ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 290 ได้รับข่าวจิ้งอ๋องชนะศึก
เมื่อตื่นมาในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น หยุนชางก็ออกไปเดินเล่น จวนมีขนาดไม่ใหญ่นัก เพียงครู่เดียวนางก็เดินรอบแล้ว เมื่อกำลังเดินวนรอบที่สองก็เห็นหลิ่วหยินเฟิงเดินออกมาที่ชายคาบ้านแล้วมองมายังนาง ในมือมีขลุ่ยหยกของนางอยู่
หยุนชางตกใจ หรือว่าเขาดูอะไรออกแล้วหรือ? ไม่ควรเป็นเช่นนั้น ขลุ่ยหยกนี้มีขนาดเล็กมาก แม้ว่าจะเป็นหยกชั้นดี แต่ก็ไม่อาจนับได้ว่าเป็นของล้ำค่าแต่อย่างใด นางคิดพลางกล่าวทัก “เอ๊ะ ในมือของพี่ชายเป็นขลุ่ยหยกของข้าใช่หรือไม่?”
หลิ่วหยินเฟิงยกมือขึ้นมาดูแล้วพยักหน้า จากนั้นก็มองหยุนชางแล้วกล่าวว่า “ข้าเห็นว่าขลุ่ยหยกนี้เล็กนัก ดูท่าทางไม่น่าจะเป่าได้…”
หยุนชางยิ้มจนตาหยี “นี่เป็นของแทนใจของท่านพ่อกับท่านแม่” หยุนชางก้าวเข้าไปอยู่ด้านหน้าของหลิ่วหยินเฟิง แววตาคล้ายกำลังรำลึกความหลัง “ท่านแม่บอกว่าขลุ่ยหยกอันนี้ท่านตาได้ซื้อมาจากคนจากต่างแดน ขลุ่ยหยกอันเล็กน่ารัก สามารถเอามาใช้เป็นเครื่องประดับได้ ท่านแม่ชอบมากจึงขอมาจากท่านตา แต่ขลุ่ยอันนี้ออกจะเอาแต่ใจ ท่านแม่จะเป่าอย่างไรก็ไม่มีเสียง พ่อค้าที่ขายขลุ่ยนี้ให้ท่านตาบอกว่า ผู้ที่จะเป่าขลุ่ยนี้ต้องได้ต้องมีชะตาต้องกัน ต่อมามีครั้งหนึ่ง ท่านแม่ไปไหว้พระที่วัดแล้วทำขลุ่ยหยกนี้หายไป ตอนที่กลับไปหาก็ได้ยินเสียงขลุ่ยเบาๆ เมื่อตามเสียงนั้นไปก็เจอกับท่านพ่อที่กำลังเป่าขลุ่ยหยกของนางอยู่”
“อาจจะเป็นบุพเพสันนิวาสก็ได้ เพราะขลุ่ยนี้ท่านพ่อและท่านแม่จึงได้พบกัน” หยุนชางถอนหายใจ สายตามีแววคิดถึง “หลังท่านพ่อจากไปแล้ว ท่านแม่ก็ให้ขลุ่ยนี้กับข้า เพียงแต่ข้าก็เป่าไม่ดังเช่นกัน”
เมื่อคืนยามพ่อบ้านหลิ่วเก็บขลุ่ยหยกอันนี้ไป หยุนชางก็แต่งเรื่องไว้ ตอนนี้เมื่อนางพูดออกมาจึงดูไม่มีพิรุธ
เมื่อหลิ่วหยินเฟิงได้ยินเช่นนั้น เขาก็เอาขลุ่ยมาพินิจดูอีกครั้งแล้วจึงวางลงบนริมฝีปากเป่าดูอยู่ชั่วครู่ แต่เพียงเป่าได้ออกมาเป็นเสียง “ฟู่” เท่านั้น กลับทำให้หยุนชางตกใจมาก “เอ๊ะ มันดังด้วยหรือ ตอนข้าเป่าไม่มีเสียงใดๆ ออกมาเลยไม่ว่าจะใช้แรงเท่าใด”
ดูเหมือนหลิ่วหยินเฟิงจะรู้วิธีเป่ามันแล้ว เมื่อเป่าดูอีกครั้งก็ดูสบายขึ้นมาก เเม้ว่าจะเป็นเสียงไม่ปะติดปะต่อกัน แต่ก็พอฟังออกเป็นเพลง
หยุนชางมีสีหน้ายินดีขึ้นเรื่อยๆ นางยื่นมือไปขอขลุ่ยจากหลิ่วหยินเฟิงมาลองเป่าดูบ้าง แต่ก็ยังไม่มีเสียงออกมา หยุนชางเเสร้งทำเป็นใช้เเรงเป่าอย่างมากจนหน้าแดง แต่ก็ยังคงไม่มีเสียงออกมาเช่นเดิม
หลิ่วหยินเฟิงดูเหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์ สายตาของเขามองหยุนชางนิ่ง หยุนชางเอาขลุ่ยวางบนมือของเขาอย่างรำคาญใจ “ดูเหมือนว่าขลุ่ยนี้จะมีชะตาต้องกันกับพี่ชาย เพียงแต่ข้าไม่มีพี่สาวน้องสาว หากข้ามีพี่น้องก็คงยกให้แต่งงานกับพี่ชายได้”
หลิ่วหยินเฟิงคาดไม่ถึงว่านางจะกล่าวเช่นนี้จึงอึ้งไป สายตาที่มองหยุนชางกลับยิ่งดูลึกซึ้งขึ้นเล็กน้อย
“คุณชาย คุณชาย ลุงหลิ่วนำข้าวเช้ามาให้แล้วขอรับ รีบมาทานข้าวเถอะขอรับ” เสียงของเฉี่ยนอินดังแว่วมาพร้อมแฝงไปด้วยแววไม่พอใจ
หยุนชางถอนหายใจแล้วขานรับ “รู้เเล้ว” แล้วถึงโบกมือให้หลิ่วหยินเฟิงเล็กน้อย แล้วจึงหมุนตัวกลับไปทางห้องของตนเอง เมื่อไปถึงก็ได้ยินเสียงของเฉี่ยนอินบ่นไม่หยุด “คุณชาย ท่านคุยอะไรกับคนๆ นั้นหรือ เขาเป็นคนขังพวกเราไว้ที่นี่นะขอรับ”
หยุนชางยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่ได้ตอบนาง เพียงขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อครู่นางเห็นว่าชุดของหลิ่วหยินเฟิงชื้นอยู่เล็กน้อย เช่นนั้นน่าจะเป็นเพราะเปียกน้ำค้าง เมื่อวานเขาออกไปทั้งคืนเลยหรือ? หากไม่ได้กลับมาทั้งคืนแล้วเขาออกไปทำอะไรกัน เมื่อครู่หยุนชางอาศัยตอนเป่าขลุ่ยออกคำสั่งแก่สายลับโดยรอบ ขลุ่ยหยกไม่ได้อยู่ข้างกายนาง พวกเขาจะต้องมารายงานเรื่องต่างๆ ในวันนั้นให้นางรู้ในยามไฮ่ รวมไปถึงเรื่องการเคลื่อนพลและสถานการณ์ในค่ายทหารนอกเมืองคังหยาง
ที่ตอนนี้ในเมืองคังหยาง เรื่องที่หยุนชางถูกหลิ่วหยินเฟิงนำตัวไปกลับเพิ่งไปถึง
ในค่ายเต็มไปด้วยบรรยากาศเย็นยะเยียบ ไม่ว่าพวกเขาจะไม่ชอบหยุนชางอย่างไรแต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงไปได้ว่าหยุนชางคือองค์หญิงแห่งแคว้นหนิงและพระชายาของจิ้งอ๋อง ตอนนี้กลับหายตัวไปภายใต้จมูกของพวกเขา หากถูกจักรพรรดิหนิงและจิ้งอ๋องเอาเรื่องขึ้นมาคงจะร้ายแรงมาก
“ข้างกายพระชายามีสายลับอารักขาอยู่ ความปลอดภัยคงไม่มีปัญหา ยังไม่ต้องส่งข่าว ที่พระชายาทำเช่นนี้คงเป็นเพราะอยากสืบข้อมูลของฝ่ายศัตรู ตอนนี้พวกเราไม่อาจเปิดเผยความผิดปกติใดๆได้ องค์รัชทายาทแห่งแคว้นเซี่ยและหลิ่วหยินเฟิงก็รับมือไม่ง่ายเลย หากรู้ว่าพระชายาหายตัวไป อาจจะรู้ว่าผู้ที่อยู่ในมือของเขาก็คือพระชายา เมื่อถึงตอนนั้นพระชายาก็จะตกอยู่ในอันตรายจริงๆ เสียแล้ว” ฉีหล่างเอ่ยเสียงเบา ดวงตาฉายแววยุ่งยากใจ
“ในเมื่อใต้เท้าหาวิธีส่งข่าวมาอย่างยากลำบาก บอกว่าแคว้นเซี่ยจะบุกมาทางหุบเขาชิงเฟิง เช่นนั้นเราก็ควรทำตามที่ใต้เท้าได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ทำตามแผนของพระชายาก็เหมาะสมแล้ว” หลิวหัวกล่าวอย่างเคร่งขรึม ประกายตาลุกเป็นไฟด้วยความชื่นชมหยุนชางเป็นอย่างมาก
ฉีหล่างย่อมเห็นแววตานั้นของหลิวหัว ในใจก็รู้สึกหวาดหวั่น สีหน้าจึงยิ่งเย็นชา “ตอนนี้ใต้เท้าไม่อยู่ในค่าย ดังนั้นจึงเป็นพวกเราที่ต้องตัดสินใจ ในเมื่อแคว้นเซี่ยจะเข้าโจมตีจากหุบเขาชิงเฟิง ทำไมพวกเราจึงไม่นำกำลังทหารรวมไว้ที่นั่นแล้วรบกันตรงนั้นไปเลย? แบ่งกำลังเป็นสามกองช่างสิ้นเปลือง”
“หากเดิมพันผิดเล่า? ตอนนี้เร็วไปที่บอกว่าพวกเขาจะโจมตีที่หุบเขาชิงเฟิงอย่างแน่นอน หลิ่วหยินเฟิงพบใต้เท้าที่หุบเขาชิงเฟิง ไม่แน่ว่าอาจเปลี่ยนแผน อย่างไรแผนเดิมของใต้เท้าก็เหมาะกว่า ไม่ว่ากองทัพเเคว้นเซี่ยจะบุกมาจากทางไหนก็ไม่อาจรอดพ้นมือเราไปได้ แล้วยังสามารถฉวยโอกาสโจมตีค่ายทหารของเขาอีก สุดท้ายก็ขนาบโจมตีเข้าทั้งสองด้าน อย่างไรเช่นนี้ก็ดีที่สุดแล้ว” หวังชงออกความเห็น
ฉีหล่างคิดไม่ถึงเลยว่าเพียงไม่กี่วันคนของเขาที่เดิมทีจงรักภักดีต่อเขาอย่างมากกลับเปลี่ยนไป หน้าผากของเขามีเส้นเลือดกระตุกอยู่ชั่วครู่แล้วจึงตบโต๊ะ สายตาเย็นชากวาดมองหวังชงและหลิวหัว
ขุนพลที่อยู่ด้านข้างเห็นสถานการณ์ตึงเครียดถึงขีดสุดจึงรีบเอ่ยว่า “ที่แม่ทัพฉีว่ามาก็สมเหตุสมผลมากและแม่ทัพฉีก็ออกรบมาอย่างโชกโชน น้อยนักที่จะเกิดความผิดพลาด พวกเราเองก็เป็นคนที่แม่ทัพฉีสนับสนุนมา ย่อมต้องทำตามความประสงค์ของแม่ทัพฉี หนิงหยุนชางนั้นเป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง อาศัยที่ฐานะสูงส่งจนพวกเราแตะต้องไม่ได้มาพูดเรื่องไร้สาระ นั่นย่อมต้องเชื่อถือไม่ได้อยู่แล้ว”
ฉีหล่างจึงได้มีสีหน้าดีขึ้น เขากล่าวเสียงเย็น “วันนี้พอแค่นี้เถอะ พวกเจ้ากลับไปคิดดีๆ ว่าพวกเจ้าเป็นคนของใคร อย่าได้ใช้เพียงอารมณ์ชั่ววูบ หากเลือกยืนผิดข้างแล้ว เมื่อถึงเวลาอาจจะมีผลร้ายแรงตามมาก็ได้” เขาเอ่ยพลางสะบัดเเขนเสื้อออกจากกระโจมไป
เมื่อฉีหล่างจากไป ในกระโจมก็เงียบไปครู่ใหญ่ หวังชงจึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเองก็คิดว่าพระชายานั่นเป็นเพียงพวกความรู้น้อยด้อยประสบการณ์เท่านั้น เพียงแต่ช่วงที่ได้หารือกลยุทธ์กับนางเเล้วจึงได้รู้ว่าแม้ว่านางไม่เคยออกรบจริงๆ มาก่อน แต่ความรู้ด้านการทหารของนางนั้นเชี่ยวชาญเป็นอย่างมากและยังมีเข้าใจเกี่ยวกับเเคว้นเซี่ยเป็นอย่างดี ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น เมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ในหลายวันมานี้นางคอยสืบข่าวคราวโดยไม่หยุดหย่อน ทุกครั้งที่มีเรื่องใดก็จะมาปรึกษาหารือกับพวกเราอย่างกระตือรือร้นและให้ความสำคัญต่อความคิดเห็นของพวกเราเป็นอย่างมาก ไม่ว่าอย่างไรข้าก็เห็นว่านางเป็นคนเปี่ยมความสามารถ”
ในกระโจมเงียบไปอีกพักใหญ่ จากนั้นจึงมีคนเอ่ยขึ้นว่า “เพียงแต่อย่างไรแม่ทัพฉีก็มีบุญคุณต่อเรา ต่อไปในภายหน้าพวกเราก็ยังต้องทำงานให้เขา พระชายาเพียงมาที่นี่ชั่วคราวเท่านั้น หากพวกเพียงทำให้แม่ทัพฉีขุ่นเคืองใจด้วยเรื่องเช่นนี้ก็คงไม่ดีนัก…”
หวังชงกระทืบเท้าอย่างแรง “เมืองคังหยางสงบสุขมาหลายสิบปีแล้ว ออกรบงั้นหรือ? ยามปกติที่พวกเราสู้ด้วยก็มีเพียง โจรขโมยเล็กๆน้อยๆเท่านั้น มีสงครามเช่นนี้ที่ไหนกัน? แค่เพียงคำว่าไม่ดีคำเดียวนี้ก็อาจทำให้ไม่เหลือแม้แต่ชีวิต แล้วยังจะมีเรื่องขุ่นเคืองใจอะไรได้อีก!”
เมื่อหวังชงพูดจบ เขาก็เหลือบมองทุกคนแล้วเดินออกจากกระโจมไป หลิวหัวชะงักไปเล็กน้อยแล้วจึงตามหวังชงออกไป
“พี่หวัง ไปกันเถอะ พวกเราไปดื่มที่หอยวี่หมั่นกันสักหน่อยไหม?” หลิวหัวตามมาจนทันหวังชงแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
โทสะของหวังชงยังไม่จางหายไป เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็มองเขาอย่างข้องใจแล้วจึงพยักหน้า “ดี ไปดื่มกันเถอะ ตกลงกันเเล้วนะว่าเจ้าเลี้ยง”
หลิวหัวสีหน้าจนปัญญา แล้วกล่าวยิ้มๆ “ได้ ข้าเลี้ยงเอง เมื่อไหร่คนขี้เหนียวอย่างเจ้าจะใจกว้างขึ้นมาได้นะ?”
ทั้งสองหัวเราะพลางเดินตรงไปในเมือง
ความขัดแย้งในค่ายในวันนั้นถูกสายลับนำมารายงานหยุนชางในตอนกลางคืน หยุนชางก้มหน้าลงมองหนังสือในมือแต่กลับดูเหม่อลอยเล็กน้อย นางไม่แปลกใจเลยที่ฉีหล่างจะคัดค้านความคิดของนาง แต่นางประหลาดใจเล็กน้อยที่หวังชงกลับเข้าข้างนาง ในใจจึงรู้สึกซาบซึ้งเล็กน้อย คิดไปว่าความพยายามของนางในหลายวันมานี้ไม่ได้สูญเปล่าไปเสียทีเดียว ในใจจึงคิดได้ว่าที่เหล่าแม่ทัพกังวลใจเป็นเรื่องที่หลังจบสงครามไปแล้ว นางจะต้องจากชายแดนไป พอถึงเวลานั้นเมืองคังหยางก็ยังคงเป็นของฉีหล่าง หากเป็นเพราะสนับสนุนนางและทำให้ฉีหล่างไม่พอใจ หลังนางจากไปแล้ว พวกเขาคงไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขแน่
หยุนชางยิ้มบางๆ ระยะนี้นางดูสถานการณ์ของเมืองคังหยางโดยละเอียด ชาวเมืองคังหยางเคารพบูชาฉีหล่างอย่างหน้ามืดตามัว นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่ เดิมนางก็คิดว่าหลังสงครามจบลงแล้วจะให้เสด็จพ่อโยกย้ายฉีหล่างออกจากเมืองคังหยาง นางต้องคิดวิธีบอกให้เหล่าเเม่ทัพเหล่านั้นรู้ให้ได้ เพียงแต่ขลุ่ยหยกอยู่ที่หลิ่วหยินเฟิง นางจะเอาคืนมาได้อย่างไร? หยุนชางคิดอย่างยุ่งยากใจ