ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 304 อบรมสั่งสอนในค่ายทหาร
ด้านนอกไม่มีเสียงอะไรอีก หยุนชางยิ้มและรอ หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้ยินเฉี่ยนอินกำลังดักฟังอยู่ในกระโจมว่า “พระชายา ไปแล้วเพคะ”
หยุนชางพยักหน้า หลับตาลงและครุ่นคิดสักครู่ “สั่งการออกไป คนที่มียศนายกองขึ้นไป ให้มารออยู่นอกกระโจม”
เฉี่ยนอินตอบรับซ้ำๆ แล้ววิ่งออกไปสั่งการ หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้ยินเสียงของหวังชงมาจากนอกกระโจม โดยบอกว่า ขอเข้าพบหยุนชาง หยุนชางจึงเรียกให้เขาเข้ามา พอหวังชงเข้ามา โค้งมือและพูดว่า “ใต้เท้ากำกับการ ในค่ายยกเว้นแม่ทัพฉีและนายกองอีกสี่ท่าน เนื่องด้วยพวกเขาไปลาดตระเวนประตูเมือง ไม่ได้อยู่ในค่าย ส่วนคนอื่นๆต่างมาถึงครับแล้วขอรับ”
“โอ้ สี่ท่าน? สี่ท่านไหนบ้าง?” หยุนชางพูดอย่างเฉยเมย
“คุณชายสองท่านของตระกูลฉี และมีอีกสองท่าน คนหนึ่งคือหลี่เสี่ยงและอีกคนคือซุนจ้ง” สีหน้าของหวังชงไร้อารมณ์ และเสียงของเขาไม่มีความผันผวน
“โอ้ ช่างบังเอิญเสียจริง แม่ทัพฉีและคุณชายทั้งสองของตระกูลฉีไม่อยู่ที่นี่ วันนี้สี่ท่านนี้ปฏิบัติหน้าที่เข้าเวรหรือ?” หยุนชางรู้คำตอบในใจแล้ว แต่ก็ยังแสร้งทำเป็นถาม
หวังชงเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยุนชางก่อนจะตอบว่า “เรียนใต้เท้ากำกับการ ตามความเป็นจริงวันนี้ผู้ปฏิบัติเข้าเวรมีฉีอวี้เฟิงและหลี่เสี่ยง แต่ฉีอวี้หล่างและซุนจ้งนั้นไม่ทราบขอรับ ว่าเหตุถึงไม่อยู่ ข้าน้อยไปตรวจเหตุผลที่เขียนไว้ในบันทึกการเข้าออกค่ายทหารคือไปลาดตระเวนประตูเมืองขอรับ”
หยุนชางยิ้มจางๆที่มุมปาก ลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกไปนอกกระโจม “ไปกันเถอะ ไปดูกัน”
นายกองหลายสิบนายและแม่ทัพในค่ายหลายนายต่างยืนอยู่นอกกระโจม บางคนมักจะเงยหน้าขึ้นมองหยุนชางอย่างสงสัย หยุนชางยิ้ม กวาดมองใบหน้าของทุกคนที่อยู่ตรงหน้า หลังจากนั้นไม่นาน นางก็พูดว่า “วันนี้เชิญนายกองและแม่ทัพทั้งหลายมาที่นี่เพราะ การออกศึกเมื่อไม่กี่วันก่อน ตามจริงแม้ว่าข้าจะไม่ได้อยู่ในกองทัพในวันนั้นข้าก็ได้เตรียมการทั้งเส้นทางเดินทัพและกลยุทธ์อย่างละเอียดแล้ว กองทัพแบ่งออกเป็นสี่หน่วย โดยหนึ่งแสนนายโจมตีจากหุบเขาชิงเฟิง ห้าหมื่นนายจากเนินเขาหลิวหยุน ห้าหมื่นนายจากชุนเฟิงตู้ หนึ่งแสนนายที่เหลือรออยู่ที่ค่ายเป็นกองหนุน หากเส้นใดเส้นหนึ่งพบเจอศัตรู และกำลังไม่พอ ก็จะมีทหารที่รออยู่ที่ค่ายให้การสนับสนุน และหากกองทัพสามเส้นทางมิได้พบกับศัตรู ก็ตรงไปที่ค่ายของศัตรูโดยตรง แล้วตีกองทัพเซี่ยจนรับมือไม่ทัน จากนั้นก็รีบถอยทัพให้เร็ว โดยถอนกองกำลังออกจากหุบเขาชิงเฟิง และปิดกั้นศัตรูในหุบเขาชิงเฟิงทั้งสองด้านเพื่อโจมตีศัตรู”
ทุกคนต่างรู้สึกทึ่งเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แม้ว่าพวกเขาจะเป็นนายกอง แต่งานสำคัญในการเดินขบวนกองทัพจะไม่อนุญาตให้พวกเขาเข้าร่วม การได้ยินหยุนชางเอ่ยมา ก็รู้สึกแปลกใหม่มาก ได้ฟังการจัดเตรียมของหยุนชาง ก็มีบางคนคอยพยักหน้าอย่างเงียบๆ ดูเหมือนจะเห็นด้วยกับการจัดเตรียมของหยุนชาง
“เพียงเพราะข้าไม่ได้อยู่ในกองทัพ แม่ทัพฉีเพิกเฉยต่อคำสั่งของข้า และยืนยันที่จะนำกองทัพทั้งหมด ด้วยความตั้งใจที่จะปิดกั้นศัตรูจากหุบเขาชิงเฟิง แต่ศัตรูนั้นฉลาดแกมโกงมาก จนพวกเขาเดาแผนของแม่ทัพฉีได้ แบ่งกองกำลัง และนัดหมายกันกว่าแสนคนบุกจากเนินเขาหลิวหยุน ตั้งใจจะฉวยโอกาสป้องกันตัวหย่อนในค่ายมาจู่โจมเราอย่างคาดไม่ถึง หากถึงเวลานี้ เดินตามวิถีของแม่ทัพฉี ก็เกรงว่ากองทัพเซี่ยในเนินเขาหลิวหยุนจะไม่ถูกการขัดขวางใดๆ และสามารถโจมตีค่ายของเราได้โดยตรง ในขณะนั้น ทหารทั้งหมดอยู่ข้างนอก และในค่ายเหลือทหารน้อยกว่าหนึ่งหมื่นนาย ข้าเกรงว่าจะยากต่อการต้านทานการโจมตีของกองทัพเซี่ย” หยุนชางกล่าว และเสียงของนางค่อยๆ สูงขึ้น
“โชคดีที่เรามีแม่ทัพหลายท่านที่มีเหตุผล เมื่อแม่ทัพฉีบังคับให้ทุกคนในกองทัพไปที่หุบเขาชิงเฟิงกับเขา ได้เสนอคัดค้าน แต่เมื่อเห็นว่าการคัดค้านนั้นไร้ประโยชน์ พวกเขาจึงคิดหาวิธีอื่นและแนะนำแบ่งออกเป็นสามเส้นทาง บดบังสายตาของศัตรู แล้วรวมตัวกันที่หุบเขาชิงเฟิง ในวันที่กองทัพเซี่ยบุกโจมตี พวกเขาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งการของแม่ทัพฉีในการจัดเตรียมกองทัพ กลับกัน พวกเขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อปฏิบัติตามวิธีการของข้า และ แบ่งกองทัพเป็นสี่หน่วย เพื่อใช้ในการต่อต้าน”
หยุนชางยิ้มเล็กน้อย ดวงตาของนางจ้องไปที่ใบหน้าที่อยากรู้อยากเห็นของทุกคน จากนั้นก็พูดต่อว่า “แน่นอน กองทัพขวามือพบกับกองทัพเซี่ยที่เนืนเขาหลิวหยุน แต่อีกฝ่ายมีทหารจำนวนหนึ่งแสนนาย ฝั่งเรามีเพียงห้าพันคน และโอกาสชนะไม่มากนัก จึงใช้สัญญาณส่งให้แม่ทัพหวังที่ยังคงอยู่ในค่ายทหารนำคนไปสนับสนุน ผู้คนจำนวนมากในที่นี้เข้าร่วมศึกในการรบในวันนั้นด้วย กองทัพของเราเกือบจะกวาดล้างกองกำลังศัตรูทั้งหมดได้ในเนินเขาหลิวหยุน แม่ทัพหลิวและกองทหารของเขาจากเส้นชุนเฟิงตู้ก็ตรงไปที่ค่ายศัตรูโดยไม่มีอุปสรรค และเผายุ้งฉางของศัตรู แล้วรีบถอนออกมา”
“แต่ว่า ในเวลานี้ กองทัพเส้นทางกลางที่นำโดยแม่ทัพฉีเกิดอะไรขึ้น?” หยุนชางขดริมฝีปากอย่างเย็นชา “กลุ่มกองทัพเส้นทางกลางมากกว่าหนึ่งแสนนาย ได้พบกับกองทัพทหารที่นำโดยรัชทายาทแคว้นเซี่ยและกุนซือหลิ่วหยินเฟิงในหุบเขาชิงเฟิง ทันทีที่ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้า ทหารแคว้นเซี่ยแสร้งทำเป็นพ่ายแพ้ ถอยอย่างต่อเนื่อง และล่อกองทหารที่นำโดยแม่ทัพฉีเข้าไปกลางหุบเขาชิงเฟิง แล้วใช้ความได้เปรียบของภูมิประเทศ ตั้งการซุ่มโจมตีสิบด้าน รอให้แม่ทัพฉีเข้าไปในโกศ แม่ทัพฉีลืมสิ่งที่ข้าพูดก่อนหน้านี้ไปโดยสิ้นเชิง ถ้ามีอะไรผิดปกติ ให้รีบถอนตัวออกไปที่ปากทางเข้าของหุบเขาชิงเฟิง ทำไมเราถึงต้องถอนตัวไปปากทางเข้าของหุบเขา เพราะภูมิประเทศที่ปากทางเข้าของหุบเขานั้นพิเศษกว่า ปากทางเข้าของหุบเขามีทางออกเล็กๆเพียงทางเดียว ถ้าต้องการออกมา สามารถผ่านไปได้ไม่เกินสี่คนของแถวหน้ากระดาน รออยู่ที่ปากทางเข้าของหุบเขา สามารถมั่นใจได้ว่าศัตรูไม่สามารถผ่านเข้ามาได้ และสามารถออกมาคนหนึ่งคนฆ่าหนึ่งคน แต่แม่ทัพฉียืนยันที่จะไปตามทางของเขาเอง แต่เขาต้องต่อสู้กับการซุ่มโจมตีสิบด้านของกันซือหลิ่วหยินเฟิง ทำให้ต้องสูญเสียทหารหลายนาย เมื่อแม่ทัพฉีตระหนักได้ต้องการถอนตัว มันก็สายไปเสียแล้ว”
“หลังจากแม่ทัพหลิวลอบโจมตีค่ายศัตรู เขาก็รีบถอนตัวออกจากหุบเขาชิงเฟิง โดยตั้งใจจะร่วมมือกับแม่ทัพฉี ปิดล้อมกองทัพเซี่ยไว้ตรงกลาง แต่ไม่คิดว่า แม่ทัพฉีหลบหนีอย่างไร้ร่องรอย ไม่ได้ตั้งใจจะร่วมศึก ดังนั้น แม่ทัพหลิวและผู้ติดตามของเขาที่ไม่เกินห้าหมื่นนาย เมื่อเผชิญหน้ากับกองทัพศัตรูขนาดใหญ่ แน่นอนว่าน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ แม่ทัพหลิวสั่งกองทัพให้บุกทะลวงวงล้อมอย่างนิ่งสงบ และในที่สุดก็นำผู้คนออกมาได้กว่าหมื่นนาย”
หยุนชางกวาดมองไปมา พูดแล้วหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วนางก็กล่าวต่อว่า “วันนี้ที่ข้าพูดเรื่องนี้ให้ทุกท่านฟัง เพียงเพราะ ข้าคิดว่าทุกท่านเป็นนายกองของกองทัพเรา แม้ว่านายกองจะมีเพียงไม่กี่ร้อยนาย แต่ก็เป็นผู้มีความสามารถที่ขาดไม่ได้ในกองทัพด้วย ข้าเชื่อว่าพวกเราทุกคนที่ยืนอยู่ที่นี่มีหัวใจที่จะ ปกป้องบ้านเมืองแผ่นดินของเรา และข้ายังเชื่อว่า ในอนาคตทุกท่านจะมีความโดดเด่นและมีตำแหน่งอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ในการเป็นทหาร การเชื่อฟังอยู่เหนือสิ่งอื่นใด สันนิษฐานว่าหลายท่านคงทราบดีว่า จิ้งอ๋องอยู่ในค่ายทหาร แม้ว่าจิ้งอ๋องเป็นที่เคารพนับถือของชาวเมืองแคว้นหนิง แต่เขาก็เข้าใจหลักการของการปฏิบัติตามคำสั่งอย่างลึกซึ้ง ในค่ายนี้ เขาไม่ใช่ผู้บังคับบัญชา ถ้าผู้บังคับบัญชามีคำสั่ง เขาจะไม่มีวันละเลย”
“สำหรับทหาร อย่างแรกคือการปฏิบัติตามคำสั่ง และอย่างที่สองคือการปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ข้าได้อธิบายทุกสิ่งที่เกิดในวันนั้นแก่ท่านทั้งหลายโดยมิได้ปิดบัง ซึ่งถูกและผิด ท่านทั้งหลายมีวิจารณญาณของตัวเอง ที่ข้าขอพบทุกท่านในวันนี้ ต้องการที่อยากเน้นคือวินัยทหาร จู่ๆก็เรียกทุกท่านมา ทุกคนที่ยืนอยู่ ณ ที่นี่ล้วนมีวินัยในตัวเอง มีเพียงนายกองสี่นายที่ไม่ได้มา ทั้งสี่ท่านลงบันทึกเหตุผลเข้าออกค่ายทหาร ว่าพวกเขาทั้งหมดต่างไปลาดตระเวนประตูเมือง แต่ว่า ข้าได้สอบถามแม่ทัพประจำการ ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่เข้าเวรมีเพียงสองท่าน และอีกสองท่านโกหก” ดวงตาของหยุนชางเต็มไปด้วยความเยือกเย็น และเสียงก็ค่อยๆเย็นชาลง
“ในกองทัพมีระเบียบวินัยแต่ไม่สามารถปฏิบัติอย่างเข้มงวดได้ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีกฎระเบียบวินัยแล้ว ตอนนี้เราอยู่ในสนามรบ ไม่รู้ว่าศัตรูจะโจมตีเราเมื่อไร ในเวลานี้ ทุกท่านล้วนอยู่ในวาจาและการกระทำ ไม่ว่าทุกท่านจะปฏิบัติตามกฎวินัยหรือไม่ก็เป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะถ้าท่านไม่ใช่ทหารธรรมดา” หยุนชางหันไปมองหวังชง “แม่ทัพหวัง กฎของค่ายทหาร ถ้าไม่ปฏิบัติตามระเบียบวินัยของทหาร ออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ควรลงโทษอย่างไร?”
หวังชงก้าวออกมาอย่างรวดเร็วและโค้งมือ “เรียนใต้เท้ากำกับการ ออกจากค่ายโดยพละการ ต้องโทษโบยสามสิบที”
หยุนชางพยักหน้า “ถ้านายกองสองท่านที่ออกจากค่ายโดยพละการกลับมา ก็ไปรับโทษด้วยตนเอง ถ้ายังกระทำผิดซ้ำอีก ตำแหน่งนายกองก็ไม่จำเป็นต้องเป็นแล้วล่ะ ควรเลือกคนที่สามารถปฏิบัติตามวินัยทหารได้มาเป็นแทน เป็นถึงนายกอง กลับวางตัวไม่เป็นแบบอย่าง จะมีประโยชน์อะไร?”
หวังชงรีบตอบรับคำ “ข้าน้อยรับคำสั่ง”
“เมื่อมีบทลงโทษก็ควรมีรางวัล ถ้าท่านสามารถปฏิบัติตามวินัยทหาร และสังหารศัตรูนับร้อยในสงครามได้ จะได้รับรางวัล หากสามารถสังหารศัตรูได้นับพันคน จะได้รับรางวัลอย่างงาม!” หยุนชางกล่าวด้วยเสียงอันดังก้องกังวานและทรงพลัง คำพูดส่งเข้าหูของทุกคน เมื่อหยุนชางเห็นบางคน มีความสุข ราวกับว่าพวกเขามั่นใจ หยุนชางยิ้ม ยกมือขึ้นและโค้งมือ “ทุกๆนิ้วของภูเขาและแม่น้ำในแคว้นหนิง ต้องขอรบกวนให้ทุกท่านปกป้องด้วยกัน ข้าขอขอบคุณทุกท่านที่นี่แล้ว” หลังจากพูดจบ นางก็ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหลังกลับเข้าไปในกระโจม
“เจ้าทำเช่นนี้ เกรงว่าจะเข้าหูของฉีหล่าง และแน่นอนว่าเขาจะหาว่าเจ้าตั้งใจมุ่งประเด็นไปที่เขา เมื่อถึงเวลานั้น เกรงว่าจะวุ่นวายสักระยะ บางทีไม่แน่อาจจะเป็นสุนัขจนตรอก” จิ้งอ๋องได้ยินเสียงผลักประตูกระโจม ก็เงยหน้ามองหยุนชางและพูดเบาๆ
ตาของหยุนชางก็ยิ้มเล็กน้อย และนางพยักหน้าเล็กน้อย “ข้าอยากจะบีบให้เขาเป็นหมาจนตรอกถึงจะดี ถ้าเขาจนตรอก ข้าจะสามารถควบคุมได้ พระเดชพระคุณควบคู่กันไป มิใช่สิ่งที่ท่านอ๋องสอนหม่อมฉันหรือเพคะ แรงมาแรงกลับ”
จิ้งอ๋องได้ฟัง เผยสายตาล้อเล่นเล็กน้อย “ถ้าฉีหล่างทนทุกข์กับความคับแค้นใจนี้อย่างเงียบๆ แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นล่ะ?”
หยุนชางเดินไปที่เก้าอี้ตรงหน้าจิ้งอ๋องแล้วนั่งลง หยิบหนังสือจากโต๊ะแล้วเปิดดู “ถ้าเขาทนได้ เขาจะไม่เป็นฉีหล่าง หลิ่วหยินเฟิงเข้าใจฉีหล่างเป็นอย่างดี และข้าก็ไม่ต่าง ข้าทำการศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องก่อนออกจากเมืองหลวงแล้ว หลังจากมาถึงคังหยาง องครักษ์ไม่เคยหยุดติดตามฉีหล่างเลย การเคลื่อนไหวทั้งหมดของเขาล้วนอยู่ในสายตาของข้า ดังนั้น ข้าจึงมีความมั่นใจเพียงพอ”
วันนี้ นางเรียกนายกองทั้งหมดมาอบรมสั่งสอน เกรงว่ามันจะถูกส่งไปยังหูของฉีหล่างแล้ว นางบอกสถานการณ์ของการต่อสู้ในวันนั้นกับผู้คนมากมาย แม้ว่านางจะไม่ชี้ว่าเป็นความผิดของฉีหล่าง แต่นางก็ยังคงทำให้ฉีหล่างเสียหน้า เกรงว่าเขาจะกังวลจนตาแดงก่ำ จากนั้น ได้ยินว่าในหมู่คนที่ตนจะลงโทษ มีลูกชายคนรองของเขา เขาคงคิดว่าข้ามุ่งเป้าไปที่เขา และคงจะลงมืออะไรบางอย่าง แม้ว่าเขาจะอดทนกับมันชั่วคราว นางก็ยังมีวิธีกระตุ้นๆเขา