามาในห้อง นางปราดตัวไปนอนบนแท่นบรรทม “ง่วงจริงๆ ง่วงจริงๆ ไม่เคยคิดเลยว่าข้าจะอยากเข้าไปก้าวก่ายเรื่องของการเมือง แต่กองกำลังแคว้นเซี่ยดันบุกมาตอนกลางคืน เหมือนจะไม่ให้ข้ามีเวลานอนเสียบ้าง……”
เฉี่ยนอินเผลอหัวเราะ “สงสัยพระชายาจะลืมไปแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พระองค์ทรงจัดแจงทุกอย่างเองนะเพคะ” นางครุ่นคิดแล้วพูดต่อ “ไม่รู้ว่าทางด้านของท่านอ๋องตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง หากท่านอ๋องสะสางธุระของพระองค์เสร็จแล้ว ก็คงจะเสด็จมาได้ เมื่อถึงเวลานั้นพระชายาก็คงจะได้พักมากขึ้น พระชายาจะทรงเขียนจดหมายไปถามท่านอ๋องดูไหมเพคะ?”
ถามไปตั้งนานกลับไม่ได้รับคำตอบ เฉี่ยนอินที่รู้สึกแปลกใจและกำลังจะหันหลังเดินออกไป ก็เห็นว่าผู้ที่นอนอยู่บนเตียงนั้นได้สลบไสลไปเสียแล้ว นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ นางคิดในใจ ที่พระชายาบรรทมไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ท่าทางจะทรงเหนื่อยมาไม่น้อยเลย