ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 299 สามีภรรยา(๒)
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกที ท้องฟ้าพลันสว่างขึ้นมาแล้ว หยุนชางจึงคลำไปยังพื้นที่ข้างกายจึงรู้ว่าคนข้างกายของนางพลันลุกออกไปแล้ว อากาศพลันเย็นลง จึงครุ่นคิดกับตัวเองชั่วครู่
หยุนชางกวาดสายตาจึงเห็นอาภรณ์ของนางพลันวางอยู่บนหมอนข้างตัว อาภรณสีขาวลายพระจันทร์ ดูเหมือนจะเตรียมมาให้นางโดยเฉพาะ หยุนชางจึงลุกขึ้นมาสวมใส่อาภรณ์ให้เรียบร้อย แม้ว่าจะเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ที่เตรียมมาให้นาง ทว่ากลับเป็นอาภรณ์ของผู้ชายที่มีขนาดเท่าตัวนางพอดี
เมื่อหยุนชางสวมใส่อาภรณ์เรียบร้อยแล้ว จึงเดินออกไปที่ฉากกั้น พลางเห็นชายสวมใส่อาภรณ์สีดำกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ที่โต๊ะ ภายในใจของหยุนชางรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย จึงหลบเข้าไปหลังฉากกั้นอีกครั้ง เมื่อนางหลบเข้าไปหลังฉากกั้นแล้ว จึงนึกได้ว่า ตอนนี้นางสวมใส่เสื้อผ้าแล้ว ทำไมต้องกลัวเขากัน ?
เมื่อตรวจสอบเสื้อผ้าอาภรณ์ของตนเองเรียบร้อยแล้ว จึงเดินออกไปพร้อมส่งเสียงเรียกเบา ๆ ว่า “ท่านอ๋อง”
จิ้งอ๋องมิได้หันกลับมามองนางแต่อย่างใด กลับพยักหน้าน้อย ๆ “อื้ม บนโต๊ะมีสำรับอาหารอยู่ เจ้าไปทานก่อนเถอะ ”
เมื่อหยุนชางหันกลับไปมอง จึงเห็นบนโต๊ะมีถ้วยโจ๊กวางอยู่ อีกทั้งยังมีเครื่องเคียงร้อน ๆ วางคู่กันพลันในท้องกลับรู้สึกหิวเล็กน้อย จึงเดินเข้าไปกินโดยไม่สนใจสิ่งใดอีก
ในขณะที่กำลังทานอาหารอยู่นั้น พลันประตูของกระโจมถูกเปิดออก เมื่อหยุนชางมองตรงไป จึงเห็นเฉียนยินก้มหัวเดินเข้ามาภายในห้อง เมื่อเห็นหยุนชางนั่งอยู่บนโต๊ะ ใบหน้าพลันปรากฏขึ้นด้วยความดีใจขึ้นมา จึงวิ่งเข้าไปหาหยุนชางว่า “หวางเฟย หวางเฟย ท่านตื่นขึ้นมาแล้ว”
หยุนชางจึงยิ้มขึ้นมาน้อย ๆ พลางพยักหน้ารับ “ทำไมหรือ ? ข้าสลบไปนานเท่าใดแล้วหรือ?”
เฉียนยินพยักหน้ารับคำ “นานมากเจ้าค่ะ ผ่านไปสี่วันแล้ว หากท่านอ๋องไม่มาทำลายเขาวงกตนั่น เกรงว่าพวกเราคงจะถูกขังอยู่ในนั้นเป็นแน่ ”
เป็นดั่งที่จิ้งอ๋องพูดไว้ เป็นเขาที่คอยอาบน้ำให้นาง เขานอนเตียงเดียวกันกับนางมาหลายวันแล้ว ใบหน้าพลันเห่อร้อนขึ้นมา นางมิได้ตอบกลับคำพูดเฉียนยิน พลางก้มหัวลงทานอาหารต่อไป
เฉียนยินพลางลอบมองจิ้งอ๋องที่นั่งอ่านตำราอยู่ จึงกระซิบเบา ๆ ว่า “หวางเฟย เมื่อครู่นู๋ปี๋ได้พบกับนายพลหลายคนในค่าย พวกเขาให้นู๋ปี๋มาถามหวางเฟยว่า จะเรียกพวกเขาเข้าพบเมื่อใด พวกเขาต้องการที่จะรายงานสถานการณ์เกี่ยวกับสงครามที่เกิดขึ้นและยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องพูดคุยกับหวางเฟย เพคะ”
หยุนชางพลันจำได้ว่านางหมดสติมาหลายวันแล้ว เกรงว่าคงมีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นไม่น้อย ในสนามรบ ทุกช่วงเวลาที่เกิดขึ้นในสนามรบนั้นอาจจะส่งผลกระทบต่อการเดินทัพก็ได้ จึงรีบร้อนพูดขึ้นมาว่า “รอข้ากินอาหารเสร็จ”
ยังมิทันพูดจบ จึงถูกน้ำเสียงดุจเย็นชาพูดตัดบทว่า “ไปปฏิเสธนายพลพวกนั้นซะ บอกว่าหวางเฟยเพิ่งฟื้นขึ้นมา ร่างกายยังไม่ค่อยแข็งแรง ไม่ควรรบกวนนาง บอกให้พวกเขารอไปก่อน”
“อ๋า? “หยุนชางพลันตกตะลึง “แต่ว่า”
“หืม ?”แม้จะอุทานมาเพียงคำเดียว แต่ก็ทำให้หยุนชางรู้สึกเกรงกลัวได้ หยุนชางกระแอมขึ้นมา. พลางถอนหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน “ทำตามที่จิ้งอ๋องบอกเถอะ”
สายตาของเฉียนยินพลันปรากฏร่องรอยความประหลาดใจออกมา เมื่อมองไปยังหยุนชางและจิ้งอ๋องพลางมองสลับไปมา เมื่อหยุนชางไอออกมาหนึ่งคำ นางจึงเก็บสายตากลับไป พร้อมโค้งตัวออกจากกระโจม
หยุนชางพลันรู้สึกว่าจิ้งอ๋องจะโกธรนาง ทว่าเมื่อคิดอยู่นาน ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจิ้งอ๋องถึงโกธรนางได้
เมื่อทานอาหารเสร็จแล้ว จิ้งอ๋องยังคงอ่านตำราอยู่ หยุนชางยิ่งมีกล้าเดินออกไปนอกกระโจม เพียงหยิบหนังสือขึ้นมาแล้วนั่งพิงบนเบาะอ่านหนังสือต่อไป เมื่อยามใกล้จะถึงเที่ยงวัน จึงได้ยินเฉียนอินมารายงานว่า ฮูหยินฉีมาเยี่ยม
หยุนฉางพลันตกตะลึงไปเล็กน้อย จึงนึกขึ้นมาได้ว่า ฉีฮูหยินเป็นภรรยาของฉีหล่าง นางจึงลุกออกมาจากเบาะนั่ง พร้อมกับจัดเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เรียบร้อย จึงเดินออกไปเชิญให้ฉีฮูหยินเข้ามา ฉีฮูหยินเมื่อเข้ามาในกระโจมแล้ว จึงก้มหัวมองดูปลายเท้าของตนเอง เมื่อเดินเข้าไปไม่กี่ก้าว จึงเดินมายังตรงกลางพร้อมคุกเข่าทำความเคารพ “หม่อมฉันเคยพบจิ้งอ๋อง และพระชายาแล้วเพคะ”
จิ้งอ๋องพลางมองแต่ตำราของตนเอง และมิได้เอ่ยปากอันใดออกมา หยุนชางจึงรีบร้อนพูดขึ้นมาว่า “ฉีฮูหยินไม่ต้องมากพิธี เชิญนั่ง”
ฉีฮูหยินจึงยืนขึ้น พลางเดินไปนั่งที่เก้าอี้อย่างระมัดระวัง และยังก้มมองแต่มือของตนเองพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเบา ๆ ว่า “หม่อมฉันได้ยินมาว่า หวางเฟยร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง จึงตั้งใจมาเข้าเฝ้าเพคะ ถ้าไม่รังเกียจไปอยู่ที่จวนหม่อมฉันดีรึไม่เพคะ ในค่ายทหารแห่งนี้ล้วนเต็มไปด้วยพลทหารทั้งนั้น ทำอะไรก็มิค่อยสะดวก มีเสียงเท้าเดินไปมาในตอนกลางคืน เกรงว่าหวางเฟยจะนอนไม่ค่อยหลับ ในจวนของหม่อมฉัน แม้ว่าจะดูธรรมดาไปบ้าง ทว่าสภาพแวดล้อมก็เหมาะสมต่อการฟื้นฟูร่างกายของหวางเฟยนะเพคะ”
หยุนชางนิ่งเงียบ มุมปากพลางกระตุกยิ้มขึ้นมา เกรงว่าฮูหยินฉีจะถูกฉีหล่างบังคับให้มาเข้าเฝ้ากระมัง ฉีหล่างไม่พอใจนางมาตลอด ทว่าตอนนี้มีจิ้งอ๋องอยู่ด้วยแล้ว จึงไม่กล้าไม่เคารพนาง จึงให้ฉีฮูหยินเข้าหาหยุนชางแทน จึงอยากให้นางและจิ้งอ๋องไปอยู่ในจวน เพื่อตนเองจะได้ควบคุมค่ายทหารกระมัง
หยุนชางกำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธ พลันได้ยินจิ้งอ๋องพูดขึ้นมาว่า “ดีจริง ถ้าฉีฮูหยินพูดมาขนาดนี้ เปิ่นหวางคงมิอาจปฏิเสธได้”
ฉีฮูหยินพลันตกตะลึง แต่เดิมคาดเดาไว้แล้วว่าอาจจะถูกปฏิเสธ อีกทั้งยังคิดข้อแก้ตัวมาอธิบายต่อหยุนชางได้แล้ว ไม่คิดว่า จิ้งอ๋องจะตอบรับอย่างง่ายดาย จนทำให้นางลืมวิธีตอบรับไปทันที
หยุนชางเงียบไปสักพัก แม้ว่านางจะไม่ต้องการไปอยู่ที่จวนฉีก็จริง ทว่าจิ้งอ๋องตกปากรับคำมาแล้ว นางก็มิสามารถไปหักหน้าจิ้งอ๋องได้ จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ต้องรบกวนฮูหยินแล้ว”
ฮูหยินฉีรีบร้อนตอบกลับ “ไม่ลำบากเลยเพคะ จิ้งอ๋องและพระชายามาพักที่จวนของหม่อมฉัน นับเป็นเกียรติต่อตระกูลยิ่งนัก หม่อมฉันจะกลับไปที่จวนเพื่อสั่งให้ข้ารับใช้ทำความสะอาดรอ จิ้งอ๋องและพระชายาเข้ามาที่จวนได้ตลอดเลยนะเพคะ”
หยุนชางพยักหน้ารับคำ “ตกลง”
ฉีฮูหยินรีบร้อนทำความเคารพและโค้งกายจากไป
เมื่อรอจนฉีฮูหยินเดินออกไปแล้ว จึงจ้องมองไปยังจิ้งอ๋อง พลันเห็นแต่เพียงใบหน้าอันเย็นชาของจิ้งอ๋องที่มองตำราในมือเท่านั้น คิ้วของเขาขมวดลงราวกับกำลังโกธร หยุนชางพลันถอนหายใจแล้วเดินไปยังข้างกายจิ้งอ๋อง พร้อมทั้งงกระซิบเบา ๆว่า”ท่านอ๋องท่านโกธรอะไรข้างั้นหรือ? ข้าไม่รู้ว่าทำอันใดให้ท่านขุ่นเคืองกัน ท่านจะลงโทษข้าก็ได้ แต่ได้โปรด ช่วยบอกเหตุผลให้ข้าฟังได้หรือไม่? ”
จิ้งอ๋องพลันเงยหน้าขึ้นมาหยุนชาง และก้มหน้าลงไปอีก “หวางเฟยจะทำผิดได้อย่างไร ? หวางเฟยมายังเมืองคังหยาง มานำทัพเพื่อประเทศชาติและประชาชน โดยมิบอกกล่าวเปิ่นหวางสักคำ เจ้าจะผิดได้อย่างไร? หวางเฟยสั่งให้ฉีอวี้เฟิงเป็นหนุ่มหน้าหยก อีกทั้งยังให้ฉีหล่างมาเป็นผู้บัญชาการ เจ้าจะผิดได้อย่างไร ? หวางเฟยไปสำรวจภูมิประเทศเพื่อต้องการที่จะชนะ เจ้าจะผิดได้อย่างไร ? หวางเฟยพบกับหลิ่วหยินเฟิง แท้จริงแล้วสามารถหนีออกมาได้ ทว่ากลัวว่าหลิ่วหยินเฟิงจะล่วงรู้ตัวตน จึงถูกหลิ่วหยินเฟิงจับไปอยู่ในที่อันตรายเช่นนั้น เจ้าจะผิดได้อย่างไร ? .ในเมื่อเจ้ามิได้ทำผิด เปิ่นหวางจะโกธรเจ้าได้อย่างไร ?”
หยุนชางตกตะลึงกับคำพูดยาวเหยียดของจิ้งอ๋อง หลังเงียบไปสักพัก พลางอดกลั้นเสียงหัวเราะไม่ไหว “พึ่บ”
จิ้งอ๋องเมื่อได้ยินเสียงหลุดขำของหยุนชางแล้ว จึงถลึงตามองนางพลางถอนหายใจออกมาอย่างขมขื่น
หยุนชางจึงหุบยิ้มอย่างรวดเร็ว และเดินไปยังด้านหลังของจิ้งอ๋อง พลางนวดไหล่ของจิ้งอ๋อง พร้อมกระซิบเบา ๆ ว่า “เป็นความผิดของหม่อมฉันเพคะ หม่อมฉันแค่ไม่อยากเห็นท่านทำงานหนัก อีกด้านท่านยังต้องรับมือกลับหลี่จิ้งเหยียนและเซี่ยโหจิ้ง อีกด้านท่านยังต้องมากังวลจากสถานการณ์ชายแดนอีก หม่อมฉันเข้าใจว่าท่านเป็นเทพแห่งสงคราม ทว่าหม่อมฉันก็มิอยากหลบอยู่แต่หลังของท่าน หม่อมฉันไม่อยากเป็นภาระให้กับท่านอ๋อง และไม่อยากจะหลบอยู่หลังท่านเพื่อให้ท่านมาปกป้อง ชางเอ๋อร์หวังว่า หม่อมฉันจะค่อย ๆโตขึ้นได้ด้วยตัวเอง และสามารถยืนหยัดอยู่ข้างกายท่านได้ในฐานะสตรีของพระองค์”
จิ้งอ๋องเงียบไปชั่วครู่ พลางจับมือของหยุนชางมากุมไว้ และจับหยุนชางหมุนตัวมาเพื่อสบตากับนาง เมื่อผ่านไปชั่วครู่ จึงถอนหายใจออกมา “ข้าไม่ได้ไม่อนุญาตให้เจ้าทำ ข้าเพียงหวังว่า เจ้าจะดูแลตนเองได้ และไม่พาตนเองไปเสี่ยงอันตรายอีก”
หยุนชางพลันยิ้มออกมาเล็กน้อย พลางพยักหน้ารับคำ “ชางเอ๋อร์เข้าใจแล้ว จางกนี้ชางเอ๋อร์จะระมัดระวังให้มากขึ้น”
ใบหน้าของจิ้งอ๋องพลันดีขึ้น พลางสังเกตุเห็นว่ามือของหยุนชางเย็นขึ้นเล็กน้อย เขาจึงกุมมือนางไว้เพียงชั่วครู่ พร้อมลุกขึ้นมา “หากครั้งนี้ฉีหล่างไม่ฟังคำเจ้า อีกทั้งยังเปลี่ยนแผนการรบของเจ้าโดยไม่ได้รับอนุญาติอีก ส่งผลเสียต่อกองทัพแล้ว อีกทั้งเขายังเป็นคนรับผิดชอบต่อนายพลเหล่านี้ ดังนั้นเขาต้องเจอผลลัพธ์เช่นนี้. วันนี้เขาจึงให้ฉีฮูหยินมาเชิญเราเข้าไปพักที่จวน เกรงว่าเขาจะมีเป้าหมายอะไรบางอย่าง หากจะต้องระวังทั้งซ้ายขวา มิลองเข้าไปดูด้วยตัวเองเล่า ในตอนที่สู้รบกันนั้น กลัวว่าจะไม่สามารถเข้ากันได้ ต้องแก้ปัญหานี้ให้ได้โดยเร็ว หากปล่อยไว้นานกว่านี้อาจจะทำให้เกิดปัญหาภายหลังได้”
หยุนชางพลันตกตะลึง จึงเข้าใจแล้วว่าทำไมจิ้งอ๋องตอบรับคำของฉีฮูหยินนั้น ภายในใจเจือไปด้วยความอบอุ่น หยุนชางจึงพยักหน้ารับคำพูดต่อว่า “หากท่านอ๋องพูดเช่นนี้แล้ว พวกเราไปกันเถอะ ทว่าในเมื่อข้าตื่นขึ้นมาแล้ว ตอนนี้สถานการณ์ตรงหน้าเป็นเช่นไรไม่มีใครรู้ได้”
จิ้งอ๋องจ้องมองนาง จึงพูดออกมาว่า “พวกเราไปเที่ยวเล่นในเมืองคังหยางกันเถอะ. ระหว่างทางข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง”