ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 286 หยุนชางวางกลศึกให้กองทัพคังหยาง
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หยุนชางสั่งให้เฉี่ยนอินหาชุดผู้ชายมาใส่แล้วแอบออกจากจวนไป ข่าวการโจมตีในคืนถูกสกัดไว้ คนในเมืองที่รู้เรื่องนี้มีไม่มากนัก ในเมืองยังคงคึกคักเช่นเดิม
หยุนชางเดินไปรอบเมืองอย่างรู้สึกหนักใจ ในไม่ช้าก็เร็วการต่อสู้ครั้งนี้จะต้องเกิดขึ้น ประชาชนผู้บริสุทธิ์เหล่านี้กลับต้องได้รับผลกระทบไปด้วยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงไปได้
เมื่อนางกำลังจะกลับไปที่จวนฉีก็มองเห็นเงาร่างที่คุ้นเคย นั่นก็คือฉีอวี้เฟิงคุณชายใหญ่แห่งสกุลฉี เขาก็เห็นหยุนชางเช่นกัน เพียงแต่ในแววตาฉายแววข้องใจ นางดูไม่แน่ใจและไม่ได้ก้าวเข้ามา สายตาของเขาจับจ้องที่หยุนชางอยู่นานแล้วเบนสายตาไปมองเฉี่ยนอินที่อยู่ด้านหลังนาง ทันใดนั้นจึงได้เข้าใจ
หยุนชางนึกว่าหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นแล้ว ฉีอวี้เฟิงคงจะเกรงกลัวนางเล็กน้อย แม้เจอหน้าก็จะเลี่ยงไป แต่คิดไม่ถึงว่าเขาเพียงแสดงสีหน้าตกใจแล้วจึงสาวเท้าเข้ามาหาหยุนชาง
“พระชา…” ทันทีที่เขาเอ่ยปากออกมา หยุนชางก็กวาดตามองเขาอย่างเรียบเฉย เขาจึงคิดได้ว่าไม่เหมาะสมจึงรีบเปลี่ยนคำเรียกในทันที “คุณชายแต่งตัวเช่นนี้ยิ่งดูหล่อเหลามีเสน่ห์มากกว่าชายหนุ่มธรรมดาเสียอีก เกือบจำไม่ได้เสียแล้ว คุณชาย เมื่อครู่ก่อนที่ข้าจะออกจากจวนมาดูเหมือนท่านพ่อกำลังตามหาท่านอยู่ เกรงว่าคงจะเป็นเรื่องการทหาร เมื่อเห็นว่าคุณชายไม่ได้อยู่ในจวนจึงให้คนออกมาตามหาไปทั่วเมือง แต่คุณชายแต่งตัวแบบนี้ เหล่าลูกน้องก็คงจะหาพบยาก หากคุณชายไม่ได้มีอะไรก็รีบกลับไปเถอะ”
หยุนชางตอบรับอย่างราบเรียบ “อืม ข้าจะกลับจวนเดี๋ยวนี้ ว่าแต่คุณชายใหญ่จะไปไหนหรือ?” หยุนชางจ้องมองไปด้านหลังฉีอวี้เฟิง ด้านหลังของเขามีชายหลายคน เสื้อผ้าอาภรณ์บนร่างของพวกเขาล้วนแต่เป็นผ้าชั้นดี คงไม่ใช่คุณชายจากตระกูลธรรมดา
ฉีอวี้เฟิงหันศีรษะมองตามสายตาของหยุนชางไปและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณชายเหล่านี้ล้วนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับข้า วันนี้เป็นโอกาสดีที่พวกเขาไม่ต้องไปลาดตระเวนจึงได้มีเวลาว่างมารวมตัวกัน หากคุณชายไม่มีธุระอะไรก็สามารถไปดื่มกับพวกข้าได้ หาเวลาว่างวันอื่นก็ได้”
หยุนชางพยักหน้า ประสานมือคารวะแก่พวกเขาแล้วจึงนำเฉี่ยนอินกลับจวนสกุลฉีไป
“คุณชาย…” เฉี่ยนอินก้าวไปข้างหน้าจนมาอยู่ด้านหลังหยุนชางเพียงเล็กน้อยก่อนจะพูดเบาๆ “คุณชายใหญ่ช่างมีน้ำใจเสียจริง ท่านปฏิบัติต่อเขาอย่างนั้น เขายังยิ้มทักทายท่านได้ ข้านับถือจริงๆ”
หยุนชางลูบแหวนบนนิ้วของนางเบาๆ “ที่ชายบ้าบิ่นอย่างฉีหล่างจะสั่งสอนลูกชายแบบนี้ออกมาได้ก็นับว่ายอดเยี่ยมอยู่บ้าง เพียงแต่ความฉลาดนั้นเป็นเรื่องดี แต่หากใช้ความฉลาดนี้ในทางที่ไม่ควรใช้มันก็ออกจะทำให้คนชิงชังไปสักหน่อย”
ทันทีที่หยุนชางมาถึงที่ประตูจวนฉี นางก็เห็นพ่อบ้านของตระกูลฉีรออยู่ที่ประตู เมื่อเขามองเห็นการแต่งกายของหยุนชางก็ตะลึงไปเล็กน้อยแล้วจึงรีบกล่าวว่า “พระชายา ท่านแม่ทัพกล่าวว่า มีรายงานด่วนเข้ามา หากพระชายากลับมาที่จวนแล้วให้รีบเชิญไปที่ค่ายทันทีขอรับ”
หยุนชางใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ยังไม่ทันเข้าประตูจวนฉีนางก็พาเฉี่ยนอินหมุนตัวจากไปทางค่ายทหารใหญ่นอกเมืองคังหยาง
เมื่อหยุนชางมาถึงค่ายทหาร คนก็แทบจำนางไม่ได้ แต่สายตาของหลิวหัวชะงักไปและหัวเราะเสียงดัง “ถ้าใต้เท้าแต่งตัวแบบนี้ออกจากจวนมา เกรงว่าคงจะคว้าหัวใจของหญิงสาวในเมืองคังหยางมาได้ไม่น้อย”
หยุนชางก้มหน้าลงมองที่อาภรณ์บุรุษสีฟ้าอ่อนบนตัวนางและยิ้มบางๆ “สตรีอย่างข้าแต่งกายเป็นผู้หญิงเข้ามาในค่ายคงไม่ค่อยสะดวกนัก นอกจากนี้ได้ยินมาว่าหลิ่วหยินเฟิงนั่นชอบชายที่ดูเป็นหนอนหนังสือ ท่าทางอ่อนโยนสง่างาม ไม่รู้ว่าข้าจะเข้าตาเขาหรือไม่? ถ้าทำได้ข้าเองก็อยากจะใช้อุบายชายงาม*” (หมายถึง อุบายสาวงาม แต่ในที่นี้หยุนชางกล่าวว่าหลิ่วหยินเฟิงชอบชายหนุ่มที่ดูเป็นหนอนหนังสือ จึงได้เปลี่ยนคำเป็นอุบายชายงาม)
เหล่าแม่ทัพในค่ายอดหัวเราะออกมาไม่ได้ แต่มีเพียงฉีหล่างเท่านั้นที่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “มีเพียงผู้หญิงเช่นใต้เท้าเท่านั้นที่สามารถคิดกลอุบายชั่วร้ายเช่นนี้ได้”
เมื่อนายพลคนอื่นๆ ได้ยินเช่นนั้นก็รีบหุบยิ้มและแสร้งทำเป็นมองดูแผนที่บนโต๊ะอย่างนิ่งสงบ
แต่หยุนชางกลับไม่มีทีท่าทุกข์ร้อนแต่อย่างใด “เมื่อมาถึงสนามรบแล้ว ใครจะสนว่าเป็นเรื่องที่ถูกศีลธรรมหรือไม่กัน ชัยชนะต่างหากจึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด นอกจากนี้อุบายสาวงามนี้ยังมีอยู่ในตำราพิชัยสงครามหลายเล่มและถือได้ว่าเป็นกลยุทธ์ที่มาจากปัญญาของบรรพบุรุษเรา… ”
“ช่างเล่นลิ้นนัก” ฉีหล่างกล่าวด้วยเสียงเย็นแล้วจึงละสายตาออกและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “วันนี้เซี่ยโหเหยียนโยกย้ายกำลังพลบ่อยขึ้น เข้าโยกย้ายกำลังเกือบสี่แสนคนออกจากค่ายไปทางซ้าย เหมือนจะมุ่งไปทางชุนเฟิงตู้ ข้าเห็นว่าคราวนี้ ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่เพียงวางค่ายกลไม่น่าไว้ใจ แต่ดูเหมือนอยากจะโจมตีมากกว่า เมื่อครู่พวกเราเพิ่งหารือกันว่าจะส่งกำลังคนไปขวางพวกเขาไว้”
หยุนชางส่ายหัว “คราวนี้เป็นเพียงกลลวงเพื่อล่อศัตรูเท่านั้น ระยะนี้มีลมจากทางเหนือ แม้ว่าหลิ่วหยินเฟิงอยากจะโจมตี เขาจะไม่มีทางลงมือจากชุนเฟิงตู้แน่”
“ทำไม” หวังชงขมวดคิ้วมุ่น
หยุนชางยิ้มจางๆ “หากในเวลานี้พวกเขาผ่านชุนเฟิงตู้ไป หากเราก็ต้องการทำลายทั้งกองทัพของพวกเขาก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่จุดควันพิษก็พอแล้ว เมื่อลมเหนือพัดมาก็จะพัดพาควันพิษไปสู่กองทัพศัตรู”
หวังชงพยักหน้าราวกับเข้าใจมากขึ้นแล้ว
หยุนชางชี้นิ้วไปที่หุบเขาชิงเฟิงบนแผนที่ “ข้ายังรู้สึกว่าด้วยนิสัยของหลิ่วหยินเฟิงแล้ว เขาน่าจะมาจากทางนี้ หุบเขาชิงเฟิงมีภูมิประเทศสูงชันและการเดินทัพก็ยาก แต่ก็ยากเหมือนกันที่เราจะไปสกัดกั้นพวกเขาได้ สิ่งที่เขาเดิมพันไว้คงเป็นความคาดไม่ถึงของเรา ไม่เช่นนั้นเราแบ่งกำลังของเราออกเป็นสามกลุ่ม ทัพใหญ่ที่ค่ายเหลือหนึ่งแสนนายรอคำสั่งเดินทัพ อีกห้าหมื่นนายไปที่ชุนเฟิงตู้ อีกกองทัพนำทหารห้าหมื่นนายไปที่หุบเขาชิงเฟิง หากเจอกองทัพศัตรูก็ให้ใช้สัญญาณไฟ ทัพใหญ่หนึ่งแสนนายเตรียมรอเข้าไปหนุน อีกสองกองทัพให้โจมตีเข้าไปในค่ายศัตรูเสีย บีบให้พวกเขาต้องถอยร่นไปขอกำลังเสริม จากนั้นเราจะดักกำจัดพวกเขาเสียกลางทาง”
ฉีหล่างขมวดคิ้ว “ศัตรูมีทัพใหญ่ห้าแสนนาย แต่เรามีเพียงสามแสนนาย หากรวมกันเรายังพอมีหวังอยู่บ้าง แต่หากแบ่งกำลัง เกรงว่า…”
หยุนชางยิ้มบางๆ “ข้าให้สายลับไปหาแม่ทัพจางฉีที่เมืองจิ้งหยาง แม่ทัพจางรวมกำลังพลได้หนึ่งแสนแล้ว เมืองจิ้งหยางอยู่ใกล้กับคังหยาง หากคังหยางมีปัญหาเขาจะนำทัพมาเสริมทันที สถานการณ์ที่จิ้งหยางดีกว่าคังหยางอยู่บ้าง เมื่ออาศัยข้อได้เปรียบทางชัยภูมิ จิ้งหยางอยู่บนยอดเขา หากศัตรูต้องการโจมตีย่อมจะลำบากกว่า แม้จะโยกย้ายกำลังพลหนึ่งแสนนายเป็นการชั่วคราวก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่”
ฉีหล่างมองแผนที่อย่างเงียบๆ สีหน้าของเขาไม่ค่อยดีนัก ทุกคนต่างมองมาที่เขา ผ่านไปครู่ใหญ่ ฉีหล่างจึงกัดฟันพูด “ในเมื่อใต้เท้ายืนยันเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็จะไม่ห้าม…”
“ท่านแม่ทัพวางใจเถอะ หากคังหยางเสียหายก็นับว่าเป็นความผิดของข้า ข้าจะรับโทษทุกอย่างเอง” หยุนชางมองคำว่าคังหยางในแผนที่บนโต๊ะอย่างสงบนิ่ง ดวงตาของนางเป็นประกายแน่วแน่
เพราะกำลังจะมีการสู้รบกัน หยุนชางจึงได้ให้คนทำความสะอาดกระโจมแล้วพักอาศัยอยู่ในค่ายและมักจะแต่งตัวเป็นบุรุษ เฉี่ยนอินก็สวมใส่อาภรณ์ของบุรุษคอยอยู่รับใช้นาง
ตลอดทั้งวันหยุนชางศึกษาตำแหน่งแผนที่ ศึกษาการรบของหลิ่วหยินเฟิงในช่วงหลายปีมานี้และเรื่องของเซี่ยโหเหยียน องค์รัชทายาทแห่งแคว้นเซี่ย ทุกวันนางจะนำเฉี่ยนอินไปยังชัยภูมิที่สำคัญสามจุด ได้แก่ หุบเขาชิงเฟิง ชุนเฟิงตู้และเนินเขาหลิวหยุนและตรวจตราดูแทบจะทุกตารางนิ้ว
วันนั้นนางกำลังสำรวจหุบเขาชิงเฟิงอยู่ เมื่อเหนื่อยจึงนั่งพักริมลำธารในหุบเขา แต่ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงเกือกม้าแว่วมาเบาๆ หยุนชางตกใจมาก ผู้คนที่อยู่ในหุบเขาในเวลานี้คงไม่ได้มาดีแน่ เพียงแต่รอบด้านไม่มีที่หลบซ่อน หยุนชางจึงรีบลุกขึ้น ดึงเฉี่ยนอินแล้วกำลังจะขี่ม้าออกไป แต่กลับสายไปแล้ว นางได้ยินเสียงราบเรียบระคนน่าเกรงขามดังแว่วมาจากด้านหลัง “หยุด!”
หยุนชางตกตะลึงและจับมือของเฉี่ยนอินไว้ ในสมองคิดอยู่หลายครั้งและในที่สุดก็เลือกที่จะหยุดฝีเท้าลง
นางได้ยินเสียงดาบถูกดึงออกจากฝัก ดาบอันคมเฉียบทาบคอของหยุนชาง ร่างกายของหยุนชางสั่นสะท้านอย่างหนักแล้วจึงได้ยินเสียงบุรุษถามมาจากด้านหลัง เป็นเสียงเดิมที่ได้ยินเมื่อครู่ “เจ้าเป็นใคร? มาทำอะไรที่นี่?”
หยุนชางหลับตา กลืนน้ำลายแล้วดัดเสียงใหญ่กล่าวตอบ “ข้าน้อยเป็นชาวคังหยาง ต้องการหญ้าเจ็ดเซียนไปช่วยคน แต่ช่วงนี้ชายแดนไม่สงบนัก หญ้าเจ็ดเซียนนี้ก็ขึ้นเพียงที่หุบเขาชิงเฟิง ร้านขายยาในเมืองไม่มีของเช่นนี้ไปนานแล้วและไม่มีใครกล้าเก็บ ข้าน้อยจึงต้องพาเด็กรับใช้มาด้วยตนเอง…”