ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 300 กินน้ำส้มสายชู
แม้ว่าสงคราวจะยังไม่รุกรานมายังเมืองคังหยางนั้น ทว่าภายในตัวเมืองกลับเงียบเหงากว่าตอนที่หยุนชางมาถึงใหม่ ๆ เสียอีก. ยังมีชาวบ้านไม่น้อยเลยที่กำลังเตรียมตัวเก็บของเพื่อลี้ภัยไปยังเมืองอื่น ร้านค้าภายในเมืองพลันปิดเงียบลง บนถนนผู้คนพลันบางตา
หยุนชางพลางถอนหายใจเบา ๆ เพียงรู้สึกหนักใจเล็กน้อย การเกิดสงคราม การเดินทางพลัดถิ่น และบ้านที่ไม่สามารถกลับไปได้ เป็นสิ่งที่ชาวบ้านหวาดกลัวเป็นที่สุด
“คังหยางมีเจ้าอยู่ที่นี่ ข้ารู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก อีกไม่กี่วันข้าจะต้องไปที่จิ้งหยางและเต๋อซี” จิ้งอ๋องเดินมาอยู่ข้างหยุนชางพลางพูดเบา ๆ
หยุนชางผงะไปครู่หนึ่ง พลันพบกับความผิดหวังปรากฏขึ้นภายในใจ จึงพยักหน้าเล็กน้อย “เมื่อหลี่จิ้งเหยียนและโม้จิ้งหยานได้ครอบครองวูฉีก่อนหน้านี้ ข้าคิดว่าพวกเขาจะโจมตีจากจิ้งหยาง. ทว่าหลังจากมองดูแล้ว กองทัพแคว้นเซี่ยส่งกำลังคนมายังจิ้งหยางยังไม่น่ากลัวเท่าใดนักแต่ ทว่าคังหยางน่าเป็นห่วงที่สุด ฉะนั้นเขาจึงมาที่คังหยาง”
จิ้งอ๋องพยักหน้า “ข้าเกรงว่าหลิ่วหยินเฟิงได้ศึกษาวิธีการต่อสู้ของข้าอย่างรอบคอบแล้ว ฉะนั้นข้าจึงปฏิเสธที่จะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจใดๆ ก่อนหน้านี้ เจ้าไม่เคยอยู่ในสนามรบมาก่อนจึงทำให้เขาทำผิดพลาดมาแล้ว นั่นเป็นเรื่องที่ดี ทว่าหลิ่วหยินเฟิงและฉีหล่าง เจ้าควรต้องระวังพวกเขาไว้ เขาเป็นคนที่หยิ่งทระนง เอาแต่ดูหมิ่นเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้ากลัวว่าเขาจะทำให้เจ้าโมโห เจ้าต้องระวังด้วย แม้เขาจะเป็นแค่นายพล หากเขาใช้งานไม่ได้แล้ว เจ้ามิต้องลังเลไล่เขาออกมา อย่าทำให้เขาฝันไปไกลมากกว่านี้”
จิ้งอ๋องพูดมาขนาดนี้ หยุนชางจะไม่เข้าใจได้อย่างไร ความกังวลของเขาก็เป็นเพราะเห็นแก่นางด้วย หยุนชางไม่เต็มใจจริงๆ เพราะในแคว้นหนิงมีแม่ทัพไม่มากที่สามารถต่อสู้ได้ เพียงแต่ว่าสิ่งที่จิ้งอ๋องพูดมานั้นถูกต้อง คนที่มีความสามารถซึ่งหากไม่สามารถใช้การได้แล้ว มักจะกลายเป็นคนที่อันตรายที่สุด
ขณะที่เขาพูดอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงเกือกม้าดังขึ้นมาจากด้านหลัง จังหวะของเกือกม้าเร็วมาก หยุนชางได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังมากจากด้านหลัง ตามด้วยเสียงที่สั่งการว่า “หลีกไป พวกเจ้ารีบหลีกไปเสีย ม้าตัวนี้คลุ้มคลั่งไปแล้ว”
หยุนชางพลันขมวดคิ้วลง พลางหันไปมอง กลับถูกจิ้งอ๋องกระชากไปยังข้างทาง หยุนชางจึงมองเห็นสตรีชุดสีแดงนางหนึ่งที่นั่งอยู่บนหลังม้าสีน้ำตาลแดงกำลังวิ่งมาจากที่ไกลกำลังมายังที่นี่ ชาวบ้านที่ไม่สามารถหลบได้ทัน พลันถูกม้ากระทืบซ้ำที่พื้น จิ้งอ๋องพลางขมวดคิ้วลงและเดินไปยังกลางถนน พลางสายตาจับจ้องไปยังม้าตัวนั้น
“เฮ้ย เจ้าคนข้างหน้า รีบหลีกไปเสีย ม้าตัวนี้คลุ้มคลั่งไปแล้ว” น้ำเสียงของสตรีนางนั้นเต็มไปด้วยความร้อนรน เมื่อมองไปยังกลางถนน พลางเห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่ จึงรีบหยิบแส้ขึ้นมาชี้ไปที่จิ้งอ๋อง
จิ้งอ๋องมิได้ขยับหนีไปเลยสักก้าว พลางมุ่งหน้าไปยังม้าตัวนั้น เมื่อจับหัวม้าได้แล้วจึงกระโดดขึ้นไปบนหลังม้า พลันใช้เท้าเตะไปที่ข้างหลังของม้าอย่างเต็มแรง จึงทำให้ม้าล้มลงกลับพื้น ส่วนสตรีที่อยู่บนหลังม้าพลันกระเด็นออกมา
สตรีนางนั่นล้มลงอย่างแรง สายตาพลันเบิกขึ้น ใบหน้ามีแต่ความกรุ่นโกธร พลางมองไปยังสถานการณ์ตรงหน้าด้วยสายตาที่เหม่อลอย จากนั้นจึงชี้หน้าไปยังจิ้งอ๋องด้วยความโกธรเกรี้ยว “เจ้า ทำไมถึงได้ป่าเถื่อนขนาดนี้ ทำไมถึงทำให้ม้าของข้าขาหักได้ ? เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันมีราคาแพงขนาดไหน”
จิ้งอ๋องขมวดคิ้วเล็กน้อย จึงเหลือบมองสตรีตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา และหมุนกายกลับไปยืนข้างหยุนชาง
หยุนชางยิ้มเพียงเล็กน้อย เมื่อเหลือบมองไปทั่วร่างของจิ้งอ๋องก็พบว่าเขามิได้บาดเจ็บที่ใด จึงหันไปมองสตรีชุดแดงตรงหน้าว่า “กูเหนี่ยงท่านนี้ แม้ม้าของท่านจะมีราคาแพงขนาดไหน ทว่าจากที่ข้าเห็นเมื่อครู่ มันวิ่งอยู่บนถนนด้วยความบ้าคลั่ง อีกทั้งยังทำให้ชาวบ้านที่อยู่บนถนนเส้นนี้บาดเจ็บไม่น้อยเลย หากเจ้ายังขี่มันดั่งเช่นเมื่อครู่ ไม่เป็นผลดีแน่หากต้องแลกด้วยชีวิตผู้คนเช่นนี้ ”
สตรีนางนั่นขบริมฝีปากไปมา พลางจับแส้ขึ้นมาชี้ไปที่จิ้งอ๋อง “ถนนเส้นนี้ข้าไม่ได้ทำให้คนตายแต่อย่างใด. ข้าแค่ต้องการขี่ม้าผ่านเมืองนี้ไปเท่านั้น เท่านี้ก็ไม่มีอันใดเกิดขึ้นแล้ว เพียงนิดเดียวก็จะออกจากเมืองไปได้อยู่แล้วเชียว กลับมีคนป่าเถื่อนมาทำร้ายม้าของข้า เจ้าชดใช้ค่าม้ามาให้ข้าเดี๋ยวนี้”
แส้นี้โบกไปมาอยู่หน้าจิ้งอ๋อง หยุนชางได้ยินเสียงเล็กแหลมของสตรีผู้นี้แล้ว ดูท่านางคงเป็นวรยุทธ์ ถึงได้รู้จักวิธีการใช้แส้เป็นอย่างดี จิ้งอ๋องพลันขมวดคิ้ว แล้วเขาไปหลบ เพียงชั่วครู่แส้ก็ขาดออก
“ไป ” จิ้งอ๋องลากหยุนชางเดินออกมา ใบหน้ามีแต่ความเย็นชา ราวกับไม่สนใจสตรีอารมณ์ร้ายที่อยู่ตรงหน้าแม้แต่น้อย
“ทำม้าข้าบาดเจ็บแล้วยังจากไปโดยง่ายอีกหรือ. ดูนี่” เมื่อสตรีชุดแดงเห็นว่าจิ้งอ๋องมิได้สนใจนาง ก็ยิ่งโกธรมากขึ้น จึงโบกแส้ไปที่ร่างกายจิ้งอ๋อง
จิ้งอ๋องขมวดคิ้วแน่น หันตัวไปคว้าแส้มาด้วยสีหน้าเย็นชา “หากเจ้ายังยุ่งวุ่นวายอีก อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ” เมื่อพูดจบจึงผลักนางออกไป สตรีนางนั่นพลางล้มไปยังที่พื้น
จิ้งอ๋องไม่แม้แต่จะสนใจนาง จึงลากหยุนชางเดินจากไป
หยุนชางพลางยิ้มเล็กน้อย “ท่านอ๋องช่างมีเสน่ห์เสียจริง. แม้กลางวันก็ยังทำให้สตรีหลงใหลได้ หากหม่อมฉันไม่ได้บังเอิญเห็นแล้ว สตรีนางนั้นหม่อมฉันพอจะรู้จัก แม้ว่าตระกูลฉีจะไม่มีบุตรสาว ทว่าตระกูลฉีสายรองมีอยู่ไม่กี่คน สตรีผู้นี้คงจะเป็นสาวน้อยจากสกุลฉีสายรองเป็นแน่ ทว่าอารมณ์รุนแรงไปหน่อย เป็นบุตรของน้องชายคนที่สามของฉีหล่าง ปีนี้ย่างเข้าสิบเจ็ดหนาวแล้ว ใบหน้าสวยใส ทว่าอารมณ์ร้อน อีกทั้งยังมาตราฐานสูง จนถึงตอนนี้นางก็ยังมิได้ออกเรือน ท่านอ๋องมาถึงคังหยาง. หากมีเหตการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น เกรงว่าตระกูลฉีคงได้วิ่งมาประจบประแจงเป็นแน่”
“โอ้ ? “จิ้งอ๋องพลางเหลือบมองหยุนชางที่อยู่ข้าง ๆ พลันไม่มีสีหน้าที่เย็นชาดั่งเมื่อครู่อีกแล้ว พลางยิ้มให้หยุนชางพร้อมพูดว่า “เปิ่นหว่างมีเสน่ห์จนหาใครเทียบเคียงมิได้เลยงั้นหรือ สตรีทั่วโลกที่หลงใหลเปิ่นหวางรวมถึงหวางเฟยด้วยหรือไม่ ? ”
หยุนชางพลันสำลักออกมา เมื่อได้ยินคำถามลอย ๆ จากจิ้งอ๋องนั้น จึงเดินชมวิวข้างทางโดยมิได้พูดอะไรออกมาอีก
หลังจากเดินเล่นในเมืองไปแล้ว หยุนชางและจิ้งอ๋องจึงเดินทางมายังจวนตระกูลฉี ทว่าตระกูลฉีได้เตรียมความพร้อมไว้หมดแล้ว เมื่อเข้าไปในจวน ฉีหล่างจึงพาผู้คนมาคุกเข่าต้อนรับ มุมปากพลันกระตุกยิ้มเรียกฉีอวี้เฟิงเข้ามา เมื่อฉีอวี้เฟิงเงยหน้าขึ้น พลางลอบมองจิ้งอ๋องเพียงชั่วครู่ แล้วจึงหันกลับมามองหยุนชาง “บุตรชายคนโตของตระกูลฉีช่างหล่อเหลาเสียจริง มิแปลกใจทำไมหวางเฟยถึงกล่าวขานว่า หนุ่มหน้าหยก”
หยุนชางมิได้เอ่ยอันใดออกมา พลางถอนหายใจอย่างช้า ๆ จิ้งอ๋องชอบที่จะหยอกล้อเขามากจริง ๆ ขนาดนางได้อธิบายไปแล้ว เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยมันไป จึงถลึงตามองจิ้งอ๋อง พลางลากเขาเดินเข้าไปภายในตำหนัก เมื่อถึงตำหนักที่นางต้องอาศัยอยู่แล้ว หยุนชางพลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ มีของบางอย่างที่ต้องเพิ่มมาสำหรับบุรุษ. เฉียนยินนมาเตรียมของรอก่อนแล้ว เมื่อเห็นจิ้งอ๋องและหยุนชางเข้ามา จึงรีบร้อนโค้งกายทำความเคารพ พลางรินน้ำชามาให้ เมื่อรู้ว่าจิ้งอ๋องมิชอบให้สาวใช้รออยู่ นางจึงรีบร้อนโค้งกายออกไปจากตำหนัก
จิ้งอ๋องจิบชา พลางสำรวจข่าวของภายในตำหนักโดยมิได้เอ่ยอันใดออกมา
เมื่อจิ้งอ๋องมา ฉีหล่างจึงให้คนนำของมีค่ามาประดับตกแต่งภายในตำหนัก เมื่อพลางคาดเดาได้ว่าจิ้งอ๋องกำลังคิดอะไรอยู่ จึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “ฉีหล่างอยู่ที่เมืองคังหยางมาก็หลายปี ผู้คนในเมืองล้วนยกย่องเขา ในตอนที่หม่อมฉันมาถึง ผู้คนในเมืองแห่งนี้รู้จักแต่นายพลฉี มิรู้จักจักรพรรดิ เกรงว่าตัวตนของเราสองจะถูกกำจัดทิ้งไปเสียแล้ว ทว่าเมื่อมองยังภายในตำหนักแห่งนี้ การประดับตกแต่งกลับไม่ได้ด้อยไปกว่าจวนของจิ้งอ๋องเลย”
จิ้งอ๋องที่กำลังหยิบถ้วยชาจรดลงที่ริมฝีปากนั้น พลันชะงักไปเล็กน้อย พลางหลับตาและจิบชาต่อ พร้อมพูดว่า”หวางเฟยคิดว่าจวนของเปิ่นหวางดูโทรมไปหรือ ? ”
ยังเป็นหยุนชางที่สำลักกับคำถามของจิ้งอ๋อง ภายในใจรู้สึกรำคาญไม่น้อย เมื่อนางมาปรากฏตัวในเมืองคังหยางแห่งนี้ นางมักจะทำให้เขาหงุดหงิดอยู่เสมอ
“หากหม่อมฉันไม่รู้จักตัวตนของท่านอ๋องแล้ว หม่อมฉันต้องคิดว่าท่านอ๋องกำลังดื่มน้ำส้มสายชูอยู่เป็นแน่” หยุนชางพลันถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ
ฝ่ามือของจิ้งอ๋องพลันชะงักไปชั่วครู่ และหยุดคิดถึงสิ่งที่เขาพูดไปก่อนหน้านั้น พลางดื่มชาไปเพียงถ้วยเดียวและเดินมาอ่านตำราที่โต๊ะ ตำราส่วนใหญ่ล้วนผ่านตาหยุนชางมาหมดแล้ว พวกเขานำตำราติดตัวไปทั่วทุกที่ ไม่เว้นแม้แต่จากเมืองหลวงมายังเมืองคังหยาง
จิ้งอ๋องมองเพียงชั่วครู่ พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “จนถึงตอนนี้เจ้ามีความรู้มากมาย ทั้งบทกวี ดนตรี ดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ เกษตรกรรม วรยุทธ์ต่าง ๆ อีกทั้งค่ายกล เจ้าล้วนแตกฉาน”