ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 293 สงครามได้เริ่มขึ้นแล้ว
กองทัพแคว้นเซี่ยนำทัพออกมาแล้ว
ฉีหล่างพลันกำกระบี่ข้างเอว ใบหน้าแสดงออกถึงชัยชนะ พลางมองไปยังพลทหารทั้งหลายพร้อมพูดว่า “พลทหารทั้งสามแสนนาย เตรียมจัดทัพ! พวกเราจะออกไปต่อสู้แล้ว”
เหล่าทหารพลันตอบรับและเตรียมพร้อมอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย หากแต่ฉีหล่างมิทันได้เห็น นายพลที่อยู่ด้านหลังพลันแอบกรอกตาไปมา ดูเหมือนว่า ฉีหล่างจะไม่ทำตามแผนของหยุนชางที่วางไว้เป็นแน่ เมื่อคืนก่อน พวกเขาพลันได้รับข่าวสารเกี่ยวกับกองทัพเซี่ย นับเป็นโชคดีที่นายพลได้รับจดหมายมาจากหยุนชาง พลางกล่าวว่า ไม่ว่าศึกนี้จะชนะหรือแพ้ จากนี้ฉีหล่างก็จะไม่อาศัยอยู่ในเมืองคังหยางอีกต่อไป
พวกเขาทั้งหมดพลันไม่ค่อยเข้าใจความหมายของหยุนชางเท่าใดนัก องครักษ์เงาจึงขยายความให้ว่า หากว่าศึกนี้ฉีหล่างทำสำเร็จ เขาจะได้รับรางวัลและถูกย้ายออกจากคังหยาง. หากศึกนี้พ่ายแพ้แล้วนั้น เขาจักต้องอยู่รับผิดชอบอยู่ที่นี่ เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็จะถูกปลดออกจากตำแหน่ง
พวกเขาพลันเข้าใจคำพูกดของหยุนชางแล้ว พวกเขาจึงไม่ต้องกังวลกับการละเมิดคำสั่งของฉีหล่างหลังจากนี้พวกเขาคงจะได้รับความเคียดแค้นของฉีหล่างเป็นแน่ แม้ว่าความสัมพันธ์จะแตกหัก ทว่าเขากลับพร้อมที่จะเดิมพันกับมัน หยุนชางแม้จะไปสตรีของประเทศ ทว่าก็ยังเป็นถึงองค์หญิง จักรพรรดิกล้าให้นางมายังคังหยางเพื่อนำทัพแล้ว ต้องรู้ว่าเป็นที่รักใคร่เพียงใด อีกทั้งยังมีอีกตัวตนหนึ่งคือ พระชายาของจิ้งอ๋อง จิ้งอ๋องเป็นถึงเทพเจ้าสงครามของแคว้นหนิงเชียว อีกทั้งฉีหล่างยังมิได้จับดาบสู้รบบมาหลายปีแล้ว นั้นถือเป็นความเชื่อมั่นของกองทัพหนิงเลยทีเดียว หากได้เข้ารับใช้พระชายาจิ้งอ๋อง และได้ย้ายไปอยู่ข้างจิ้งอ๋องแล้วไซร์ นั้นนับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง
ถึงแม้ว่าในค่ายทหารเมืองคังหยาง ยศของพวกเขาจะไม่ได้ต่ำ ทว่าในค่ายทหารแห่งนี้ก็ยังมีการแบ่งพักพวกอย่างชัดเจน คนที่ฉีหล่างให้ความเชื่อใจ มีเพียงสองสามคน พวกเขาไม่พอใจกับสิ่งนี้มานานแล้ว ทว่าคำพูดของหยุนชาง กลับทำให้พวกเขามีความหวังขึ้นมา
หยุนชางยังเข้าใจถึงการแบ่งพักพวกในค่ายอย่างโจ่งแจ้ง ทว่าเป้าหมายนี้มิใช่ลูกน้องคนสนิทของฉีหล่าง ดังนั้น ฉีหล่างจึงเพิกเฉยกลับเพิกเฉยต่อเรื่องนี้
เมื่อพวกเขามารวมตัวจัดกองทัพแล้ว ทหารสามแสนนายเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว ฉีหล่างพูดให้กำลังใจไม่กี่คำ แล้วให้นายกองทั้งหมดเตรียมตัวนับคน. พร้อมทั้งเตรียมตัวออกเดินทาง
เมื่อกลับมาที่ค่ายทหาร นายพลท่านหนึ่งพลันพูดขึ้นมาว่า “สายลับแคว้นเซี่ยที่อยู่ในกองทัพ. พวกเราเตรียมพร้อมใหญ่โตขนาดนี้ เกรงว่าฝั่งกองทัพแคว้นเซี่ยคงได้รับข้อมูลแล้วกระมัง ถ้าเช่นนั้นพวกเราแบ่งกองกำลังดีหรือไม่ มันจะเป็นการดีหากเราแบ่งกันไปซุ่มโจมตีศัตรู เมื่อพากองทัพขึ้นไปบนหุบเขาชิงเฟิงแล้วค่อยแยกกันดีหรือไม่”
ฉีหล่างพยักหน้าทันควัน “ถ้าเช่นนั้นเรากองกำลังเป็นสามกลุ่ม กลุ่มละแสนนาย เมื่อขึ้นไปยังหุบเขาชิงเฟิงค่อยแยกย้าย”
เมื่อได้ผลลัพธ์ที่ต้องการแล้ว ฉีหล่างและคนสนิทของเขาจึงนำทัพไปยังหุบเขาชิงเฟิง ส่วนหลิวหัวและนายพลอีกคนนำทัพออกมาด้านซ้าย หวังชงและนายพลอีกคนนำทัพออกมาด้านขวา
นายพลอีกคนที่นำทัพมากับหลิวหัวคือหยวนฉี ซึ่งเป็นคนสนิทของฉีหล่างอีกคนหนึ่ง ทว่า นายพลอีกคนที่นำทัพไปกับหวังชงคือหวังเยี่ยน เมื่อเทียบกันแล้วเขาสนิทใจกับหวังชงมากกว่า หวังชงและหลิวหัวพลันสบสายตากันสื้อถึงนัยยะบางอย่าง หลิวหัวพลางพยักหน้า หวังชงจึงยิ้มตอบกลับ “ให้นายพลฉีนำทัพกลางก่อน แล้วค่อยให้อีกนายพลอีกคนปิดท้ายแถว”
ฉีหล่างมิได้สงสัยอันใดในตัวพวกเขาเลย พลางพยักหน้าและเดินออกไปคนแรก
พวกเขาที่อยู่ด้านหลังสี่คน จึงเดินตามไป ฉีหลางขี่ม้านำทัพโดยทหารอารักขารอบตัวเขาพลางนำทัพใหญ่ออกไป ถึงหนึ่งแสนนาย พลันใช่เวลาเพียงครึ่งชั่วยามก็ออกไปจนหมด
หลิวหัวพลางยิ้มน้อย ๆ พร้อมพูดกับหยวนฉีว่า “พวกเราไปกันเถอะ ” พูดจบจึงขึ้นไปบนหลังม้า พร้อมตะโกนว่า “พี่น้องข้า. ไปกันเถอะ”
กองทัพใหญ่เคลี่อนพลไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ เป็นไปตามแผนที่วางไว้ หลิวหัวออกจากค่ายทหารพลันเคลื่อนทัพไปทางขวาใช้เวลาถึงสามชั่วยาม เมื่อถึงทางลาดชิวหลงจึงเลี้ยวซ้าย พลางเดินไปได้สี่ชั่วยาม จึงล้อมลอบหุบเขาชิงเฟิงได้
ทว่าเมื่อมาถึงทางลาดชิวหลง หลิวหัวมิได้เลี้ยวตาม และยังคงเดินไปด้านหน้าอย่างต่อเนื่อง เมื่อหยวนฉีที่อยู่ตรงกลางรับรู้ว่า ทัพใหญ่ได้เดินผ่านแยกมาได้ครึ่งชั่วโมงแล้ว หยวนฉีพลันขมวดคิ้วลง พลันคิดว่าหลิวหัวลืม. จึงรีบร้อนชักม้ามายังด้านหน้าของทัพ เพื่อมาพบกับหลิวหัวแล้วพูดว่า “นายพลหลิวอย่าลืม. ว่าเราต้องเลี้ยวซ้ายที่ทางลาดชิวหลง”
หลิวหัวพลางชักม้ามาหาหยวนฉี จึงลูบท้ายทอยเบา ๆ ว่า “โอ้ ข้าลืมไปเสียสนิท เมื่อครู่ข้าพลางคิดว่าเราจะเอาชนะศัตรูในพื้นที่ราบได้อย่างไร จนลืมเลี้ยวซ้ายไปเลย ”
เมื่อพูดจบจึงเรียกให้พลทหารอารักขาจากด้านหลังมาหา “เจ้ามานี่ !”
เมื่อทหารอารักขามาถึง 20 นายพลางชักดาบไปที่คอหยวนฉี
หยวนฉีตกใจเพียงชั่วครู่ ดวงตาพลันเบิกกว้าง “หลิวหัวทำไมเจ้าทำเช่นนี้ ? เจ้าแปรทัพงั้นหรือ ?”
ใบหน้าของหลิวหัวเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มพร้อมจ้องมองมายังหยวนฉี “สิ่งที่นายพลหยวนพูดนั้น ไม่ใช่ว่าเป็นเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าหรอกหรือ ท้ายที่สุดแล้ว วิธีการของพระชายาจิ้งอ๋องถือว่าปลอดภัยถึงเป็นที่สุด หากแต่นายพลฉีท่านยืนยันจะไปตามทางของตนเอง เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาด. ก็ต้องมีคนที่ต้องเสียสละมัน”
ใบหน้าของหยวนฉีสั่นเล็กน้อย พลางขบฟันตนเอง “เจ้า มิใช่ว่าโดนนางแม่มดนั้นสะกดจิตแล้วงั้นหรือ ? เป็นเพียงสตรีห้องหอ. จะมารู้จักแผนการรบได้อย่างไร ทำไมถึงไม่อยุ่บ้านเลี้ยงลูกและดูแลสามีของนางให้ดี จักต้องมาอวดโฉมใบหน้าในสนามรบทำไมกัน”
หลิวงหัวพลางหัวเราะออกมา “ฮ่าฮ่า ไม่ว่าเจ้าจะพูดอย่างไร ก็เป็นแค่คำพูดเท่านั้น”
“เจ้ามิกลัวข้าจะเอาไปบอกนายพลหรือ ?” หยวนฉีจ้องเขม็งไปยังหลิวหัว
หลิวหัวพลันเลิกคิ้วขึ้นแสร้งว่ากำลังพิจารณาคำพูดของหยวนฉีอย่างจริงจัง พลันตอบกลับมาว่า “รู้สึกกลัวอยู่เล็กน้อย ทว่า. คนตายพูดไม่ได้”
หยวนฉีพลันตกตะลึง ในแววตาเต็มไปด้วยตวามหวาดกลัว “เจ้าจะฆ่าข้าหรือ ? ที่นี้มีทหารเต็มไปหมด เจ้ากล้าหรือ?”
หลิวหัวจึงหัวเราออกมาอย่างดัง “หยวนฉีอาหยวนฉี เจ้าทำไมช่างไร้เดียงสาขนาดนี้ เจ้าไม่เห็นหรือ ? ข้าตั้งใจเอาทหารอารักขาของข้ามาไว้แถวหน้า เพื่อรอให้เจ้ามาอย่างไรล่ะ ทหารพันนายที่อยู่ข้างหน้านี้ เป็นข้าที่คอยดูแลเขาทั้งหมด เจ้าคิดว่าพวกเขาจะหักหลังข้างั้นหรือ ?”
หยวนฉีพลันขบฟันไปมา มิกล้าพูดอะไรอีก
หลิวหัวพลันอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก จึงสั่งให้คนมามัดฉีหลาง แล้วโยนเข้าไปในพุ่มไม้ พลางเรียงรองนายพลออกมาว่า “เจ้าพาทหารห้าหมื่นนายด้านหลังไปยังชุนเฟิงตู้ หากมีคนถามให้บอกไปว่า นายพลฉีบอกว่ามีศัตรูอยู่ที่ชุนเฟิงตู้ ดังนั้นจึงให้เราส่งคนไปที่นั่น ห้าหมื่นนาย”
รองนายพลพลันรับคำสั่งอย่างรวดเร็ว และรีบเดินไปยังด้านหลัง เพื่อพาคนไปยังชุนเฟิงตู้
ทว่าหวังชงและหวังเยี่ยนยังมิทันได้นำทัพออกจากค่ายตามคำขอของฉีหล่าง. พวกเขาพลันไปที่จุดรวมพล พร้อมประกาศว่า “แผนมีการเปลี่ยนแปลง ท่านนายพลสั่งให้เรารออยุ่ที่ค่ายเพื่อเป็นกำลังเสริม ”
เมื่อประกาศจบ หวังชงและหวังเยี่ยนพลางเดินกลับมาในค่ายทหาร “นับเป็นโชคดีที่ฉีหล่างนำทหารคู่ใจของเขาไปด้วยทั้งหมด ทั้งคุณชายฉีทั้งสองก็ไปด้วย หากมาอยู่ในกองทัพของเรา เราต้องลำบากกันแน่”
หวังชงเงียบไปชั่วครู่พลางหัวเราะออกมา “ใช่แล้ว ทว่า หวางเฟยช่างคาดเดาได้อย่างแม่นยำเสียจริง แม้แต่การวางกำลังคนของฉีหล่างนางยังเดาได้ถูกต้อง”
หวางเยี่ยนพยักหน้ารับคำ เมื่อนึกถึงใบหน้าของสตรีผู้นั้น พลันสายตาเต็มไปด้วยความชื่นชม “ต้องขอบคุณคำแนะนำของท่านพี่ชาย. ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าหวางเฟยจะเก่งกาจในการสู้รบด้วย”
ทั้งสองคุยกันไประหว่างทางจนถึงค่ายทหาร
เมื่อฉีหลางมาถึงยังล้อมรอบของหุบเขาชิงเฟิงแล้ว เขาจึงสั่งให้ทุกคนพักผ่อนเพื่อรออีก สองกองทัพที่กำลังตามมา ทว่าเมื่อรอนานกว่าสองชั่วโมงแล้ว ก็ยังไม่เห็นวี่แววของกองทัพที่เหลือ
ฉีหลางพลันขมวดคิ้วลง พลางได้ยินรองนายพลพูดว่า “ทำไมท่านนายพลยังไม่มาอีก? เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะพบศัตรูระหว่างทาง?”
ความกังวลพลันพาดผ่านขึ้นมาในดวงตาของฉีหลาง ทว่าเขากลับเก็บมันไปอย่างรวดเร็ว ทว่าภายในใจยังรู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อย ตามกำหนดการพวกเขาควรจะต้องมาถึงแล้ว หรือว่าจะเจอศัตรูจริง ๆ งั้นหรือ หากเจอศัตรูก็น่าจะส่งสัญญาณมาบอกกันก่อน
ทำไมมันถึงสงบแบบนี้ อีกทั้งยังไร้วี่แววจากศัตรูด้วย
เมื่อเวลาผ่านไปทีละนิด ใบหน้าของฉีหลางพลางหน้าเกลียดขึ้นเรื่อ ๆ หลังจากที่รอมานานกว่าสามชั่วยามแล้ว และเขาไม่สามารถรอต่อไปได้อีก หากรอต่อไปเกรงว่าจะโดนกองทัพแคว้นเซี่ยจับไปได้ จึงสั่งทัพใหญ่ย้ายเข้าไปในหุบเขาชิงเฟิง
ทว่าภูมิศาสตร์ของหุบเขาชิงเฟิงนั้นเต็มไปด้วยความซับซ้อน แม้ว่าจะเป็นหุบเขา ทว่าก็ยังมีลำธาร และป่าไผ่ รวมทั้งเฟิร์นอีกด้วย เป็นที่ที่เหมาะกับการลอบซุ่มโจมตีเสียจริง ทว่าภูเขาทั้งสองลูก มีความสูงชัน จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่กองทัพของศัตรูจะขึ้นไปลอบซุ่มโจมตีได้
หลังจากผ่านเข้าสู่หุบเขาชิงเฟิงไปได้แล้ว ฉีหล่างจึงจัดทัพให้รอซุ่มโจมตี ตามแผนที่หยุนชางได้วางเอาไว้ เขาจึงทำได้แค่รอกองทัพแคว้นเซี่ยปรากฏตัวและ รอทำตามแผนที่วางไว้ นั่นจึงทำให้เขาพอใจเป็นอย่างมาก
ตามที่องครักษ์เงาของหยุนชางบอกมา กองทัพแคว้นเซี่ยได้ออกมาสักพักแล้ว จากการสำรวจรอยเท้าของพวกเขานั้น พวกเขาจะไปถึงในอีกหนึ่งชั่วยาม
ทุกคนล้วนซ่อนตัวอยู่ภายในธรรมชาติทุกหนทุกแห่ง ไม่แม้แต่จะกล้าเปล่งเสียงออกมา ฉับพลันได้ยินเสียงเกือกมาแล้วเสียงพูดคุยเบา ๆ มาตามแรงลม……….