ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 296 จิ้งอ๋องมาช่วยหยุนชาง
แม้กองทัพแคว้นเซี่ยจะเต็มไปด้วยผู้คน ทว่ากองกำลังห้าหมื่นนายของหลิวหัวนั้นก็ได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ครั้งสุดท้ายที่ต่อสู้เพื่อล้อมกำลังปิดล้อมนั้น ในตอนนี้เหลือกำลังพลไม่ถึงหนึ่งหมื่นนายเสียด้วยซ้ำ
ความสามารถในการซุ่มโจมตีของกองทัพแคว้นเซี่ยนั้น เป็นผลมาจากแผนที่ภูมิประเทศของหุบเขาชิงเฟิงที่หยุนชางวาดขึ้น ภายในบ่งบอกถึงรายละเอียดของพื้นที่ในหุบเขา แม้กระทั่ง มีบางส่วนที่หยุนชางสั่งให้คนไปสำรวจและลอบวางกับดักไว้ทั่วทุกที่แล้วเสร็จ หลิวหัวจึงใช้กับดักพวกนี้เพื่อหนีจากการถูกล้อมของกองทัพแคว้นเซี่ยกลับมายังค่ายทหารได้ ก็เหลือเหล่าทหารไม่ถึงพันนายแล้ว
เมื่อกลับมายังค่ายทหาร ฉีหล่างพลันยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน”พวกเจ้าชั่งปีกกล้าขาแข่งเสียจริง เจ้าละเลยวินัยทางการทหารอีกทั้งยังฝ่าฝืนคำสั่งของนายพลอีก ”
หลิวหัวขมวดคิ้ว ชุดเกราะยังไม่ถูกถอดออกเสียด้วยซ้ำ จึงชักดาบออกมาพลางเดินเข้าไปด้านใน “นายพลฉี ใครกันที่ละเลยวินัยทางการทหาร ? ผู้บังคับบัญชาได้เตรียมการไว้อย่างชัดเจนแล้ว ท่านแค่ไม่เคารพต่อผู้บัญชาการ และยังทำเกินเลยหน้าที่ตนเองอีก นายพลฉีท่านรู้ตัวดี วันนี้ที่หุบเขาชิงเฟิง ที่ยอดเขาหลิวหยุน พวกเราพบกับศัตรูนับไม่ถ้วน หากมิใช่ว่ามีกองกำลังห้าหมื่นนายท่านรองผู้บัญชาการ และกำลังเสริมอีกนนึ่งแสนนายของนายพลหวังแล้ว เกรงว่ากองทัพของเราคงแตกพ่ายเป็นแน่ อีกทั้งค่ายทหารแห่งนี้ก็จะมิใช่ของเราอีกต่อไป”
ฉีหลางเมื่อได้ยินดังนั้นใบหน้าพลันถอดสี มือพลันตบไปที่โต๊ะอย่างดัง
“ผิดแล้ว พวกเจ้าทำพลาดไปแล้ว ! พวกเจ้ามาดูนี่ นำกฏหมายทหารมา ข้าจะให้พวกเจ้าดู วันนี้ใครเป็นผู้นำทัพกัน”
เมื่อฉีหล่างพูดจบลง พลางสังเกตุเห็นองครักษ์เงาเปิดม่านเดินเข้ามา สีหน้าของฉีหล่างพลันเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่น่าเกลียด “ที่นี่คือค่ายทหาร แม้ว่าเจ้าจะเป็นองครักษ์เงาของเจ้าหญิง ก็ไม่สามารถเดินเพี้ยนพ่านในค่ายทหารแห่งนี้ได้”
องครักษ์เงามิได้สนใจฉีหล่างแต่อย่างใด จึงพูดขึ้นมาว่า “ท่านอ๋องจิ้งสั่งการมาว่า ขอให้ท่านนายพลทั้งหลายจัดการค่ายทหารให้ดี ไม่เกินย่ำรุ่งพรุ่งนี้ ท่านจักพาหวางเฟยกลับมา”
ภายในค่ายทหารนอกจากหวังชงและหวังเยียนแล้ว ทุกคนพลันตกอยู่ในความตะลึงอย่างเห็นได้ชัด หวังชงจึงลูบที่ปลายจมูกตัวเอง. พร้อมบอกว่า”เมื่อกองทัพทั้งหมดออกไปจากค่ายแล้ว จิ้งอ๋องก็เข้ามายังค่ายทหาร ทว่าเมื่อได้ยินว่าหวางเฟยถูกหลิ่วหยินเฟิงจับตัวไป จึงรีบร้อนออกจากค่ายทหารไปทันที คงจะไปช่วยหวางเฟยกระมัง”
ทุกคนล้วนแต่แสดงสีหน้าที่แตกต่างกันไป ฉีหล่างพลันกำมือแน่น ใบหน้าพลันหน้าเกลียดมาก เพียงผ่านไปชั่วครู่จึงจ้องมองมาที่หวังชงและหวังเหยียน “ดี ! ดี ! ดี !พวกเจ้าทำได้ดีจริง ๆ ! ข้ากำลังคิดอยู่ว่าทำไมพวกเจ้ากล้าได้ขนาดนี้ ที่แท้พวกเจ้ามีคนคอยคุ้มหัวให้แล้วนีjเอง ” เมื่อพูดจบจึงหันกายเดินจากไปค่ายทหาร พลางปิดประตูเสียงดัง “ปั้ง”
เมื่อผ่านไปได้ชั่วครู่ หลิวหัวจึงมองไปยังหวังชง สายตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “ท่านอ๋องมาที่นี่จริง ๆ งั้นหรือ ? ”
หวังชงพยักหน้า “เรื่องจริงสิ ข้าจะหลอกเจ้าทำไมกัน?”
“ถ้าเช่นนั้นจิ้งอ๋องรูปร่างเป็นเช่นไร ? ข้าได้ยินมาว่าจิ้งอ๋องเป็นชายงามในแคว้นหนิงที่ยากจะหาพบ ท่านเหมือนหนุ่มหน้าหยกหรือไม่?”หลิวหัวรีบร้อนถามคำถาม
“ใบหน้าหรือ จิ้งอ๋องหน้าตาค่อนข้างดี มิใช่หล่อเหลาดั่งเช่นคุณชาย ทว่ากลับดูเป็นชายหนุ่มที่แข็งแกร่ง อีกทั้งยังเย็นชาเล็กน้อย “หวังชงพลันหัวเราะขึ้นมาว่า “เจ้าตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น หากเจ้าเป็นสตรีละก็ ข้าคงคิดว่าเจ้าชอบจิ้งอ๋องเสียแล้ว หากแต่เจ้ามิใช่สตรี เจ้าจะถามถึงใบหน้าของจิ้งอ๋องไปทำไมกัน ?”
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยุนชางยังอาการสาหัส จึงไม่รู้ว่าจิ้งอ๋องมาถึงชายแดนแล้ว หลิ่วหยินเฟิงยังมิได้กลับมา เฉียนยินมองไปยังร่างบนเตียงที่ยังมิได้สติ พร้อมกับถอนหายใจออกมา หวางเฟยท่านจะตื่นเมื่อใดกัน
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงลุงหลิวดังขึ้นมาจากด้านนอก “มีคนบุกเข้ามาในเขาวงกต เจ้าปกป้องคุณชายเซียวให้ดีและอย่าได้ออกมา ข้าจะออกไปดูหน่อย”
เฉียนหยินพลันตกตะลึงไปสักพัก เมื่อเดินออกมาจากฉากกั้น ก็มิพบร่างของพ่อบ้านหลิ่วแล้ว ในสมองกำลังคิดถึงคำพูดของพ่อบ้านหลิ่วเมื่อครู่. มีคนเข้ามาในเขาวงกต? เฉียนอินขมวดคิ้วลง เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นศัตรูของหลิ่วหยินเฟิงที่บุกเข้ามา? หวังว่าคน ๆ นั้นจะช่วยพังทะลายวงกตบ้า ๆ นี้ลงซะ หากเป็นเช่นนั้นแล้วจะได้ให้องครักษ์ช่วยพาหวางเฟยหนีออกมาได้ หลังจากกลับไปได้นั้น นางจะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับค่ายกลให้ชำนาญมากขึ้น และจะไม่ทำให้หวางเฟยตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้อีก
เฉียนหยินคิดในใจเพียงช่วยครู่ แล้วจึงนำผ้าห่มขึ้นมาห่ม อากาศเริ่มเย็นลงอเมื่อมาคิด ๆ ดู ก็เริ่มเข้าสู่เดือนสิบสองแล้ว มิรู้ว่างานส่งท้ายปีนี้จะจัดขึ้นที่เมืองหลวงหรือไม่ ? อีกทั้งยังเป็นวันครบรอบงานแต่งงานปีแรกของจิ้งอ๋องและหวางเฟยอีกด้วย มันจักต้องเป็นวันที่พิเศษวันนึง
ทว่าเมื่อดึงสติกลับมาได้ กลับได้ยินเสียงการต่อสู้ดังขึ้นมาจากข้างนอก ภายในใจของเฉียนยินอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก เมื่อก้าวออกไปยังนอกประตูพลางมองไปยังประตูตำหนักนั้น พลันเห็นว่าในวงกตโบราณนั้นมีร่างคนกำลังขยับไปมาเต็มไปหมด เฉียนยินกลับมองเห็นเป็นเพียงลาง ๆ เท่านั้น เมื่อกวาดสายตามองรอบ ๆ แล้ว จึงหันกายถอยกลับเข้าห้อง พ่อบ้านหลิ่วพูดถูก หน้าที่ของเธอคือปกป้องหวางเฟย
เมื่อกลับเข้ามาภายในห้องนั้น พลันได้ยินเสียงการติดต่อขององครักษ์เงามาจากรอบ ๆ แววตาของเฉียนยินพลันเปล่งประกาย หรือจะเป็น องครักษ์เงามาช่วงหวางเฟยกัน
เฉียนอินไม่สามารถยับยั้งความสุขภายในใจได้ จึงรีบตอบกลับไปว่า “ข้างนอกใช่พี่น้ององครักษ์เงาหรือไม่ ข้าเองเฉียนยิน”
พลางมีจดหมาส่งมาว่า “ท่านอ๋องมาแล้ว. เฉียนยินพาหวางเฟยออกมา”
เฉียนยินพลันดีใจขึ้นมา ท่านอ๋องมาแล้ว หากว่าจิ้งอ๋องมาได้แล้ว เป็นไปได้ว่า พวกเราจักสามารถออกไปได้แน่นอน เฉียนยินพลางครุ่นคิด พร้อมทั้งค่อย ๆ พยุงหยุนชางขึ้นมาแบกไว้ด้านหลัง เกรงว่าหยุนชางจะหนาว นางจึงนำผ้านวมมาห่อตัวหยุนชางเข้าด้วยกัน
เมื่อแบกหยุนชางออกมาจากตำหนักได้แล้ว สายตาของเฉียนยินเต็มไปด้วยความคาดหวังถึงร่างของผู้คนในเขาวงกต ในใจมิได้มีความรู้สึกกังวลเลยว่าจิ้งอ๋องจะไปไม่สามารถทำลายค่ายกลแปลกๆ นี้ออกมาได้ อีกทั้งในแคว้นหนิง ในใจของผู้คนทั้งหลายคงคิดว่า ไม่มีสิ่งใดที่จิ้งอ๋องจะทำไม่ได้อีกแล้ว
เมื่อผ่านไปถึงครึ่งก้านธูป ร่างสีดำพลันเดินออกมาจากวงกต เงาภายในวงกตค่อย ๆ ปรากฏตัวชัดขึ้น จนเฉียนยินสามารถมองเห็นได้ชัดเจน พ่อบ้านหลิ่วถูกองครักษ์เงาล้อมไว้ได้ และค่อยๆถอยห่างออกไปเรื่อย ๆ
เขาวงกตถูกทำลายลงแล้ว ในใจของเฉียนยินรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
สติยังมิทันได้กลับมา พลันได้ยินเน้ำเสียงเย็นชาของจิ้งอ๋องดังขึ้นมาว่า “เกิดอะไรขึ้นกับหวางเฟย?”
เมื่อเฉียนหยินรู้สึกตัว พลันจิ้งอ๋องก็มาอยู่ตรงหน้าของนางแล้ว สายตาจ้องไปยังสตรีที่อยู่ด้านหลังของเฉียนยิน ใบหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา
เฉียนยินรีบวางหยุนชางลง และใช้มือพยุงนางพร้อมกับพูดด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “ไม่กี่วันก่อน หลังจากหลิ่วหยินเฟยออกไปแล้ว หวางเฟยอยากลองเข้าไปในเขาวงกตดู ทว่าไม่ได้ทันระวังจึงบังเอิญไปถึงประตูแห่งความตายแล้ว พลันถูกควันพิษโจมตี แม้ว่าจะได้ดื่มยาถอนพิษไปแล้ว ทว่าควันพิษมีฤทธิ์รุนแรงเป็นอย่างมาก หวางเฟยจึงหมดสติไป”
จิ้งอ๋องเงียบไปชั่วครู่ สายตาเต็มไปด้วยความอาฆาต จึงเอื้อมมือมาโอบหยุนชางไว้ในอ้อมกอดและเดินจากไป
ภายในใจของเฉียนยินราวกับถูกกระแทก ใบหน้าของจิ้งอ๋องดูเหมือนว่าจะโกธร ? แม้ว่าหยุนชางและจิ้งอ๋องจะตบแต่งกันเพียงไม่กี่เดือน ทว่าเฉียนยินเป็นสาวใช้ข้างกายของหยุนชาง ติดต่อกับจิ้งอ๋องก็ไม่น้อย แต่นางยังไม่สามารถเข้าใจถึงความคิดของท่านอ๋องได้ เมื่อครู่แม้จะได้เห็นสีหน้าของท่านอ๋อง ก็รับรู้ได้เลยว่าท่านอ๋องโกธรเป็นอย่างมาก
เฉียนยินกัดปากตัวเองและแอบกรีดร้องออกมา. ในขณะที่ท่านอ๋องโกธร เกรงว่าท่านอ๋องจะไปคิดบัญชีกับหวางเฟยแทน แม้ตอนนี้หวางเฟยจะยังมิทันได้สติ เกรงว่าจะมีคนที่รับการทรมาน ได้แต่หวังว่า คนที่จะต้องโดนทรมานจะไม่ใช่นาง เมื่อสติพลันกลับมาแล้ว จึงรีบร้อนเดินตามไป
ท่านอ๋องอุ้มหยุนชางขึ้นรถม้า พลางปรับท่านั่งเพื่ออุ้มหยุนชาง เพียงแค่โอบกอดนางไว้ภายในอ้อมแขน จึงยกแส้ขึ้น และรีบร้อนควบม้าออกไป
เมื่อเฉียนหยินวิ่งมาถึง ก็เห็นเพียงร่างที่นั่งอยู่บนรถม้าจากไปไกลแล้ว พรางร่ำให้ภายในใจว่า “ท่านอ๋อง นู๋ปี๋ยังอยู่ที่นี้ ได้โปรดอย่าทิ้งข้าไว้”
จิ้งอ๋องเป็นห่วงร่างกายของหยุนชางเป็นอย่างมาก เพียงแค่ขี่ม้านุ่มขึ้นเท่านั้น แต่ความเร็วมิได้ช้าลงเลย เพียงผ่านไปห้าชั่วยาม ก็มาถึงค่ายทหารนอกเมืองคังหยางแล้ว